จุดเข้าท่าแรกของหนังภาคต่อแนวสยองเรียลลิตี้เรื่องนี้คือ “ไม่หลงงงทาง” รู้ว่าอะไรทำให้ภาคแรกประสบความสำเร็จ แล้วไม่รอช้าที่จะเจริญรอยตาม เรียกว่าทำตามสูตรหนังชุด Saw แทนที่จะเดินตาม The Blair Witch Project ที่พอภาคแรกดังแล้ว ดันฉีกแนวภาค 2 ไปเป็นหนังสามัญที่ขาดความใหม่สดแบบภาคแรก ผลสุดท้ายก็เลยกลายเป็นอวสานหนังชุดแม่มดแบลร์ลงทันที
หนังเลือกที่จะเดินตามรอยภาคแรก ใช้กลวิธีสร้างความระทึกทีละหน่อย เอาภาพมืดๆ มานำเสนอพร้อมความผิดปกติในภาพเหล่านั้น จากเล็กๆ น้อยๆ ก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สร้างคำถามทีละนิด นานๆ ทีก็ยัดภาพชวนตกใจลงไปให้สะดุุ้งเล่นเป็นระยะๆ มีการผูกปมเล่าเรื่องแบบกำลังเหมาะ ซึ่งตอนแรกเราก็คิดว่าหนังเรื่องนี้มันแยกต่างหากมา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภาคแรก แต่ขอให้ลองดูไปสักพักครับแล้วจะเข้าใจว่าหนังภาคนี้ฉลาดเขียนบทดีจริงๆ
ยอมรับครับว่าการผูกเรื่องทำได้ไม่เลว ทำให้เรื่องมันเชื่อมกับภาคแรกได้อย่างเหมาะสมมาก แต่ถ้าว่ากันถึงความน่ากลัวแล้วโดยส่วนตัวแล้วรู้สึกผวากับภาคแรกมากกว่า ส่วนหนึ่งก็เพราะภาคแรกมันยังสดครับ ยังเดาทางไม่ถูกนัก และจะว่าไปแล้วแม้จะมีการค้นหาคำตอบว่า “อะไร” คือสิ่งที่หลอกหลอนคนในบ้านกันแน่ แต่ในภาคแรกคนดูก็ยังไม่รู้ชัดว่าตกลงมันคืออะไร ส่วนภาคนี้หนังก็บอกอะไรเยอะทีเดียวครับ ให้คำตอบกับหนังภาคแรกไปในตัว ซึ่งก็นับว่ายังดีที่การเผยปมไม่ได้ทำให้ภาคแรกอ่อนด้อยลง แต่กลับเป็นการเปิดปมเพื่อสร้างคำถามให้กับคนดูอีกหนึ่งต่อ
จุดที่ยังคงเด็ดอยู่สำหรับภาคนี้คือการเล่าเพื่อเร้าให้จินตนาการของคนดูคิดตาม แบบที่ภาคแรกทำสำเร็จมาแล้ว คนดูก็นั่งดูไป ตัวละครเล่าอะไรมาคนดูก็เก็บมาเป็นข้อมูลไว้ในสมอง ครั้นพอถึงวาระที่จะมี “ภาพแปลกๆ” ปรากฎบนหน้าจอ เมล็ดพันธุ์แห่งจินตนาการน่ากลัวที่คนดูถูกเพาะเอาไว้ก่อนหน้าก็จะแตกหน่อแบ่งบานในหัวเราพอดี
ถ้าให้สรุปเป็นสูตรก็คงได้เป็นว่า มีเรื่องเล่าเป็นเมล็ดพันธุ์ แล้วก็มีภาพแปลกๆ เป็นดั่งน้ำและปุ๋ยคอยหล่อเลี้ยงให้คนดูผวาทีละหน่อย เพื่อปูพื้นสู่ตอนจบของเรื่อง ซึ่งมีอะไรที่ชวนอึ้งได้อีก เรียกว่าภาคแรกหลอนแบบไม่เห็นอะไร แต่ภาคนี้เริ่มหลอนแบบเห็นชัดถนัดตา ก็น่ากลัวดีเหมือนกัน โดยเฉพาะฉากที่แดเนียล เรย์ (Brian Boland) ตัวเอกฝ่ายชายของเรื่องนั่งดูทีวีอยู่คนเดียวนั่น เชื่อเถอะครับว่าน่าจะทำให้หลายคนเสียงสันหลังตอนดูทีวีคนเดียวในบ้านได้ไม่ยาก
ดาราในภาคนี้ค่อนข้างคุ้นหน้ามากขึ้นครับ อย่าง Sprague Grayden ที่มาเป็นคริสตี้ เรย์ ตัวนำฝ่ายหญิง รายนี้คอซีรี่ส์น่าจะจำได้จากบทโอลิเวีย เทเลอร์ในซีรี่ส์ 24 ซึ่งในมุมหนึ่งมันก็ทำให้ความน่าเชื่อแบบภาคแรกลดลงไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เราก็รู้ๆ กันอยู่นี่หน่าว่ามันไม่ใช่คลิปจริงเรื่องจริงสักกะหน่อย
ตอนแรกมีการวางแผนว่าจะให้ผู้กำกับมีชื่อหลายเจ้ามานั่งเก้าอี้กำกับครับ อย่าง Brian De Palma (Mission: Impossible, Dressed to Kill), Akiva Goldsman (คนเขียนบทหนังดังๆ อย่าง A Time to Kill, The Da Vinci Code และ Angels & Demons) และ Kevin Greutert จาก Saw VI แต่ไปๆ มาๆ พอแต่ละเจ้าไม่ว่าง ผู้สร้างเลยเลือกใช้บริการ Tod Williams ผู้กำกับที่ทำหนังใหญ่มา 2 เรื่อง และทำสารคดีสั้นอีก 1 เรื่องแทน
จะว่าไปแล้วออกจะเสียดายครับ เพราะชื่อผู้กำกับข้างต้นนั้นฟังดูน่าสนใจออก โดยเฉพาะ De Palma ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนทำหนังเขย่าขวัญได้ดีมากคนหนึ่ง ยิ่งลีลาการถ่ายแบบด้วยมุมกล้องชวนผวานี่ต้องยกให้เขาเลย (ลองหาหนังอย่าง Dressed to Kill, Blow Out หรือ Raising Cain มาชมเพื่อพิสูจน์ได้ครับ)
อย่างไรก็ดี Williams ก็ทำหน้าที่ได้ไม่เลวครับ เพียงแต่อาจจะไม่ได้วางช็อตดีเท่าภาคแรก และลีลาการเดินเรื่องแม้จะเป็นกล้องถ่ายมือถือเหมือนเดิม แต่การเดินเรื่องมันออกจะเหมือน “หนัง” มากกว่า “เรื่องจริง” มากไปสักหน่อย
ก็ถือเป็นหนังสยองเรียลลิตี้ที่น่าพอใจครับ อาจจะไม่เด็ดเท่าภาคแรก และดูเป็นหนังประดิษฐ์ไปบ้าง แต่ก็ดูเอาตื่นเต้นชวนผวาได้ ซ้ำยังทิ้งท้ายไว้ได้น่าสนใจไม่เลว
สองดาวกว่าครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Mystery