ภาคแรกนั้นผมว่าก็พอขำ ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ประทับใจครับ มาภาคต่อก็ไม่ได้คิดจะสนใจดูนัก เพราะมันคงเดิมๆ นั่นแหละ พี่ Martin Lawrence กลับมารับบทเดิมที่ช่วยทำให้ชื่อพี่แกดังไปอีกพักใหญ่ๆ (ตอนนี้เริ่มเงียบอีกแล้ว) ในบทมัลคอล์ม เอฟบีไอที่เคยปลอมตัวเป็นบิ๊กมาม่าไปสืบคดี ผลลงเอยคือปิดคดีได้ ซ้ำยังได้ภรรยามาอีกต่างหาก (Nia Long)
แต่แล้วเมื่อเกิดการฆาตกรรมเพื่อนของเขา มัลคอล์มจึงยอมไม่ได้ครับ ต้องลงมาปลอมตัวเป็นบิ๊กมาม่าอีกรอบเพื่อแทรกตัวเข้าไปในบ้านของผู้ต้องสงสัยที่อาจจะมีส่วนในการฆาตกรรมนี้
การมาของบิ๊กมาม่างวดนี้ก็ต้องมาเป็นพี่เลี้ยง เลี้ยงเด็กเฮี้ยวจอมแสบให้กับบ้านฟูลเลอร์ ระหว่างนั้นก็คอมหาความจริงไปด้วย
ไปๆ มาๆ ผมกลับชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรก สาเหตุสำคัญเพราะบทพยายามให้ความสำคัญกับมิติตัวละครมากขึ้น จากภาคแรกที่ดูบิ๊กมาม่ามาเพื่อเรียกเสียงฮาอย่างเดียว แต่ภาคนี้บิ๊กมาม่ามีเรื่องความห่วงใยเด็กๆ อย่างจริงใจผสมลงมาด้วย จุดนี้เลยทำให้บิ๊กมาม่าโกยคะแนนไปเพียบเหมือนกัน อย่างน้อยก็สำหรับผม
ส่วนประเด็นความฮาก็ยังมีเรื่อยๆ พอเพลิน แต่ดีกรีความฮาแตกลดลงเยอะเพราะตัวขโมยซีนจากภาคแรกที่รับบทโดย Paul Giametti ไม่ได้ตามมาเล่นด้วย
อย่างน้อยภาคนี้ก็ไม่ได้เป็นหนังฮาติงต๊องไร้สาระซะทีเดียว มันยังมีประเด็นความน่ารักของบิ๊กมาม่าใส่ลงมาอย่างพอดีๆ ผมก็เริ่มชอบนาย Martin Lawrence มากขึ้นในหนังเรื่องนี้เองแหละครับ ฉากที่พี่แกอ่อนโยนหรือไม่ยอมปล่อยให้เด็กๆ ต้องเป็นอันตรายนี่แววตามุ่งมั่นมาก
ดีกว่าที่คิดครับ ผมออกจะชอบมากกว่าภาคแรกหน่อยๆ ด้วย มันกลมกล่อมขึ้น แม้ความฮาบางประการอาจไม่มากเท่าตอนแรกก็ตาม แต่มันได้ความประทับใจแกล้มมาแทน
แนะนำว่าดูได้สนุกสนานดีครับ ไม่ค่อยผิดหวัง อาจเพราะผมไม่ค่อยคาดหวังด้วยล่ะกระมัง แต่เพลินครับ เด็กๆ ในเรื่องก็น่ารักดีด้วย
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy