แดนนี่ มาร์ติน (Rob Lowe) หนุ่มรักสนุกที่มีโอกาสได้เจอกับ เด็บบี้ (Demi Moore) ที่บาร์หลังจากเขาเพิ่งเสร็จการแข่งขันเบสบอล แล้วก็มีความสัมพันธ์กันครับ ซึ่งตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นแค่สัมพันธ์ชั่วข้ามคืนตื่นแล้วอำลา แต่ทั้งเขาและเธอกลับรู้สึกบางอย่างต่อกัน ก็เลยสานสัมพันธ์ต่อ จนตกลงใจที่จะย้ายเข้ามาอยู่ร่วมห้องกัน แล้วก็ค่อยๆ ร่วมกันสานสายใยรัก สร้างความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อกันให้เบ่งบาน
… แต่ว่าต้นรักนั้น มันปลูกง่ายอย่างที่พวกเขาคิดซะเมื่อไรล่ะครับ
ผมชอบคำโปรยของหนังเรื่องนี้นะครับ Making love was easy… being in love difficult แปลแบบตรงๆ ก็คือ การทำรักนั้นมันง่าย แต่จะสานรักนั้นยากกว่ามาก หนังก็เหมือนจะสอนวัยรุ่นอยู่ในทีครับ ซึ่งวัยนี้ถือเป็นวัยริรักและอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศ และหนังก็พยายามให้เรามองเรื่องนี้ให้กว้างครับ สื่อให้เราตระหนักว่าความรักมันไม่ได้มีแค่เรื่องเซ็กซ์ เพียงเท่านั้น
จริงๆ แล้วใน “หนึ่งความรัก” นั้น เซ็กซ์ถือเป็นเรื่องหนึ่งเท่านั้น เป็นองค์ประกอบเล็กๆ นอกจากนั้นมันยังมีเรื่องการปรับตัวเข้ากัน การให้อภัย การทำความเข้าใจ การเปิดใจ การแบ่งปัน การให้กำลังใจ การตำหนิอย่างสร้างสรรค์ ฯลฯ โอย อีกเยอะครับ เชื่อว่าคนที่เคยลองปลูกต้นรักน่าจะเข้าใจดีว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ก็ถือเป็นหนังโรแมนติกว่าด้วยความรักที่แม้จะเก่ากว่า 25 ปีแต่ก็สอนเรื่องรักได้อย่างน่าสนใจ โอ้ ลืมบอกไป หนังกำกับโดย Edward Zwick ครับ ใช่แล้ว เจ้าเดียวกับที่ทำหนังสารพัดเกียรติยศอย่าง Glory, Legends of the Fall, Courage Under Fire, The Last Samurai, Blood Diamond ซึ่งผมเคยดูหนังเรื่องนี้เมื่อนานมาแล้วครับ เป็นสิบๆ ปีเลย ตอนนั้นได้ดูทางเคเบิ้ล แล้วก็ย้อนมาดูอีกทีเมื่อโตขึ้น พอได้ดูก็จึงไม่แปลกใจครับ ว่าทำไมตอนที่พี่แกทำเรื่อง Love and Other Drugs ถึงทำได้อย่างดีและน่าสนใจแบบนั้น
หนังเดินเรื่องได้ดีครับ ดูเพลินนะ พล็อตเรื่องหลักก็คือการสานรักระหว่างคนสองคน ส่วนพล็อตรองก็คือ การสะท้อนโลกของวัยรุ่นแบบครบมุมครับ เพราะเอาเข้าจริงๆ สมัยวัยรุ่นนั้น ยามเรารักใครสักคนมันจะไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคนหรอกครับ แต่คนรอบตัวเราก็จะอดมีอิทธิพลไม่ได้ ไม่ว่าจะพ่อแม่หรือเพื่อนพ้อง เรามักจะได้รับความเห็นเกี่ยวกับคนรักของเรา ผ่านปากเพื่อนที่ อย่างเพื่อนแดนนี่ก็บอกให้แดนนี่คิดว่า อย่าผูกโซ่จับตัวเองขังกรงเลย อย่าเพิ่งรีบมีแฟนแต่ควรจะหาความสนุกไปเรื่อยๆ ดีกว่า
ส่วนเพื่อนเด็บบี้ก็พยายามสะท้อนมุมให้เพื่อนมองกว้างๆ อย่ามัวแต่มองโลกแง่ดีว่ารักนี้มีแต่ด้านดีเท่านั้น เรียกว่าเพื่อนแต่ละเจ้านี่อยากจะชวนให้ทั้งสองเลิกกันแทบทั้งนั้นเลยครับ
ผมว่าเป็นหนังที่เล่นกับรายละเอียดเวลาเราคบกันใครได้ดีนะครับ คือมันจะมีแบบเนี้ย ทั้งตัวเรากับแฟนเองที่มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีซึ่งสามารถส่งผลต่อความสัมพันธ์ได้ และมันก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แค่คนสองคน มันจะมีเพื่อนมีคนอื่นรอบตัวของแต่ละคนมามีผลด้วย รู้สึกมันสมจริงดี
บางครั้งก็ชวนให้คิดย้อนไปนะครับ ว่าเพื่อนเราน่ะ ฟังพวกมันบ้างก็ดี แต่อย่าฟังทั้งหมดโดยปราศจากการคิดไตร่ต่อง เราต้องไม่ลืมที่จะมองชีวิตรักของเราด้วยสายตาเรา อีกทั้งมองมันผ่านสายตาของคนรัก และมองผ่านสายตาคนนอกเกมบ้าง เราควรมองให้รอบครับเพื่อจะได้เข้าใจรักที่มีและคนรักของเราได้ ประเมินประมาณอนาคตได้ การจะฟังแต่คนนอกเกมอย่างเดียวย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดี ครั้นจะฟังแต่ตัวเองอย่างเดียวก็นับว่าน้อยไป
การมองในมุมนอกเกมสำคัญนะครับ อย่างผมนี่ตอนดูก็ทำให้สะท้อนถึงรักตัวเองนะ บางครั้งเราต้องมองให้ดี อย่างบางครั้งคนรักของเราอยากช่วยเหลือเรา อยากทำอะไรให้เราสักอย่างโดยที่เราไม่ร้องขอ ซึ่งบางอารมณ์เราอาจมองว่ามันเรื่องของเรา เขา (หรือเธอ) จะมายุ่งทำไม
แต่จริงๆ แล้วมันก็มีผลต่อคนรักนะครับ หากเราไม่อธิบายให้เขาเข้าใจ หรือเพิกเฉยต่อความห่วงใยของเขา เขาอาจจะห่วงเรามากขึ้น หรือเขาอาจคิดว่าเราไม่ไว้ใจเขา มีอะไรก็ไม่แชร์กัน แบบนี้จะมีผลต่อความรู้สึกกันและกันไม่น้อยเลยล่ะครับ
ดูหนังแนวนี้แล้วดีอย่างครับ มันทำให้เราย้อนมามองตัวเอง แต่เราก็ควรมองให้เกิดผลบวกนะครับ มองให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่มองไปเศร้าไปหรือหงุดหงิดกับอดีตที่ผ่านไปแล้ว
สาระอีกอย่างที่ผมชอบคือ การสอนให้เรารู้จักมองความต้องการของคนสองคน เพราะบางทีเราก็มองแต่ของเราครับ อย่างผู้ชายอาจอยากมีชีวิตสนุกไปเรื่อย ส่วนผู้หญิงอยากมีครอบครัว มีลูก นี่คืออะไรที่เราต้องปรับ ต้องย้อนคิด ไหนจะมีเรื่องการหวงเพื่อน อย่างบทโจแอน (Elizabeth Perkins) เพื่อนของเด็บบี้ที่หวงเพื่อน เลยพยายามชี้ให้เด็บเห็นข้อเสียของแดนนี่ตลอด ว่าง่ายๆ คืออยากให้แดนนี่และเด็บบี้เลิกกันน่ะครับ เพราะเธอไม่เชื่อว่าแดนนี่เป็นคนดี และอยากได้เพื่อนกลับมาอีกต่างหาก
แต่พอเธอทำได้ เธอกลับคิดว่าตัวเองทำอะไรลงไป เธอค่อยๆ ทบทวนจนพบว่าเธอไม่ได้ทำเพราะห่วงเพื่อนเลย แต่ทำเพราะห่วงตัวเอง กลัวจะเสียเพื่อนไป
หรือเบอร์นี่ย์ (James Belushi) เพื่อนของแดนนี่ที่คอยยุให้เพื่อนอย่ามีห่วงผูกคอ มาใช้ชีวิตวัยหนุ่มให้คุ้มดีกว่า ซึ่งในกรณีนี้ก็เป็นเพื่อนอีกแบบที่เราอาจได้เจอครับ นอกจากเพื่อนที่กลัวจะเสียเราไปจนออกอาการหวงแล้ว ก็ยังมีเพื่อนแบบที่อยากให้เราเชื่อในสิ่งที่เขาบอก เพราะเขาคิดแบบนั้นเลยอยากให้เราคิดตามเขาไป ซึ่งการคิดมันอาจไม่มีถูกผิดที่แน่นอนครับ การคิดว่าใช้ชีวิตสนุกไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องหาคู่มันอาจเหมาะสำหรับบางคนก็ได้เหมือนกัน
อันนี้ก็อยู่ที่ตัวเราครับว่าจะสามารถค้นพบตัวเองได้หรือไม่ ว่าเรานั้นชอบรักแบบไหน อยากมีคู่จริงๆ หรือไม่ ฯลฯ
คำถาม คำตอบ และนิยามแห่งรักช่างยืดยาวยากจะสรุปได้จริงๆ
แม้จะไม่ใช่หนังขวัญใจนักวิจารณ์ อาจเพราะหนังยังอืดไปบ้าง หรือไม่ถึงอารมณ์แบบเต็มๆ แต่ผมชอบครับ มันสะท้อนชีวิตรัก (แบบวัยรุ่นค่อนไปทางผู้ใหญ่) ของคนหนึ่งคู่ได้ดี (คล้ายเรื่อง The Break-Up น่่ะครับ)
ดาราในเรื่องก็แสดงกันได้ดีครับ น่ารักเหมาะสมกันดี ระหว่าง Lowe กับ Moore น่ะ ส่วนบทสมทบก็เสริมความฮาให้ได้ บางคนก็เสริมสาระดีๆ ให้
“เราอาจไร้เดียงสากันเกินไป” maybe we’re too naive ผมชอบประโยคนี้ครับ เพราะความรักคือการเรียนรู้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เข้าใจกันไป เราทุกคนมักคิดว่าตนเองรู้ดีในรัก แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครเข้าใจมันได้ตั้งแต่เริ่มหรอกครับ เราต่างไม่รู้เดียงสาในรักทั้งนั้นแหละ
บางคนอาจสรุปว่ารักเต็มไปด้วยเรื่องดีๆ หลังจากควงแขนคนรักแค่ปีสองปี
บางคนอาจสรุปว่าความรักว่าเป็นความผิดพลาดที่น่าหดหู่ มันเต็มไปด้วยความผิดหวัง มันมีแต่ความหลอกลวง
… ยังจำเพลงนิยามรักของพี่ๆ วงนูโวได้ใช่ไหมครับ นั่นล่ะฮะใช่จริงๆ อันว่าความรักมันมีได้ทั้งความงดงามและทรุดโทรม มีทั้งความเข้าใจและขัดแย้ง ทั้งการพบพานและพรากจาก… นั่นแหละคือรัก นั่นล่ะคือชีวิต
เป็นหนังเกี่ยวกับความรักที่ทำได้ดีอีกเรื่องหนึ่ง
สองดาวใกล้ครึ่งครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Drama, Romance