ด้วยพล็อตเนี่ย ผมว่าน่าสนใจมากๆ เลยนะครับ… แดร็กคูล่ากับแผนครองโลกทั้งใบ!
หลังจากการปะทะกันระหว่างท่านเคาน์ แดร็กคูล่า (Christopher Lee) และศาสตราจารย์ลอร์ริเมอร์ แวน เฮลซิ่ง (Peter Cushing) ในคราวก่อน แม้ผลจะลงเอยว่าท่านเคาน์ถูกกำจัด แต่บัดนี้เขาก็ได้ฟื้นมาอีกครั้ง
ท่านเคาน์ไม่ได้ฟื้นเปล่าๆ ด้วยครับ เพราะเขากำลังดำเนินแผนการลับในการครองโลกทั้งใบ ค่อยๆ หาทางแทรกซึมองค์กรต่างๆ ของมนุษย์และหาเหยื่อมาดูดเลือดอย่างอำมหิตตามแบบฉบับ
กระนั้น แผนของท่านเคาน์ก็เริ่มมีคนสังเกตเห็น ได้แก่หน่วยสืบราชการลับที่ในตอนแรกคิดว่า นี่เป็นแผนขององค์กรก่อการร้ายไหนหรือไม่ แต่สืบไปสืบมาก็เริ่มพบเรื่องอธิบายไม่ได้มากขึ้น ซ้ำสายลับก็ยังมาถูกเก็บไปทีละราย ในที่สุดพวกเขาก็ต้องไปขอคำปรึกษาจากแวน เฮลซิ่ง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหนือธรรมชาติและปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้… แวน เฮลซิ่งรู้ได้ไม่ยาก ว่าแดร็กคูล่าต้องอยู่เบื้องหลัง
แล้วแวน เฮลซิ่งกับเหล่าสายลับ จะหาทางยับยั้งแผนร้ายของแดร็กคูล่าได้หรือไม่ ก็มีคำตอบรออยู่ในหนังนะครับผม
ครับ… พล็อตน่ะ น่าสนใจทีเดียว แดร็กคูล่ากับแผนครองโลก จริงๆ ผมก็หมายมั่นว่าน่าจะได้เห็นการขับเคี่ยวที่ออกรสออกชาติระหว่างท่านเคาน์และแวน เฮลซิ่ง แต่เอาเข้าจริงหนังกลับไม่มีอะไรเลยครับ ออกแนวน่าเบื่อด้วยซ้ำ อย่างแผนการที่น่าสนใจกลับถูกบอกเล่าแบบไม่เหลือความเร้าใจใดๆ พูดแบบไปเรื่อยๆ น่ะครับ เล่าๆ แล้วก็จบ และการเล่าบางทีก็น่าเบื่ออีกเช่นกัน เพราะบทสนทนามันเรื่อยๆ ไม่ได้มีประเด็นให้จับสักเท่าไรเลย
แล้วหนังก็ขยันขายแต่ฉากน่ากลัวแบบเดิมๆ เช่น ฉากแวมไพร์ค่อยๆ เดินมากัดเหยื่อหรือไม่ก็พากันมาล้อมเหยื่อ เหยื่อก็กรี๊ดไปสิครับ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น การปะทะกันระหว่างมวยคู่เอก ท่านเคาน์ ศิษย์ดูดเลือด กับท่านแวน ศิษย์หมุดไม้ก็ธรรมดา เร้าใจสู้ภาคที่แล้วยังไม่ค่อยได้เลยล่ะครับ
ผมไม่ปฏิเสธ ว่าพลังสำคัญของหนังคือการแสดงระดับครูของ Lee และ Cushing แต่ปัญหาคือ ขนาดพลังดารามีเพียบ แต่ละคนมีออร่าอันทรงพลังของตัวละครนั้นๆ อยู่รอบตัว แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่น่าเบื่อ บทสนทนาอืดเอื่อย และการเล่าเรื่องแบบเหล้าเก่าในขวดใหม่ ทำให้พลังดาราก็แทบจะเอาไม่อยู่ครับ
มันทำให้ผมนึกไปถึงหนัง Godzilla นะ ที่จุดน่าเบื่อที่หนัง Godzilla มีประจำ คือฉากประชุม พวก G-Summit (การประชุมเพื่อหาทางรับมือกับก็อตซิลล่า) ที่บางครั้งก็มีสาระ แต่บางทีก็น่าเบื่อเหมือนดูอภิปรายไม่ไว้วางใจของรัฐบาลบ้านเรา (พูดน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งไม่ถึงขีดน่ะครับ) … ครับ สำหรับ Dracula ภาคนี้ บทสนทนา การคุยถึงแผนของท่านเคาน์ หรือแม้แต่ตอนที่ท่านเคาน์ออกมาคุยเรื่องแผนเอง อารมณ์เหมือนประมาณฉาก G-Summit ประเภทชวนง่วงน่ะครับ
เสียดายครับ เพราะธีมหลักของหนัง มันจะเป็นการสรุปเรื่องแดร็กคูล่าที่ยิ่งใหญ่ได้เลยล่ะ ถ้าแผนมันแสดงถึงความฉลาดของท่านเคาน์และมีการเฉือนคมกับแวน เฮลซิ่งมากกว่านี้ ผมเชื่อว่าภาคนี้จะใหม่และมันส์แบบไม่ต้องสงสัย… แต่นี่ออกแนวใหม่ (สำหรับตอนนั้น) แต่ไม่มันส์เท่าไร เฮ่อ เสียดายแท้
นี่ก็เป็นการขึ้นจอเผชิญหน้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วครับ ระหว่าง Lee และ Cushing ซึ่งเป็นการสรุปเรื่องที่ไม่ค่อยสาใจเท่าไร ไม่สนุกน่ะครับว่างั้นเถอะ ทั้งๆ ที่หนังไม่ยาวเลยนะครับ แค่ 80 กว่านาที แต่น่าเบื่อกว่าตอนไหนๆ เลยล่ะ…
หนังกำกับโดย Alan Gibson จากภาคที่แล้วน่ะครับ ซึ่งพี่แกเป็นคนกำกับหนังทีวีมาก่อน แต่พอทำหนัง Dracula สองภาคนี้แล้วไปไม่ถึงดวงดาว ก็เลยกลับไปทำหนังทีวีเหมือนเดิม
เอาเป็นว่า ทำใจก่อนดูแล้วกันนะครับ สำหรับตอนสุดท้ายของ Dracula ที่มี Lee นำแสดง… ครับ ตอนสุดท้ายที่ Lee แสดง แต่หนังท่านเคาน์ชุดของ Hammer ยังไม่จบครับ มันยังมี The Legend of the 7 Golden Vampires ตามมาอีกหนึ่งตอน ภาคนี้ว่าด้วยท่านเคาน์ไปยังเมืองจีนครับ แล้วก็พบกับนักปราบผีที่มีวิชากังฟู และแวน เฮลซิ่งก็ยังตามไปปราบท่านเคาน์ด้วย ไปกันใหญ่ล่ะครับ ไว้ผมดูแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังแล้วกัน (แต่เห็นเขาว่า แม้จะออกทะเล แต่ก็เข้าท่ากว่าภาคนี้ด้วยล่ะ อืมม์)
ไม่ไหวครับ ไม่ถึงสองดาวแน่นอน
(5.5/10)