Action

The Amazing Spider-Man (2012) ดิ อะเมซิ่ง สไปเดอร์แมน

amazing-spider-man-final-poster

น่าจะถือเป็นหนังที่มีการรีบู๊ทเร็วที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ครับ ของเก่าจบไปไม่ถึง 10 ปีก็มีของใหม่ออกมาให้ยลกันแล้ว

ในเบื้องต้นอยากจะบอกว่า ผมก็คิดเหมือนๆ กับที่มีคนรีวิวหรือพูดถึงหนังเรื่องนี้กันนั่นแหละครับ นั่นคือ ถ้าถามว่าของใหม่นี่สนุกกว่าของเก่าไหม ก็คงตอบได้ว่า อร่อยกันคนละแบบ แล้วแต่จะชอบรสมือแบบไหน ถ้าชอบแนวซูเปอร์ฮีโร่แบบสูตรสำเร็จมีตัวดี ตัวร้าย มีบทหวานของพระนาง มีโครงสร้างไม่หนักเกินไปก็น่าจะชอบฉบับเก่าสไตล์ “แมงมุมขยุ้มบันเทิง” ของ Sam Raimi ที่ดูแล้วได้ความสนุก บันเทิง และสาระผสมกันไปในระดับพอดี

ส่วนฉบับใหม่นี่ออกแนว “แมงมุมสมจริง” ที่มีพล็อตลึกลับซับซ้อน การนำเสนอก็ออกแนวใกล้เคียงกับโลกความจริงมากกว่าจะไปอิงการ์ตูน ฉากต่างๆ ก็ไม่ปรุงรสอะไรมาก เรียกว่าพี่แมงมุมคราวนี้ดูแล้วรู้สึกถึงความสมจริง แต่ก็ต้องยอมรับเหมือนกันว่าพอหนังไม่ปรุงอะไรนัก ทำให้บางฉากอาจจะดูเรียบไป ธรรมดาไป ไม่เร้าใจ ไม่ชวนลุ้นเท่าฉบับที่แล้ว แต่อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ความชอบจริงๆ ครับ ถ้าชอบแนวบันเทิงร่วมสมัยก็น่าจะโปรดของเก่ามากกว่า แต่ถ้าชอบหนังสมจริง หรือชอบ “เพียวๆ” ภาคนี้ก็น่าจะอยู่ในอ้อมอกอ้อมใจได้ไม่ยาก

ส่วนผมนั้นก็ยอมรับครับว่ายังรัก Spider-Man ฉบับเดิมของ Raimi มากกว่าหน่อย โดยเฉพาะภาค 2 ที่เข้มข้นลงตัวที่สุด แต่กระนั้นการรีบู๊ทพี่แมงมุมคราวนี้ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวครับ ทำได้สนุก น่าติดตาม ความตื่นเต้นก็ยังมี การเดินเรื่องก็ไวใช้ได้ ถ้าจะมีจุดอ่อนบ้างก็คงเป็นในเรื่องการเร้าอารมณ์ที่ไม่เยอะเท่าของเก่า ซึ่งอันนี้คงเป็นความตั้งใจของผู้กำกับ Marc Webb ที่อยากให้มันสมจริง เลยไม่ใส่สีไม่ปรุงแต่งเท่าไร อย่างฉาก “ลุงเบน” นั่น ถ้าเทียบในแง่อารมณ์คงต้องบอกว่าเขาเก่ามันได้อารมณ์กว่า มันสะเทือนกว่า แต่ของใหม่อาจดูเรียบไปนิด ทว่าถ้าลองคิดดูผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ ในความเป็นจริงหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้น ภาพที่จะเป็นได้ก็คงออกมาแบบนั้นนั่นแหละ

ดังนั้นสูตรการเปิดใจรับพี่แมงมุมอะเมซิ่งครั้งนี้คือ เตรียมใจเข้าไปทำความรู้จักกับพี่แมงมุมคนเดินดิน พบกับความรักที่ก่อตัวระหว่างปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ (Andrew Garfield) และ เกวน สเตซี่ (Emma Stone) แบบง่ายๆ แต่น่ารักเหมือนดูหนุ่มสาวรักกันทั่วไป, ได้เห็นลุงเบน (Martin Sheen) กับป้าเมย์ (Sally Field) ที่มีทั้งมุมน่ารักและมุมใช้อารมณ์ เหมือนคนทั่วไป, ได้พบเจอการตามปมปริศนาเกี่ยวกับพ่อของปีเตอร์ที่อาจจะไม่ได้ลุ้นหนัก หรือไม่ได้ชวนสงสัยเท่าหนังสืบสวนตามปมเรื่องอื่นๆ แต่ก็ได้อารมณ์ติดดิน เหมือนดูเด็กหนุ่มตามหาความจริงเกี่ยวกับพ่อแม่ แบบไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากมาย

ใช่ครับ ภาคนี้ไม่ปรุง (หรือต่อให้ปรุงก็ปรุงไม่เยอะ) รสชาติออกจะเรียบบ้าง ไม่หวือหวา แต่ก็จัดว่าสนุกออกรสในแนวทางของมัน ส่วนตัวร้ายอย่างเดอะ ลิซซาร์ด ซึ่งถือกำเนิดมาจาก ดร. เคิร์ท คอนเนอร์ส (Rhys Ifans) ที่กลายพันธุ์ด้วยเซรุ่มพิเศษนั้น ก็จัดว่าร้ายแบบพอเหมาะ เพียงแต่อาจจะไม่ได้เด่นเท่าตัวร้ายก่อนๆ ที่มีสีสันมากกว่า กระนั้นด้วยการแสดงของ Ifans ก็ทำให้เรารู้สึกโอเคล่ะครับ อย่างฉากที่พี่ท่านคลั่งสลับบุคลิกนั่นก็ต้องชื่นชมแล้วล่ะ ขานี้แสดงได้ดีอยู่แล้ว

915556  - The Amazing Spider-Man

ผมออกจะย้ำคำว่า “ติดดิน ธรรมดา และไม่ปรุง” บ่อยนะครับ แต่นั่นคืออะไรที่ผมรู้สึกจริงๆ รู้สึกถึงความง่ายที่หนังมี รู้สึกถึงความธรรมดาที่ปรากฏ แต่รู้ไหมครับว่า นั่นแหละคือสิ่งที่ผมชอบ นั่นแหละคือความพิเศษของหนังเรื่องนี้… ใช่ครับ หนังเรื่องนี้พิเศษได้ด้วย “ความธรรมดา” หลายๆ อย่างในหนังนี่แหละ (เอาล่ะ เอาล่ะ จะมีการสปอยล์แน่นอนหลังจากนี้ไปนะครับ ใครไม่อยากทราบกรุณาข้ามไปอ่านดาวโดยด่วนเด้อ)

จุดที่ได้ใจผมไปเต็มๆ สำหรับพี่แมงมุมอะเมซิ่งคนนี้คือ แม้เขาจะมีพลังพิเศษ แม้เขาจะสวมชุดฮีโร่ แม้เขาจะไต่โหนโจนทะยานแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยนึกว่าตัวเอง “พิเศษ” เลย ปีเตอร์คนนั้นตระหนักเสมอว่า เขาไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน แต่เขาคือคนธรรมดา… คนธรรมดาที่มีความสามารถในการช่วยเหลือคนอื่นได้

ฉากที่ประทับใจผมมากคือตอนที่พี่แมงมุมต้องไต่สะพานลงไปช่วยเด็กที่ติดในรถ ในขณะที่เด็กกำลังกลัวไม่กล้าไต่ขึ้นมาจับมือพี่แมงมุม เขาทำสิ่งง่ายๆ ที่แสนพิเศษขึ้นมาครับ เขาถอดหน้ากากออก แล้วบอกกับน้องคนนั้นว่า “นี่ไง ดูสิ พี่เป็นคนธรรมดาๆ นะ”

คนส่วนมากเวลาเจอปัญหา ก็มักจะรอใครสักคนมาช่วยเหลือ ใครก็ได้ที่มีอำนาจมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่กว่า ฉลาดกว่า มีวุฒิการศึกษามากกว่า มีเงินมากกว่า ฯลฯ โดยระหว่างนั้นก็คิดว่าไป “ลำพังเราน่ะทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะเราเป็นคนธรรมดาสามัญ จะไปทำอะไรยิ่งใหญ่ได้ จะไปเอาชนะปัญหาไหวได้ยังไง เราทำไม่ได้หรอก เรามือไม่ถึง เราไม่พิเศษพอ”

แต่ไปๆ มาๆ คำว่า “พิเศษ” นั่นอาจเป็นสิ่งลวงตา เป็นเพียงข้ออ้าง เพราะจริงๆ แล้วคนที่เรารอให้เขามาช่วยนั้น เขาก็ไม่ได้พิเศษมาแต่แรกหรอก แต่เขาก็ต้องผ่านการเพียรพยายามอัพเกรดตัวเอง อย่างคนที่รวยวันนี้ก็ต้องมีวันที่จนมาก่อน คนที่ฉลาดวันนี้ก็ต้องมีวันที่โง่มาก่อน คนที่มีปริญญาวันนี้ก็เริ่มจากการเรียน ก. ไก่ มาก่อนทั้งสิ้น

ยิ่งในบางสภาวะแล้ว เราทุกคนสามารถอัพเกรดชีวิตแบบฉับพลัน ดันตัวเองให้เป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้แบบทันที ขอเพียงมีความกล้า มีพลังสติ และเชื่อมั่นในตนเอง เพียงเท่านี้เราก็เป็นฮีโร่ได้ ช่วยตนเองได้ ช่วยคนอื่นก็ได้

ผมว่าจุดพิเศษในภาคนี้ก็คือเรื่องเหล่านี้แหละครับ คือการไม่พยายามรังสรรค์ให้สไปเดอร์แมนเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความพิเศษ แต่เป็นการดึงซูเปอร์ฮีโร่คนนี้ให้ติดดินและสมจริงยิ่งขึ้น หลายอย่างในเรื่องเลยให้อารมณ์ดิบ ไม่ปรุงแต่ง ไม่เร้าอารมณ์ เล่าตรงๆ บอกซื่อๆ อย่างฉาก “ลุงเบน” นั้นถ้ามองในฐานะภาพยนตร์ การนำเสนอที่เราเห็นถือว่าเป็นอะไรที่ไม่มีชั้นเชิง ไม่เร้าให้เศร้า แต่ถ้ามองในมุมความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากฉากนั้นจะไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ถือเป็นการรีบูทที่เข้าท่าทีเดียวครับ เพราะเขาไม่ได้แค่เอาพี่แมงมุมมาขึ้นจอใหม่ แต่เขาได้จัดสร้างพี่แมงมุมคนใหม่ที่มีแนวทางของตนเอง ไม่ใช่พี่แมงมุมที่สมบูรณ์แบบ แต่ด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยความธรรมดานี่แหละ ทำให้เรารู้สึกว่าแมงมุมตนนี้น่าค้นหา และน่าให้กำลังใจต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าใครอยากหาหนังบันดาลใจให้คนฮึกเหิม มีแรงพลังในการทำสิ่งดี หรือมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นล่ะก็ ลองชิมเรื่องนี้ดูครับ

maxresdefau4244lt

นอกจากนี้การเพิ่มประเด็น “คนธรรมดาหันมาช่วยเหลือกัน” ก็ยิ่งเสริมประเด็น “ฮีโร่คือคนธรรมดา” ได้มากยิ่งขึ้น เพราะจริงๆ แล้วเราทุกคนเป็นฮีโร่ได้โดยไม่ต้องรอพลังพิเศษอะไร แค่ตั้งใจและร่วมมือกันทำ ช่วยกันทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้เราจะไม่มีพลังอำนาจใด แต่หากคนดีๆ มารวมตัวกัน ช่วยเหลือกันทำสิ่งที่ดีแล้ว พลังที่ก่อตัวขึ้นก็อาจมีไม่น้อยไปกว่าพลังของซูเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนก็ได้

เรามักมองว่าฮีโร่ตัวจริงมีได้แค่หนึ่งเดียว เป็นผู้นำ เป็นตัวนำ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอกครับ อย่างในหนังเรื่องนี้น่าจะถือว่าเป็นหนังที่มีฮีโร่มากที่สุด เรียกว่ามีมากไม่แพ้ The Avengers ด้วย เพราะคนมากมายร่วมมือกัน ช่วยกัน เพียงแต่เราอาจไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม และเขาอาจไม่ได้มีพลังพิเศษที่เห็นเด่นชัด แต่ถ้าไม่มีพวกเขาแล้ว พี่แมงมุมของเราเองก็คงงอมพระรามเหมือกนัน

ฮีโร่ไม่ได้หมายถึงเพียงคนมีพลัง แต่หมายถึงคนที่ตั้งใจทำดีทั้งหลายด้วย

ดูหนังเรื่องนี้จบออกมาแล้วรู้สึกดีครับ รู้สึกถึงพลังที่มีในตัวเราทุกคน… Amazing จริงๆ เน้อ

ด้านนักแสดงนั้น ถือว่าเลือกมาได้ดีครับ แม้จะไม่เหมาะเหม็งตรงเป๊ะเท่าฉบับเก่าแต่ก็นับว่าใช้ได้ Garfield ดูเป็นพี่แมงมุมที่ผสมความกวนป่วนแบบวัยรุ่นออกมาได้พอเหมาะ ส่วน Stone ก็ดูเป็นเกวนที่น่ารัก มีสมอง, Sheen และ Field ที่มาแสดงเป็นลุงเบนกับป้าเมย์นั้นก็ทำได้ดีครับ แต่ในใจผมลึกๆ ก็ยังรักป้าเมย์คนเดิม (Rosemary Harris) อยู่ดี ขานั้นแสดงได้ดีเกินไปน่ะครับ แต่อย่างน้อยฉากที่ลุงเบนเดินตามหลานออกไป หลังทะเลาะกันนั้น ผมชอบนะ ท่าทาง Sheen เขาดูตกใจผสมเป็นห่วง ตกใจในเชิงว่า “นี่ฉันทำอะไรลงไป” ท่าทางอึ้งแบบน่ารักดีน่ะครับ

แต่มีตัวละครหนึ่งที่ผมชอบใจนะ ได้ใจแบบคาดไม่ถึง นั่นคือ แฟลช ทอมป์สัน (Chris Zylka) เพื่อนจอมกวนที่ชอบหาเรื่องปีเตอร์ตลอด ซึ่งนายแฟลชคนนี้มักจะปรากฏตัวในฐานะตัวกวน ในฐานะอันธพาลไร้สมอง แต่กับฉบับนี้… พี่แกมีดีอ้ะ อ้า มีดีเกินคาดจริงๆ อันนี้ชอบครับ สิ่งที่เขาแสดงออกหลังรู้ว่าลุงเบนจากไปแล้วนั้น ช่วยชดเชยฉาก “ลุงเบน” ที่ไม่ปรุงนั่นได้เยอะทีเดียว

ดนตรีประกอบของภาคนี้ได้ James Horner มาคุม ก็ยังธรรมดาไปหน่อยครับ ไม่ติดหูเท่าที่ Danny Elfman เคยทำไว้ ลีลาการบู๊ก็ถือว่าไม่เลว ที่ชอบมากหน่อยคือการปล่อยใยแบบซอยยิก ดูแล้วนึกถึงวิชา 6 ดรรชนีสกุลต้วนขึ้นมาเลย (ใครดู 8 เทพอสูรมังกรฟ้ามาแล้วน่าจะเข้าใจ) ซอยได้ใจ ยิงถี่รัว จนผมอยากรู้ว่าภาคต่อๆ ไปจะมีการดัดแปลงใยให้ยิงได้พิสดารไปกว่านี้อีกไหม

สำหรับคนที่สงสัยนะครับว่าในหนังมีตัวละครเกือบครบ ยกเว้นตัวเด่นปากมากอย่างคุณเจมิสัน ซึ่งว่ากันว่าตอนแรก J.K. Simmons เจ้าของบทเดิมจาก 3 ภาคก่อนจะมาแสดงบทเดิม แต่ด้วยความที่ Spider-man ภาคนี้จะเน้นไปที่เรื่องไฮสคูลเป็นหลัก ทำให้บทนี้ถูกตัดออกไปจากสคริป

ว่ามายาวก็ขอสรุปง่ายๆ นะครับ ว่าแมงมุมตัวนี้ แม้ทั่วๆ ไปจะดูธรรมดา แต่ดูดีๆ มองให้ลึกถึงข้างใน จะพบความ Amazing อยู่ภายใน… Simple but Amazing ครับ

อาจไม่ใช่ Spider-Man ที่ดีเยี่ยม สมบูรณ์พร้อม แต่ถือเป็นภาคแรกที่มั่นคงพอตัว

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)