นี่เป็นอีกหนึ่งหนังที่ผมหาดูมานานพอควรครับ จำได้ว่าเคยดูแบบผ่านๆ ครั้งแรกในเคเบิ้ล (ไม่แน่ใจว่าที่ HBO หรือ Cinemax) ที่ติดตามมากคือเจ้าสัตว์ร้ายในหนังครับ ที่โหดน่าดู เวลาฆ่าหรือจะเขมือบใครนี่เล่นเอาบรื๋อไปเลยเหมือนกัน
แล้วก็เพิ่งมารู้ในภายหลังครับว่านี่เป็นหนึ่งในหนังที่ Stephen King แกชื่นชอบมากอีกเรื่อง (จากที่อ่านบทสัมภาษณ์ เห็นว่าถึงขั้นรักเลยล่ะ ) ก็เลยอยากลองดูแบบเต็มเรื่องเต็มราวสักรอบ
ตัวหนังนั้นออกแนวสยองแบบ “ธรรมชาติเอาคืน” ครับ หนังเล่าถึงเหตุการณ์กลางป่าที่เผอิญว่าป่าแถบนั้นมีโรงงานปล่อยน้ำเสียและของเสียออกสู่ธรรมชาติในปริมาณมากจนน่ากลัว แต่กระนั้นพวกนายทุนก็ไม่สนใจหรอกครับ ทำเงินได้ซะอย่างจะไปสนทำไม ยังทำลายป่าต่อไปเรื่อยๆ
ทีนี้ ดร. โรเบิร์ต เวิร์น (Robert Foxworth) ซึ่งได้รับมอบหมายมาจากหน่วยงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ให้เดินทางไปยังป่าแถบนั้นเพื่อตรวจสอบและทำรายงาน รวมถึงหาทางออกให้กับปัญหามลพิษที่กำลังรุนแรงอยู่ โดยเขาก็เดินทางไปพร้อมกับภรรยา (Talia Shire) ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่พอดี
ระหว่างทางเขาก็ได้พบกับกลุ่มคนที่กำลังทำการประท้วงโรงงานตัวการก่อมลพิษอยู่ นำโดย จอห์น ฮอว์ค (Armand Assante) และ ราโมน่า (Victoria Racimo ) ที่ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน พวกเจ้าของโรงงานก็ไม่เคยคิดจะแยแสแม้แต่น้อย
แต่แล้ววันที่ธรรมชาติจะเอาคืนก็มาถึงครับ เมื่อมีสัตว์ร้ายกลายพันธุ์อันเกิดจากสารพิษออกอาละวาด ฆ่าคนไปมากมาย ทำให้ทุกคนต้องหันหน้าจับมือกัน เพื่อจะนำพาตนเองหนีออกไปให้พ้นจากเขตป่านรกแห่งนี้… ว่าแต่จะหนีทันกันหรือไม่หนอ (ก็เดาได้ล่วงหน้าเลยครับว่าต้องมีคนหนีไม่รอดแหงมๆ)
โดยฟอร์มของหนังนี่ถือว่าไม่เล็กเลยนะครับ ทีมดาราก็มีฝีมือทั้งนั้น ผู้กำกับก็คือ John Frankenheimer แห่ง Birdman of Alcatraz และ The Manchurian Candidate ส่วนคนเขียนบทก็คือ David Seltzer ที่เป็นเจ้าของนิยายด้วยครับ พี่คนนี้ก็คือคนเขียนบท The Omen หนังสยองคลาสสิก อาถรรพ์หมายเลข 6 นั่นเอง
ผมพอจะเข้าใจนะครับว่าทำไมพี่ King แกถึงชอบหนัง ส่วนหนึ่งก็คงเพราะลีลาการเดินเรื่องมันคล้ายการเล่าสไตล์นิยายเหมือนกันน่ะครับ เหมือนเปิดอ่านไปทีละหน้าทีละบท บทนี้รู้จักตัวละคร บทนี้ก็รู้จักป่า บทนี้ก็ลุ้นกัน ได้อารมณ์นั้นเลยครับ
และส่วนที่เข้าท่าอีกอย่างก็คือ โลเคชั่นครับ เลือกป่าที่เป็นฉากหลังได้ยอดมาก มันดูเขียวสด สวยงาม เป็นป่าที่น่าไปเดินเล่นมาก แต่ขณะเดียวกันท่ามกลางความเขียวสวยนั้น มันก็ยังมีกลิ่นอายแห่งความลึกลับผสมอยู่ด้วยเหมือนกัน คือดูๆ ไปแล้วมันได้อารมณ์ประมาณว่า “ต้องมีตัวอะไรอยู่แถวนั้นน่ะ ไม่หมีก็ตัวอะไรสักอย่างที่อันตราย”
ครับ ผมชมหลายจุดเหมือนกันนะ แบบนี้แสดงว่าหนังดีมากแน่ๆ… จริงๆ ก็ไม่เชิงหรอกครับ
องค์ประกอบหลายอย่างที่ผมว่าไปนั้นคือจุดดีครับ อย่างการเล่าเรื่องก็ดูเป็นเนื้อเดียวดี น่าติดตามในระดับหนึ่ง และป่าเขาก็สวยงามซ่อนความลึกลับได้ดีด้วย แต่ปัญหาที่หนังเจอก็คล้ายกับปัญหาที่หนังแนวนี้หลายๆ เรื่องเจอน่ะครับ นั่นคือ บทยังไม่แน่นขนาดนั้น แม้การเล่าเรื่องจะได้สไตล์นิยาย แต่มิติความลึกในแต่ละช่วงนั้นยังไม่มากเท่าไร โดยเฉพาะความลึกของตัวละครครับ ที่แม้จะได้ดาราฝีมือดีมา แต่เนื่องจากบทไม่ค่อยเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้แสดงฝีมือเท่าไร มีแค่ Assante น่ะครับที่บทพอจะเปิดโอกาสให้เขาแสดงตัวตนหลายๆ ด้าน ทั้งด้านสุดโต่งและด้านมีเหตุผล แต่กับคนอื่นๆ นี่เหมือนจะมาแบนราบ แล้วก็วิ่งหนีสัตว์ร้ายอย่างเดียวเป็นหลัก
ผมว่าบทหนังที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครได้นี่มีผลช่วยให้เราโอเคกับหนังได้เยอะขึ้นเลยนะครับ เพราะเราจะพลอยลุ้นพลอยเอาใจช่วยไปโดยปริยาย อีกทั้งการรู้ลึกถึงนิสัยตัวละครนั้น จะทำให้เราอินไปกับการกระทำแต่ละอย่างของพวกเขาได้ อย่างการเสียสละหรือการเห็นแก่ตัวเป็นต้น
ก็เหมือนกับเวลาเราเห็นคนที่รู้จักโดนเข็มตำ กับคนที่ไม่รู้จักโดนมีดบาดนั่นแหละครับ ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงสนไปที่คนที่เรารู้จักก่อน
โดยสรุป หนังเรื่องนี้ก็เลยมีอะไรหลายอย่างที่ดี แต่โดยรวมๆ พอสรุปสำนวนแล้วก็พบว่ายังมีอีกหลายจุดที่ดันได้อีก ทำให้มันเด็ดได้อีกเยอะ (โดยเฉพาะบท ที่จริงๆ แล้วน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่การวิ่งหนีสัตว์ประหลาด เพราะหนังเปิดช่องให้เล่นกับประเด็น “ธรรมชาติเอาคืน” ได้อีกตั้งเยอะ)
จริงๆ ตัวหนังเองก็ดูได้ครับ เรื่อยๆ ดี ช่วงท้ายก็ลุ้นดี แต่ยังไม่ถึงกับดีมากเท่านั้นเอง
สองดาวนิดๆ ครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Monster Movies, Sci-Fi