Action

Men in Black III (2012) หน่วยจารชนพิทักษ์จักรวาล 3

81rGYkNdH-L._SL1500_

การกลับมาของบุรุษชุดดำรอบนี้ทำเอาผมห่วงตั้งแต่ประกาศสร้างเลยครับ เพราะเล่นทิ้งช่วงนานจนคิดว่าคงไม่มีตอนต่อออกมาแล้ว แต่ในที่สุด Barry Sonnenfeld ก็ขอย้อนมาจับหนังที่ทำเงินสูงที่สุดในชีวิตอีกครั้งหลังจากไปจับหนังเรื่องอื่นอยู่นานแต่ก็ไม่มีเรื่องไหนดังเท่า MIB

ด้วยความห่วงใย (เพราะผมเองก็ชอบหนังชุดนี้) ตามด้วยคำถามคาใจว่าหนังจะออกมาคืนฟอร์มได้ดีอย่างที่คนสร้างและคนดูอยากให้เป็นหรือไม่ และผลที่ได้สำหรับผม ถือว่าหนังเข้าขั้นดีเลยล่ะครับ

ถ้าถามว่าหนังมีอะไรใหม่ไหมก็คงต้องบอกว่าส่วนใหญ่เป็นอะไรที่คุ้นเคยมาจาก 2 ภาคแรก การเดินเรื่องก็ต้องเปิดด้วยการเปิดตัววายร้ายประจำตอน ซึ่งคราวนี้มันมีนามว่า บอริส ดิ แอนนิมอล (Jemaine Clement) ต่างดาวตาโตที่มีความแค้นกับเอเยนต์ เค (Tommy Lee Jones) มานานนับสิบๆ ปี จากนั้นก็เป็นภาระของ เค และ เจ (Will Smith) ที่ต้องเตรียมรับมือมัน แต่พล็อตก็เพิ่มความซับซ้อนลงไปหน่อยตรงที่เจ้าตัวร้ายมันไม่ได้มาซัดกับพวกเขาแบบโต้งๆ ครับ แต่มันเล่นย้อนเวลาไปฆ่าเคตั้งแต่ตอนหนุ่ม ทำให้เจต้องโดดข้ามเวลาไปยับยั้งมันให้ทัน

หนังก็ยังคงเป็น MIB น่ะครับ เดินเรื่องฉับไว พล็อตไม่ลึกลับ ระหว่างทางก็มีมุขขำๆ หยอดพอเพลินๆ ก่อนจะจบด้วยการปะทะกับตัวร้ายแบบลุ้นๆ สักหน่อย ซึ่งผมว่าไคลแม็กซ์ตอนตีกับบอริสช่วงท้ายนี่ทำได้อลังการเอาเรื่องนะครับ หลังจากภาคแรกที่ไม่ยิ่งใหญ่มากมาย ครั้นมาภาคสองก็ใหญ่ขึ้นมาอีก ส่วนภาคนี้น่าจะใหญ่สุด ถ้าว่ากันถึงดีกรีความลุ้นช่วงตีกันตอนท้ายนั้น ผมยกให้ภาคนี้มีอะไรมันส์ๆ เยอะสุด มีลุ้นมีเร้ามากสุด แต่ที่บอกว่ามากนี่หมายถึงมากสำหรับหนัง MIB ที่ผ่านมานะครับ แต่ถ้าเทียบกับหนังแอ็กชันหรือหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นๆ แล้ว MIB ก็อาจจะยังตามอยู่สักช่วงตัวหนึ่งได้

โดยส่วนตัวแล้วผมโอเคกับภาคนี้นะครับ มันยังเพลินๆ ขำๆ เหมือนเป็นการยำเอาจุดดีของ 2 ภาคแรกมาผสม นั่นคือความขำ ความกวนของตัวละครแบบภาคแรกกับการเดินเรื่องเร็วเหมือนรถด่วนแบบภาคสอง ซึ่งก็เป็นการยำที่อร่อยในระดับหนึ่ง

จุดที่ผมออกจะชื่นชมมากหน่อยคือหนังยังคงไม่ลืมเล่นกับแก่นแท้ของ MIB ซึ่งหลายคนมักจะมองว่านี่เป็นหนังบู๊เอาฮาที่ผสมไซไฟลงไป แต่เอาเข้าจริงภายใต้ “ต่างดาว ปืนเหล็ก Effect สลิง” แล้วหนังทุกภาคจะมีการสอดแทรกประเด็นดราม่า เหยาะปมของเหล่าเอเยนต์ชุดดำลงไปเป็นประจำ อย่างภาคแรกก็แทรกเรื่องความอ้างว้าง การไร้ตัวตน และการเป็นคนธรรมดาที่ต้องแบกรับชะตากรรมโลก (อย่างลับๆ) อยู่เป็นระยะๆ มาภาคสองหนังก็ต่อยอดเรื่องความอ้างว้างออกไปอีก ว่าทั้งเคและเจนั้นก็มีวาระเปล่าเปลี่ยว โหยหาใครสักคนเหมือนกัน แล้วเจ้าอารมณ์นี่เองที่เป็นได้ทั้งอุปสรรค หรือไม่ก็เป็นจุดเริ่มของหายนะของโลกได้เลยทีเดียว

ใช่ครับ MIB แทรกเรื่องพวกนี้ลงไปแบบเบาๆ และไม่ได้เน้นอะไรมาก จนผมแอบเสียดายเหมือนกันว่าถ้าหนังใส่อะไรพวกนี้เยอะอีก คุณค่าใน MIB น่าจะมีมากขึ้น และแล้วในที่สุดก็เหมือนพวกเขาจะคิดได้ซะทีครับ เลยใส่ประเด็นดราม่าลงมาในภาคนี้เยอะขึ้น โดยเฉพาะบทสรุปที่ถือว่าเป็นการร้อยเรียงหนังทั้ง 3 ภาคให้สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างค่อนข้างลงตัวทีเดียว (แต่เป็นปมอะไรขอให้ไปดูกันนะครับ ไม่อยากสปอยล์น่ะครับ)

ในใจอยากให้หนังสรุปลงที่ภาค 3 ก็พอครับ เพราะมันเป็นอะไรที่ “จบได้สวย” แล้วล่ะ สำหรับตัวหนังก็ถือว่าเป็นภาคที่ยังดูได้เรื่อยๆ ครับ มีจุดเข้าท่าและจุดพร่องผสมปนเปกันไป แต่อย่างน้อยโดยรวมหนังก็จัดว่าดี แต่ถ้าตั้งความหวังเยอะก็อาจจะผิดหวังได้ เพราะมันก็ไม่ได้เข้มข้นขึ้น ไม่ได้มีอะไรชวนอึ้งมากขึ้น ถ้าจะเรียกว่าหนังเป็น Same in Black ก็ได้น่ะแหละ

ดาราในหนังแทบค่อยมีอะไรให้ติครับ ทั้งหน้าเดิมอย่าง Smith และ Jones ส่วนหน้าใหม่อย่าง Josh Brolin ที่มาเล่นเป็นเควัยหนุ่มนั้นก็ถือว่าถอดแบบ Jones มาได้อย่างเยี่ยมทีเดียว แต่กระนั้นถ้าถามว่าลูกเล่นการแสดงมีอะไรเด่นเป็นพิเศษไหมก็คงต้องบอกว่าไม่ค่อยมีโอกาสเท่าไร อันนี้ก็โทษดาราไม่ได้ล่ะครับเพราะหนังยังคงตั้งมั่น “ไม่เน้นเข้มข้น นำเสนอแบบเบาๆ” อยู่ ทำให้ดาราแต่ละเจ้าไม่ได้แสดงฝีมืออะไรเท่าไร นอกจากไหลลื่นไปตามบท

ส่วนดาราเจ้าอื่นก็ออกแนวเสมอตัวครับ อย่าง Emma Thompson ที่บทน้อย แต่อย่างน้อยฉากคุณเธอพูดในงานไว้อาลัยเมื่อตอนต้นเรื่องนั้นก็พอจะฮาได้อยู่ Clement ที่มารับบทบอริสตัวร้ายก็ออกจะเรื่อยๆ ตอนแรกเหมือนจะเด่นนะครับ เพราะเปิดตัวมานี่หนังแสดงให้เห็นว่าบอริสน่าจะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด เก่ง แน่ ว่องไวที่สุด ซึ่งครึ่งแรกก็เหมือนจะใช่ครับ แต่พอตอนท้ายเมื่อต้องโซ้ยกับสองบุรุษชุดดำพี่แกกลับร้ายน้อยลงยังไงก็ไม่รู้เหมือนกัน

men-in-black-3-03

ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่ามีการทาบทาม Sasha Baron Cohen ให้มาแสดงบทบอริสแต่พี่ท่านก็บอกปัดไป ก็น่าคิดเหมือนกันว่าถ้าพี่โบแรทแกมาเอง บทบอริสนี่น่าจะมีลูกเล่นบ้าๆ เพิ่มขึ้นเยอะ

ไปๆ มาๆ คนที่ผมชอบที่สุดในเรื่องต้องยกให้ กริฟฟิน ต่างดาวที่เห็นอนาคต ซึ่ง Michael Stuhlbarg แสดงได้ดีครับ แววตาท่าทางนี่ดูบ้องแบ๊วมากๆ หรือตอนไหนแสดงดราม่าก็แววตาถึงเหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่พี่แกกล่าวคำว่า “ฉันไม่เคยทนดูช่วงนี้ได้สักที” เนี่ย ได้อารมณ์จริงๆ

ก็ถือว่าเป็นหนังเพลินๆ ครับ จะบอกว่าพี่ Barry Sonnenfeld แกคืนฟอร์มก็ไม่เชิง เพราะหนังส่วนมากของพี่แกมันก็ดูสนุกเพลิดเพลินหมดแหละครับ แต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง กับเรื่องนี้ก็มีอะไรน่าสนใจเยอะ และผมก็ชอบนะกับการที่เขาจับเอาเรื่องราวยุค 60 ตอนปลายมาแซวได้ค่อนข้างออกรสอย่างคุณพี่แอนดี้ วอร์ฮอลจอมติ๊สหรือเหตุการณ์ช่วงท้ายที่เป็นเงื่อนไขสร้างความลุ้นได้ไม่เลวทีเดียว

ระหว่างดู MIB สมองผมมันก็คิดเตลิดไปไกลเหมือนกันนะครับ จู่ๆ ตอนดูมันก็คิดไปว่า ถ้าให้เทียบแล้วผมว่าดีกรีของ MIB 3 นี่ก็อร่อยไล่ๆ กับภาคแรกนั่นแหละ แต่ความรู้สึกตอนดูมันต่างกัน สมัยภาคแรกฉายนั้นหนังแบบนี้ยังค่อนข้างสด ซึ่งเราในสมัยนั้น (ผมอยู่ประมาณมัธยมปลายน่ะครับ) ก็โอเคกับหนังค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้ด้วยความที่เวลามันผ่านมาสิบกว่าปี นักดูหนังอย่างเราๆ ก็ได้ดูอะไรประมาณนี้หรือสดใหม่กว่านี้ไปนักต่อนักแล้ว ได้เห็นสารพัดซูเปอร์ฮีโร่ ตั้งแต่ Spider-Man มาจนถึง The Avengers ได้เห็นหนังแอ็กชันไอเดียล้ำๆ ตั้งแต่ The Matrix มาจนถึง Inception อะไรเหล่านั้นทำให้ “ต่อมรับรส” ในการดูหนังของเราเปลี่ยนไป

ผมคิดเสมอว่าหนังเรื่องไหนที่สนุกมันจะต้องคลาสสิกไม่หายไปตามกาลเวลา แต่กระนั้นก็ยังมีหนังอีกหลายเรื่องครับ ที่ไม่ใช่ว่าไม่สนุก เพียงแต่มันอาจจะไม่ได้สุดยอดไปยืนอยู่ในระดับ Top Ten แต่มันก็ยังดูได้โดยไม่ส่ายหน้า ทว่าพอเวลาผ่านไป “รสชาติที่เคยอร่อยพอประมาณ” ก็อาจกลายเป็นของพื้นๆ ได้เมื่อเวลาผ่านไปนานพอ

สำหรับการดู MIB 3 ครั้งนี้ ผมกลับรู้สึกโอเคกับมันมากขึ้น ไม่ใช่เพราะเห็นใจหรืออะไรหรอกครับ แต่มันเหมือนเราได้ย้อนไปเจอกับเพือนเก่า ได้ย้อนไปดูสไตล์หนังที่เคย “Hit” หรือคนดูเคยชมว่ามัน Fresh เมื่อกว่า 10 ปีมาแล้ว

ถึงนาทีนี้ผมกำลังยิ้มครับ ยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณที่อย่างน้อยครั้งหนึ่งเหล่าบุรุษชุดดำเคยทำให้เรากระวีกระวาดซื้อตั๋วด้วยความอยากดูอย่างแรง ทำให้เราเพลิน สนุก ขำ และผ่อนคลาย… คงเพราะอย่างนี้มั้งครับผมเลยไม่ค่อยรู้สึกลบกับหนังเท่าไร เหมือนเจอเพื่อนเก่าหน้าเดิม ที่แม้มุขที่เล่นจะเดิมๆ บ้าง การคุยกันจะไม่ถูกคอไปเสียทั้งหมดบ้าง หรือไม่ได้อย่างใจบ้าง แต่ก็พอให้อภัยได้

เหมือนจะเข้าข้างบุรุษชุดดำแต่ก็เปล่าหรอกครับ ตัวหนังมันก็มีดีกำลังเหมาะ ถ้าหวังมากก็คงมีจุดให้บ่นมาก แต่สำหรับผม แค่เจอกันอีกสักทีเป็นการส่งท้ายก็โอเคแล้วล่ะ

ผมชักจะเข้าใจความรู้สึกของคุณอานักวิจารณ์ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ที่เมื่อถึงจุดหนังหลังจากเราดูหนังมาก วิจารณ์มามาก เราจะถึงจุดที่ไม่อะไรกับมันมากอีกต่อไป แค่คิดว่าไปดูเพื่อนเก่าเล่าเรื่องให้ฟัง ก็เท่านั้นเอง

… รู้สึกแก่ยังไงก็ไม่รู้แฮะเรา

แล้วแต่ล่ะนะครับ ถ้าไม่หวังมาก็น่าจะดูได้เพลินๆ แต่ถ้าเริ่มเอียนเหล่า MIB แล้วก็ข้ามๆ ไปได้

สำหรับผม… ดูสนุก มีพัฒนาการนิดๆ พร้อมบทสรุปที่น่าจดจำ… โอเคแล้วล่ะ

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)