รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Herbie Goes Bananas (1980) รถมหาสนุก ตอน ลุยแบบกล้วยๆ

1385441662

และนี่คือภาคต่อตอนที่ 4 ของหนังชุดรถมหาสนุก เฮอร์บี้ ซึ่งเป็นตอนที่ได้รับความนิยมน้อยสุดๆ จนหนังชุดนี้มีอันต้องหยุดสร้างไปน่ะนะครับ

ภาคนี้ไม่มีจิม ดักลาส ไม่มีการแข่งรถ โดยเหตุย้ายมาเกิดที่เม็กซิโกครับ เมื่อสองหนุ่มเพื่อนซี้ พีท (Stephen W. Burns) และดี.เจ (Charles Martin Smith) ได้เป็นเจ้าของใหม่ของเฮอร์บี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่ค่อยมีบทบาทกับเรื่องหรอกครับ ตัวเอกจริงๆ กลายเป็น เด็กน้อยนักล้วงกระเป๋านามว่าเปโก้ (Joaquin Garay III) ที่ก่อเรื่องไปขโมยของจากพวกนักธุรกิจผิดกฎหมายจนโดนตามล่า ทีนี้พอเฮอร์บี้เห็นเหตุการณ์เข้าก็เลยยื่นล้อเข้าช่วย อันนำมาสู่เรื่องวุ่นมากมายตั้งแต่บนบกไปจนถึงบนเรือ ตั้งแต่ในเมืองจนไปถึงป่าอันเป็นที่ซ่อนของสมบัติโบราณแห่งอินคา

หนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องในความทรงจำของผมเหมือนกันครับ แต่เป็นความทรงจำที่ไม่สวยเท่าไร คืออย่างนี้ครับ ผมเคยดูเรื่องนี้รอบแรกตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก หลังจากประทับใจหนัง Herbie ตอนก่อนๆ มาโดยตลอด มาเห็นภาคนี้ออกมาก็เลยเช่ามาดู… แต่ปรากฏว่าผมไม่สามารถทนดูจนจบได้!

เมื่อย้อนมองไปอดีต ค้นหาความรู้สึกตนเองในยามนั้นก็ได้คำตอบว่า รู้สึกไม่ชอบหนังเลยครับ ไม่ถูกใจเท่าไร อย่างแรกคือตัวเอกที่ปกติเฮอร์บี้จะช่วยเหลือคนดี คนซื่อและอ่อนโยน แต่มาภาคนี้ตัวเอกจริงๆ ไม่ใช่ 2 หนุ่มเจ้าของรถ (ที่แสนซื่อและอ่อนโยน) แต่กลับเป็นเด็กหัวขโมยที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวายไม่สิ้นสุด ตั้งแต่ขโมยของ 2 หนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยังพาเฮอร์บี้ไปพบความลำบากจนถึงขั้นที่ทำให้เฮอร์บี้ถูกโยนลงจากเรือ… ใช่ครับ สำหรับเมื่อสมัยเด็กๆ นั้น การเห็นภาพรถเฮอร์บี้โดนถีบลงจากเรือมันไม่ใช่อะไรที่สนุกเลยครับ จำได้แม่นเลยว่าผมหยุดวีดีโอเลิกดูมันตอนนั้นแหละ

มันทำกับเฮอร์บี้อย่างนี้ได้ยังไงอ้ะ

Untitled03903

อ้อ ยังไม่หมดครับ ย้อนไปก่อนหน้านั้นนิดหนึ่งนะครับ จุดไม่โดนใจอีกอย่างก็คือ ในเรื่องนี้ไม่มีใครเรียกเฮอร์บี้ว่าเฮอร์บี้เลยครับ มีแต่เจ้าเด็กเปโก้ตั้งชื่อเรียกเฮอร์บี้ใหม่ว่าโอโช่… โอโช่… โอโช่!

ด้วยความซื่อสมัยเด็ก ผมพาลนึกไปว่าตัวเองเช่าหนังมาผิดเรื่อง!

นี่ล่ะครับ ตอนเด็กดูแล้วรู้สึกลบต่อหนังมากๆ จนดูไม่จบ และผมเพิ่งเอามาดูจนจบไม่กี่วันก่อนนี่เองครับ เพื่อเอามาดูและเขียนถึงหนังชุดนี้ให้ครบถ้วน

การดูอีกครั้งตอนโตขึ้น… มันก็ไม่ได้เปลี่ยนความรู้สึกนักหรอกครับ คือมันอาจไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดนั้น แต่ถ้าพูดถึงความสนุกก็ถือว่าไม่มากอยู่ดีครับ ใจจริงผมอยากให้หนังเปลี่ยนบทเลยนะ คือให้ 2 หนุ่มแสนซื่อเป็นตัวเอก แล้วก็ผจญภัยไปเรื่อยๆ กับเฮอร์บี้ แล้วก็รับมือกับนักธุรกิจตัวร้าย เราก็คงได้บรรยากาศเก่าๆ ดีๆ คืนมาน่ะครับ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าทิวทัศน์ของเม็กซิโก หรือปานามาที่หนังใช้นั้นถือว่าไม่เลวครับ ดูสวยแบบอเมริกาใต้ดี และที่ชอบอีกอย่างคือ “กล้วย” ครับ ผมว่าตอนใช้กล้วยมาเล่นมุขนั้นถือว่าไม่เลวนะ ดูแปลกๆ แต่ก็ได้อารมณ์ขันน่ารักๆ ดี

กล่าวโดยรวมคือภาคนี้ไม่ประทับใจนักครับ คือต้องทำใจหนักๆ หน่อย ไม่เอาภาพภาคก่อนๆ มายึดติดก็อาจจะพอเพลินได้ อ้อ อีกอย่างที่ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่แม้จะดูตอนโตแล้วคืออะไรรู้ไหมครับ… ปรากฏว่าครึ่งหลัง (หลังจากเฮอร์บี้โดนถีบลงทะเล) เฮอร์บี้กลับมาอีกครั้งในสภาพสนิมเขรอะ สนิมเกาะจนเรามองไม่เห็นเลข 53 และมันยังโดนทาสีจนเละอีกต่างหาก…

“นี่นายเอาเฮอร์บี้เราไปทำอะไรฟะ” คำนี้น่าจะบรรยายอารมณ์ผมได้ตรงที่สุดครับ 5555

ภาคนี้กำกับโดย Vincent McEveety จากภาคก่อน ก็ไม่ใช่งานที่น่าพอใจนักน่ะครับ แต่ปกติเขาจะเก่งในการกำกับหนังทีวีครับ อย่าง Star Trek ฉบับซีรี่ส์ตอน Balance of Terror เป็นต้น

โดยรวมๆ ถ้าไม่คิดมากก็ดูได้ครับ จริงๆ ผมว่าบท 2 หนุ่ม (ที่น่าจะเป็นตัวนำ) นั้นดูเหมาะกำลังดีกับนักแสดงเลยนะครับ แล้วไหนจะได้ Elyssa Davalos มารับบทเมลิสซ่า เธอคนนี้ถ้าเป็นบทประเภทเรียบร้อย สุภาพล่ะก็จะน่ารักมากๆ ครับ และเรื่องนี้เธอก็ได้รับบทแบบนั้นแหละครับ เสียดายบทยังไม่เยอะพอ

ไม่ถึงสองดาวครับ

Star12

(5/10)