จากนิยายของ Michael Crichton ผู้ประพันธ์ Jurassic Park มาสู่ฉบับหนังครับ กับเรื่องราวแนวชีวิตผสมการหักเหลี่ยมหักเล่ห์กัน
ตัวเอกคือ ทอม แซนเดอร์ส (Michael Douglas) พนักงานมือเยี่ยมในบริษัทที่กำลังรอว่าเมื่อไรเบื้องบนจะเลื่อนขั้นให้เขาสักที แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อตำแหน่งหัวหน้าแทนที่จะเป็นเขา กลับตกเป็นของเมเรดิธ จอห์นสัน (Demi Moore) อดีตแฟนคนหนึ่งของเขา
การต้องทำงานใต้แฟนเก่าก็อึดอัดพออยู่แล้ว แต่เมื่อเมเรดิธกลับพยายามจะยั่งยวนและล่วงละเมิดทางเพศกับเขา นั่นก็ยิ่งทำให้หน้าที่การงานของทอมตกอยู่ในสถานะลำบากหนักขึ้นไปอีก
ฉบับนิยายในบ้านเราเคยมีการแปลออกมาครับ ชื่อไทยว่า “เปิดโปง” ซึ่งก็เข้มข้นได้รสตามสไตล์นิยายของ Crichton สำหรับฉบับหนังนี่ก็ได้ฝีมือ 2 ดารานำมาเชือดเฉือนกัน สร้างความน่าติดตามให้หนังได้เยอะ และที่น่าสนใจคือการจับเอาประเด็น “การล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน” มาเล่น แต่ปกติจะเป็นผู้ชายทำกับผู้หญิง แต่นี่ผู้หญิงทำกับผู้ชายแทน ซึ่งแม้เรื่องจะเป็นแบบนั้นแต่ยังไงคนที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายกระทำก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี นั่นเท่ากับฝ่ายชายนี่งานเข้าเลยครับ ซวยแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นฝ่ายตั้งใจทำอะไรแบบนั้นก็ตาม
อย่างที่บอกครับว่าความสนุกคือการได้เห็น Douglas กับ Moore มาเฉือนฝีมือกัน ซึ่ง Douglas นั้นก็รับบทเป็นฝ่าย “โดนกระทำ” ได้น่าพอใจทีเดียว คือปกติเราจะเห้นพี่แกเป็นฝ่ายกระทำชาวบ้านใช่ไหมครับ แต่เรื่องนี้เขาเป็นคนมีครอบครัว พยายามจะทำให้ตัวเองก้าวหน้า ว่าง่ายๆ คือเขาไม่ใช่คนไม่ดีหรือนอกลู่แต่อย่างใด แต่กลับต้องมาเจอแฟนเก่าทวงแค้นผ่านการทำงานแบบนี้ ไปๆ มาๆ ดูน่าสงสารไปเลยครับ ส่วน Moore ก็เล่นบทร้ายได้จัดจ้านไม่ผิดหวัง เอาแค่แววตาตอนเธอจะเล่นเกมกับทอมนี่ก็ได้ใจแล้วครับ มันแสดงชัดเลยว่าเธอนี่ร้ายลึกมากๆ
แต่ในแง่ของบทนั้นอาจยังไม่เข้มขนาดนั้น แม้ผู้กำกับระดับออสการ์อย่าง Barry Levinson (Rain Man) จะคุมหนังได้ค่อนข้างอยู่ แต่เนื่องจากบทหนังไม่ค่อยต่อยอดประเด็นต่างๆ ที่หนังเปิดไว้ คือเล่นแต่เล่นไม่สุด ก็เลยทำให้หนังพลอยไม่สุดไปด้วย
ตัวหนังก็ถือว่าประสบความสำเร็จในหลายด้านครับ ตั้งแต่ Crichton ผู้เขียนนิยายที่ได้ค่าลิขสิทธิ์น้ำหมึกตั้ง $1 ล้าน ตั้งแต่ก่อนนิยายจะได้รับการตีพิมพ์ซะอีกนะครับ ด้านรายได้ก็ทำไป $212 ล้านจากทั่วโลก (ในอเมริกาทำไป $83 ล้าน) โดนทุนสร้างอยู่ที่เพียง $32 ล้านเท่านั้นครับ ดังนั้นกำไรนี่เต็มๆ ทีเดียว
เกร็ดเล็กๆ ที่น่าสนใจคือ แรกเริ่มเดิมทีคนที่จะได้มากำกับหนังเรื่องนี้คือ Milos Forman (One Flew Over the Cuckoo’s Nest, Amadeus และ The People vs. Larry Flynt) ผู้กำกับระดับออสการ์อีกคนที่ดูจะเหมาะกับหนังที่ว่าด้วยเรื่องอื้อฉาวสไตล์นี้ แต่พอดีว่าความเห็นของเขากับ Crichton ไม่ตรงกันครับ Forman เลยถูกถอดออกไป แล้วก็ได้มาเป็น Levinson แทน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วก็อยากให้ Forman ได้ทำนะครับ คาดว่าหนังน่าจะถึงอีกหลายขั้น แต่ขณะเดียวกันก็คงมีความเป็น “หนังตลาด” ลดลงไปอีกเยอะเหมือนกัน ว่าง่ายๆ คือขายยากขึ้นน่ะครับ
ดูแล้วก็สะท้อนความจริงอันน่าขันของมนุษย์นะครับ ว่าแม้จะมีการพัฒนาหรือยกระดับในด้านต่างๆ อย่างพัฒนาศักยภาพตนเอง พัฒนาระบบเศรษฐกิจ สังคม การทำงาน การปกครอง การดำรงชีวิต ฯลฯ แต่ยังไงสัญชาตญาณที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอย่าง “เรื่องเพศ” ก็ยังตามมามีอิทธิพลได้เสมอ ซึ่งบางครั้งเรื่องพวกนี้ก็มีอิทธิพลเพราะ “เราไม่เจตนา แต่มันมาเอง” แต่บางทีสำหรับบางคน มันกลับกลายเป็น “เราเจตนาและเราอร่อยเพลิดเพลินกับมัน”
ไม่ขอสรุปว่าอะไร “ถูก” หรือ “ผิด” เพราะ 2 คำนี้ไม่เคยมีนิยามที่ตรงกันอยู่แล้ว ต่างคนก็มองต่างไป ต่างบรรทัดฐานกันไป… หรือไม่บางคนก็คิดว่ามันเป็นแค่ “คำที่คนดัดจริตนิยามขึ้นมา” เท่านั้น
ที่น่าคิดกว่าคือโลกที่คนเมินคำว่าถูกหรือผิด โลกที่ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำของตนแล้วก็ทำมันตามใจ มันจะมีโฉมหน้าเป็นเช่นไร… และเราจะยินดีที่จะอยู่บนโลกนั้นจริงๆ หรือ?
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Drama, Thrillers