แล้วนาร์เนียก็มาถึงภาค 3 แล้วนะครับ ก็ต้องลุ้นกันต่อไปว่าภาค 4 จะมีหรือไม่ เพราะรายได้และคำวิจารณ์ภาคนี้หมิ่นเหม่เหลือเกินครับ โอกาส 50/50 แต่ก็อยากให้มีออกมาอีกนั่นแหละครับ ไหนๆ ทำออกมาตั้ง 3 ตอนแล้วนี่หน่า
ภาคนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งเปลี่ยนคนกำกับ (จาก Andrew Adamson เป็น Michael Apted) เปลี่ยนบริษัทผู้สร้างจาก Disney มาเป็น Fox ทำให้โทนหนังภาคนี้ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น แต่กระนั้นก็ยังถือว่าละมุนละม่อมแบบเด็กดูได้เช่นเคย
แต่ถึงจะเปลี่ยนอะไรยังไง นาร์เนียก็ยังคงโครงหลักว่าด้วยการผจญภัย การค้นหาตนเอง และการเอาชนะความชั่วที่มาในหลากรูปแบบเช่นเคย
คราวนี้ 4 พี่น้องตระกูลพีเวนซี่กลับมาผจญภัยในนาร์เนียเพียงแค่ 2 คนครับ คือ เอ็ดมันด์ (Skandar Keynes) กับ ลูซี่ (Georgie Henley) พวกเขาต้องมาจับมือกับเจ้าชายแคสเปี้ยน (Ben Barnes) ผจญภัยไปยังสุดขอบโลกนาร์เนียเพื่อสลายคำสาปร้ายที่สามารถทำลายอาณาจักรนาร์เนียลงได้ และวิธีที่จะสลายคำสาปนั้น พวกเขาก็ต้องตามหา 7 ขุนนางผู้สาปสูญให้พบเจอ พร้อมคืนพลังให้กับพวกท่าน พวกเขาจึงต้องตระเวนไปตามเกาะในตำนาน ที่มีสิ่งลึกลับสารพัดซ่อนเร้นอยู่
จริงๆ ภาคนี้เนื้อเรื่องสนุกมากนะครับ ในเคยอ่านนิยายคงทราบดีว่าเล่มนี้มันส์มาก สนุกมาก มีอะไรเยอะมาก แต่สำหรับฉบับหนังนั้น คงต้องบอกว่าความสนุกสนาน ลุ้น ตื่นเต้นกลับไม่มากเท่า 2 ภาคแรก
การเดินเรื่องออกจะเรื่อยๆ เกินคาดครับ การผจญภัยในแต่ละเกาะก็ไม่ได้ซับซ้อนตื่นเต้นอะไรนัก ทั้งๆ ที่การผจญภัยครั้งนี้ใหญ่มากนะครับ ใหญ่กว่า 2 ภาคก่อน เพราะต้องออกเรือทัวร์ทั่วผืนน้ำนาร์เนีย และแต่ละเกาะ แต่ละผืนน้ำก็ไม่ได้มีแค่น้ำกับปลาเท่านั้น มันมีสัตว์ร้าย มีคำสาป มีอาถรรพ์ซ่อนอยู่มากมาย แต่ลีลาการนำเสนอกลับออกมาธรรมดาผิดคาด ฉากที่ถือได้ว่าลุ้นที่สุด ตื่นเต้นที่สุดก็มีเพียงตอนปะทะกับงูมรณะในตอนท้ายน่ะครับ อันนั้นทำได้ดีทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ก่อนหน้านั้น หนังไม่ค่อยมีอะไรมาชวนให้ใจเราระทึกหรือติดตามสักเท่าไร
แม้ความตื่นเต้นจะไม่เต้มที่ แต่อย่างน้อยปมประเด็น “การค้นหาตนเองสไตล์นาร์เนีย” ก็ยังพอมีให้่สัมผัสครับ อย่าง ลูซี่ ที่มองว่าตัวเองไม่สวยและไม่มีจุดเด่นเท่าพี่ซูซานของเธอ จนเธออยากจะเลิกเป็นตนเอง และพยายามจะเป็นให้เหมือนซูซานแทน
อันนี้ก็เป็นประเด็นดีๆ ที่สอนเด็กได้ครับว่า จริงๆ แล้วแต่ละคนก็มีจุดเด่นที่ต่างกันไป คนอื่นอาจจะเด่นกว่าเรา ดูดีกว่าเราในบางเรื่อง แต่กระนั้นการมัวแต่ไปวิ่งตามตัวตนคนอื่นนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไร นอกจากจะทำให้เรารู้สึกแย่มากขึ้น เพราะยิ่งดูถูกตัวเองมากขึ้นก็จะยิ่งทุกข์
สู้เอาเวลามาพัฒนาจุดเด่นตนเอง ยอมรับสิ่งที่เราเป็น และใช้จุดเด่นที่เรามี มาทำสิ่งดีๆ จะเข้าท่ากว่า อะไรพวกนี้แหละครับที่สอนจนลูซี่เข้าใจว่า เธอไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าเป็นซูซานคนที่ 2 เพราะเธอสามารถเป็น ลูซี่ เด็กสาวหนึ่งเดียวคนนี้ที่กล้าหาญ และเชื่อมั่นในความถูกต้องเสมอมา
อีกประเด็นที่ผมชอบคือเรื่องของยูสตัส (Will Poulter) ลูกพี่ลูกน้องจอมอาละวาดของพี่น้องพีเวนซี่ ที่ติดสอยห้อยตามมายังนาร์เนียแบบไม่เต็มใจ รายนี้ก็ป่วนได้ใจครับ แต่ผมก็เข้าใจเลยนะ ว่าทำไมยูสตัสถึงถูกดูดมานาร์เนียด้วย… ก็มาเพื่อให้อัสลานดัดนิสัยไงล่ะครับ
ยูสตัสก็เหมือนเด็กเอาแต่ใจทั่วไป ที่ไม่สนใจใคร คิดแต่เรื่องของตัวเอง คิดว่าตนคือศูนย์กลางจักรวาล อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ตนต้องการ และถ้าใครขัดใจเขาก็จะมองเป็นศัตรูทั้งหมด
แต่แล้วนาร์เนียและอัสลานก็ทำการสอนให้เขาสำนึก ผ่านการผจญภัย เพื่อให้เขาเรียนรู้การเสียสละ ความมีน้ำใจ การคิดถึงคนอื่นก่อนตนเอง การทำเพื่อส่วนรวม ฝึกความอดทนและรู้จักคุมอารมณ์ พอเสร็จการผจญภัยยูสตัสก็เปลี่ยนเป็นอีกคนอย่างเห็นได้ชัด
ก็ต้องชมเจ้าหนู Will Poulter ด้วยล่ะครับ เล่นได้ดีทีเดียว
เรื่องของเจ้าหนูยูสตัสนี่ก็เป็นต้นแบบให้พ่อแม่นำไปใช้สอนลูกได้… โอ้ ไม่ได้หมายถึงให้จับลูกคุณไปเจอกับงูทะเลยักษ์นะครับ แต่เรานั้นควรปล่อยให้ลูกได้มีประสบการณ์ ได้ลองผจญภัย (ทำอะไรเอง) ดูบ้าง อย่าเอาแต่โอ๋ลูก ตามใจลูก หรือเกาะลูกแจ เราต้องให้โอกาสเขาเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านทางการพบเพื่อน ผ่านทางการเรียน ผ่านทางการเที่ยว ผ่านทางการอ่าน ผ่านทางทีวี ฯลฯ อย่าปิดกั้น อย่าหวงลูกเกินเหตุแบบไข่ในหินครับ แต่เราควรทำตัวเหมือนอัสลาน นั่งดูลูกเรียนรู้ ให้คำแนะนำยามที่จำเป็น
… ผมว่าหนังสือ (และหนัง) ชุด Narnia นี่เป็นได้ทั้งตำราสอนลูก และตำราสอนพ่อแม่ไปพร้อมๆ กันเลยนะครับ
ถ้าไม่นับความเรื่อยเกินไปหน่อยของตัวหนังและไม่เอาไปเทียบกับภาคก่อนๆ ก็คงบอกได้ว่า Narnia ภาคนี้ดูได้เรื่อยๆ ครับ แต่ถ้าอยากได้ความตื่นเต้นสนุกสนานแบบครบรส แนะนำให้หานิยายมาอ่าน ยังมีอะไรเด็ดๆ ในนิยายอีกเยอะ ที่หนังไม่ได้ใส่ลงไปด้วย
ดู Narnia แต่ละภาคก็ชวนให้คิดครับ ว่าชีวิตเราก็เต็มไปด้วยการผจญภัยในทุกๆ วัน บางวันก็ต้องเจอกับเรื่องของตัวเองให้ปั่นป่วน บางวันก็ต้องเจอเรื่องคนอื่นมาป่วนปั่น บางวันก็ต้องเจอบททดสอบชีวิต บางวันก็ต้องสอนคนอื่น ฯลฯ
จุดสำคัญมันอยู่ที่ว่า เราเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหน เราแก้ปัญหาได้ดีขึ้นหรือไม่เมื่อเจอปัญหาเดิมๆ อีกครั้ง ถ้าแก้ได้ เรียนรู้ได้ เข้าใจได้ ก็เท่ากับเราจบการผจญภัยไปหนึ่งรอบ…
สำหรับผมภาคแรกสนุกสุด ภาคสองสนุกรอง และภาคสามก็สนุกรองลงมาอีกที… เอาเป็นว่าอย่าคาดหวังครับ แล้วคุณจะพอสนุกสนานไปกับการผจญภัยครั้งที่ 3 ในนาร์เนียได้พอตัว
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Family, Fantasy