รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Scream 3 (2000) สครีม 3 หวีดสุดท้าย… นรกยังได้ยิน

46962e9897d7fd562cd73ac8ed12a266

การรีวิว Scream 3 นี้คงต้องมีการแยกพูดถึง ระหว่างคุณภาพของหนัง กับเรื่องความชอบส่วนตัวครับ

เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว คุณภาพของภาคนี้เรียกว่าอาจไม่เทียมเท่า 2 ภาคแรก แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบก็ภาคนี้อยู่นะครับ รู้สึกมันดูเพลินมีความน่าติดตามในแบบของมันดี

เนื้อเรื่องภาคนี้คือบทสรุปของไตรภาคที่ Kevin Williamson ได้วางเรื่องไว้ตั้งแต่วันที่เขียนบท Scream ภาคแรกเสร็จ แต่ตัวเขาก็ไม่ได้กลับมาเขียนบทให้ครับ เนื่องจากตอนนั้นชื่อของเขากำลังร้อน ทำให้มีงานรุมล้อมมากมาย อย่างการเกลาบทให้หนัง The Faculty, เขียนบทและกำกับหนังของตัวเอง Teaching Mrs. Tingle แล้วยังมีซีรี่ส์ที่ชื่อ Wasteland ให้เขาดูแลอีกต่างหาก (แต่ซีรี่ส์นั้นก็อายุสั้นครับ ทำได้แค่ 13 ตอนก็ต้องเลิก เพราะไม่ได้รับความนิยม)

ลองว่างานล้อมหน้าหลังขนาดนั้น เขาเลยไม่มีเวลาและสมาธิจะมาเขียนบท Scream 3 ให้เสร็จดังที่ตั้งใจ ได้แต่ร่างพล็อตคร่าวๆ ความยาวประมาณ 20 – 30 หน้าออกมาแทน ในที่สุดทาง Miramax ก็ไปเรียกตัว Ehren Kruger มือเขียนบทหน้าใหม่ที่ได้คำชมไปพอตัวจากหนังระทึกขวัญดีๆ อย่าง Arlington Road โดยหน้าที่ของเขาก็คือการเอาพล็อตจาก Williamson มาเขียนต่อยอดให้เป็นบทหนังเรื่องนี้

กล่าวกันว่า Kruger เมื่ออ่านพล็อต Scream 3 ที่ Williamson เขียนแล้ว ก็ตัดสินใจตัดโน่นตัดนี่ออก และยังเปลี่ยนอะไรอีกหลายอย่าง เช่น แรกเริ่มเดิมทีบทของ Williamson กำหนดให้เรื่องในภาคนี้มาเกิดที่เมืองวู๊ดสโบโรว์อีกครั้ง และเหตุการณ์จะเกี่ยวกับกองถ่ายหนัง Stab ยกทีมมาถ่ายหนังภาคใหม่ในสถานที่จริง แล้วเจ้าฆาตกรหน้าผีก็ปรากฎตัวอีกครั้ง แต่ Kruger ก็ตัดสินใจโยกเรื่องให้มาเกิดที่ฮอลลีวู้ดแทน เพราะเขาอยากให้เรื่องใน Scream มันยิ่งใหญ่ขึ้นตามลำดับ (ภาคแรกในเมืองเล็กๆ ภาคสองมามหาลัย และภาคสามก็โกฮอลลีวู้ดซะเลย )

เนื้อเรื่องก็เล่าถึงหลายปีต่อมา ได้เกิดการฆาตกรรมนักแสดงหนัง Stab 3 (หนังที่สร้างจากเหตุการณ์ในวู๊ดสโบโรว์) ทำให้ซิดนี่ย์ เพรสค็อตต์ (Neve Campbell), เกล เวเธอร์ส (Courteney Cox) และ ดิวอี้ (David Arquette) กลับมาเผชิญหน้ากับฝันร้ายอีกครั้ง และดูเหมือนว่าครั้งนี้ พวกเขาจะได้ค้นพบกับต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดด้วย

1361984183

โดยส่วนตัวแล้วผมยังชอบอยู่นะครับ ภาคนี้มีองค์ประกอบสนุกๆ เยอะ อย่างการที่หนังลดความสยองลงนิด แล้วเพิ่มดีกรีความเป็นหนังสืบสวนตามปมปริศนาเข้าไป ซึ่งในส่วนของการตามปมนี่นับว่าน่าติดตามดีครับ เพราะเปิดเรื่องมาหนังก็ทิ้งปมให้คนดูคิด เพราะครั้งนี้หลังจากเจ้าฆาตกรหน้าผีลงมือฆ่าเหยื่อรายแรกแล้ว มันได้ทิ้งของชิ้นหนึ่งเอาไว้ นั่นคือรูปภาพของมัวรีน เพรสค็อตต์ แม่ของซิดนี่ย์ที่โดนฆาตกรรมไปนั่นเอง ซึ่งนำมาสู่คำถามครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น

แล้วการตามปม ทิ้งปม เฉลยปมก็ทำได้น่าสนใจดีครับ ในเรื่องของปมนั้นถือว่ามีเหตุผลเข้าท่า และเป็นการสรุปเรื่องไตรภาคได้ดีทีเดียว

ส่วนที่ชอบต่อมาคือการเดินเรื่องที่ค่อนข้างไว ดาราก็เล่นกันได้ดีครับ นอกจาก 3 ตัวหลักแล้ว รายที่ขอคารวะเลยก็คือ Parker Posey ในบทเจนนิเฟอร์ โจลี่ ที่มาแสดงเป็นบทเกลในหนัง Stab น่ะครับ เจ๊แกเล่นได้เยอะ ได้ฮา ได้แสบมากๆ ดีกรีความฮานี่เพิ่มได้เพราะเธอนี่แหละ ยิ่งตอนมาเข้าคู่กับเกลตัวจริงยิ่งฮาไปกันใหญ่

แล้วก็ยังมี Liev Schreiber กลับมารับบท ค็อตตอน เวียรี่ย์, Patrick Dempsey มาเป็นนักสืบคิดเคดที่คอยตามคดีไอ้หน้าผีไล่ฆ่าดาราหนัง Stab, Lance Henriksen มาเป็น จอห์น มิลตั้น ผู้อำนวยการสร้างหนัง Stab แล้วก็ยังมี Jenny McCarthy, Emily Mortimer, Patrick Warburton, Heather Matarazzo แต่รายที่โผล่น้อยทว่าน่าจดจำต้องยกให้ Carrie Fisher ที่ลงมาเพื่อแซวตัวเองโดยเฉพาะ แล้วก็คู่บ้าเจย์กับไซเลนท์ บ็อบ ก็ยังอุตส่าห์โผล่มาด้วยฉากหนึ่ง

ในเรื่องของดารานี่ไม่แพ้ภาค 2 ครับ พล็อตและปมก็น่าสนใจ แต่ส่วนค่อนข้างจะสาละวันถอยหลังแบบเหนือความคาดหมายคือความตื่นเต้น ฉากฆาตกรรม และตัวละครที่ออกแนวต๊อง สติน้อย อีกทั้งชอบยึดหลัก “แยกกันเราตาย” แบบหนังสยองทั่วๆ ไป

เรามาว่ากันที่ความตื่นเต้นหรือความลุ้นกันก่อนนะครับ มันออกจะซ้ำแนวเดิม จริงๆ มันอาจจะไม่ได้ตื่นเต้นน้อยลงหรอกครับ เพียงแต่มันเริ่มซ้ำทาง แนวทางการฆ่าเริ่มเดาได้ เปลี่ยนแค่สถานที่และเหยื่อเท่านั้นเอง สูตรการฆ่าก็คงที่ครับ นั่นคือก่อนจะมีใครโดนเอามีดเสียบ เจ้าฆาตกรต้องทำเสียงแปลกๆ ให้เหยื่อสงสัยว่าตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว หรือไม่ก็ต้องโทรมานัดก่อน ว่าเค้าจะฆ่าตัวแล้วน้า รอแป๊บนึงละกาน อ้า แล้วจากนั้นก็เอามีดไล่จิ้มตามสะดวก

และที่ออกจะตะหงิดเยอะหน่อยก็คือ การที่ตัวละครชอบแยกกันไปหาเรื่องตายแทนที่จะรวมกันเอาไว้แล้วช่วยกันซัดกับเจ้าฆาตกร ซึ่งเป็นแบบนี้บ่อยมากครับ อย่างตอนกลางเรื่องที่รถเทรลเลอร์ของเจนนิเฟอร์ หรือในตอนท้ายที่คฤหาสน์ของมิลตั้น ทุกท่านนี่ขยันวิ่งแยกย้ายกันไปตายเหลือเกิน

พอนึกย้อนไป ก็ตระหนักถึงความดีของบทใน 2 ภาคก่อนครับ เพราะส่วนใหญ่แล้วฆาตกรจะใช้สมอง หลอกล่อเหยื่อมาฆ่าทีละคน ต่อให้มีหลายคนก็ต้องทำให้สงสัย งง และสับสนไว้ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสเชือดเรียงตัว จะไปวิ่งไล่ตามก็เฉพาะยามที่รายนั้นไม่ตายตามแผน และอาจไปตามคนมาช่วยได้ เรียกว่านี่คือจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ชนิดหนึ่งที่ทำให้หนัง Scream ดังขึ้นมาได้ครับ เพราะฆาตกรมีแผน มีสมอง เลยทำให้มันน่ากลัว มากกว่าจะเป็นแค่คนถือมีดที่อึดไม่ยอมตายแบบไร้เหตุผล แต่กับภาค 3 นี่หลายฉากมันออกแนว “ฆ่าแบบไม่คม” อยู่เยอะเหมือนกัน เรียกว่าบางขณะทำให้นึกถึงเจสันแห่งศุกร์ 13 ขึ้นมาเลยครับ

หรือบางฉากก็พอเข้าใจน่ะครับว่าสร้างขึ้นมาจิกกัด แต่กระนั้นมันก็เหตุผลอ่อนอยู่ดี อย่างตอนที่รถเทรลเลอร์ของเจนนิเฟอร์ที่ฆาตกรขู่โดยแฟ็กซ์บทมาทีละแผ่น แต่แทนที่พวกเขาจะหาทางหนีดันยังจะตามอ่านไอ้แฟ็กซ์ที่ส่งมากันจนน่าขัน เหมือนจะจิกกัด (เช่น จิกกัดพวกชอบแอบอ่านบทหนังล่วงหน้า หรือพวกไม่ดูตาม้าตาเรือ ว่าตอนนั้นควรมีสติกับเรื่องตรงหน้า ไม่ใช่ไปจดจ่อกับหน้ากระดาษ) แต่กับมุกนี้ดูๆ ไปแล้วมันออกแนวตลกแบบเบาสาระซะมากกว่า

ครับ ภาคนี้เลยมีส่วนที่น่าสนใจและสาละวันถอยหลังผสมกัน แต่พอดีว่าส่วนที่มันน่าสนใจนั้นมันเป็นอะไรที่โดนสำหรับผมพอดีน่ะครับ แม้คุณภาพในประเด็นอื่นๆ จะลดลงผมก็ยังโอเคกับภาคนี้อยู่พอสมควร

อีกจุดที่ผมชอบคือบทสรุปน่ะครับ จุดเฉลยที่มาที่ไปทั้งหมดที่ดูเจ๋งดีนะครับ เพียงแต่การนำเสนอ การโยงเรื่องอาจไม่ลงตัวไปเสียทั้งหมด (อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเป็น Williamson ลงมาสำแดงเอง รสชาติมันจะเป็นเช่นไร) แต่ผมชอบสาระการกัดวงการภาพยนตร์น่ะครับ เหมือนหนังจะแอบกัดกลายๆ ว่านอกจากหนังจะเป็นสื่อที่สร้างความรุนแรงแล้ว บางทีคนในวงการนั้นก็สร้างสิ่งเลวร้ายยิ่งกว่าในหนังออกมาได้เหมือนกัน

และเหตุจูงใจของฆาตกรจะว่ามีเหตุผลในแบบของมันก็ได้ แต่จริงๆ แล้ว ตัวเรานั่นแหละครับที่จะเลือกทางไหน เราจะเป็นฆาตกรด้วยเหตุผลนั้นก็ได้ หรือก้าวต่อไป ลืมอดีตแล้วทำสิ่งดีๆ ก็ได้ อันนี้แล้วแต่ใครจะเลือก ซึ่งผมชอบที่ซิดนี่ย์ตะคอกด่าใส่เจ้าฆาตกรมากว่า “แกต้องหัดรับผิดชอบการกระทำของตัวเองบ้างสิ อย่ามัวแต่โทษคนอื่น”

ก็ว่ากันแบบแยกส่วนล่ะนะครับ ถ้าว่ากันถึงดีกรีคุณภาพ ก็อาจมีหลายๆ ส่วนไม่ดีเท่าภาคอื่นๆ การตายของเหยื่อก็ลงสูตรคล้ายพวกหนังศุกร์ 13 และตัวละครแม้จะมีสีสัน แต่ก็ขาดมิติไม่มีความเด่นเหมือนภาคแรก ซึ่งส่วนหนึ่งก็เห็นใจทีมงานครับ เพราะได้ข่าวว่าตอนถ่ายทำคิวดาราแต่ละคนก็ว่างไม่ตรงกัน จนนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้บางอย่างบางสิ่งในหนังดูไม่ค่อยต่อเนื่อง Connect กันเต็มที่นัก

ส่วนถ้าว่ากันถึงความชอบ ผมก็ชอบตรงการทิ้งปม ตามปมน่ะครับ มันน่าติดตามดี และถือว่าอธิบายปมต่างๆ ในภาคแรกได้ดี

และอีกอย่างคือ ผมชอบที่ “นายคนนั้น” กลับมาโผล่ในหนังมาก… นายคนที่โผล่มาในรูปแบบม้วนวีดีโอน่ะครับ เข้าใจคิดจริงๆ สำหรับมุกนี้ (ใครดูแล้วน่าจะรู้นะครับ)

สำหรับดาวนั้น หากว่ากันตามความชอบก็คงให้สองครึ่งน่ะครับ แต่หากหักกลบลบเรื่องคุณภาพที่ลดปริมาณลงแล้ว หนังก็น่าจะประมาณ

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)