รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Everybody Wants Some!! (2016) อยากได้ไหม ใครสักคน

22051279_1781243748573085_213058043549233962_o

เรื่องนี้ก็เข้าทางผมอีกแล้วครับ หนังสไตล์ย้อนยุค ถ่ายทอดแง่มุมชีวิตวัยรุ่นวัยเรียน และกลั้วอารมณ์แบบหนัง Coming of Age เข้าไปอีกหน่อย เป็นอะไรที่ผมชอบอยู่แล้ว ไหนจะชื่อผู้กำกับ Richard Linklater (ไตรภาค Before Sunrise และ Boyhood) เรื่องนี้เลยเป็นหนังน่าดูภาคบังคับสำหรับผมครับ

ในหนังก็เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงยุค 80 ครับ (ถ้าจะเอาชัดๆ คือระหว่างวันที่ 28 สิงหาคมถึงวันที่ 1 กันยายน ปี 1980) โดยโฟกัสไปที่ช่วงเวลา 3 วันก่อนเปิดเทอมของหนุ่มๆ นักกีฬาเบสบอลมหา’ลัยที่เพิ่งมาใหม่ พวกเขาก็ทำความรู้จักกันตามประสา แล้วก็หากิจกรรมทำร่วมกันไม่ว่าจะชวนไปดริ้งค์ ชวนไปแดนซ์ ชวนไปจีบสาว

ตัวเอกของเรื่องคือ เจค (Blake Jenner) น้องใหม่ที่ค่อยๆ เรียนรู้สภาพแวดล้อมใหม่ และเขายังได้เจอกับสาวน่ารักๆ อย่าง เบเวอร์ลี่ (Zoey Deutch) ด้วย ซึ่งเราๆ ก็เดากันได้ไม่ยากครับว่าเขาต้องหาทางผูกสัมพันธ์กับเธออย่างแน่นอน

นี่เป็นหนังแนวผมครับ แต่บางช่วงบางตอนของเรื่องผมก็อาจจะไม่อินบ้าง อย่างเรื่องการดื่ม การแดนซ์ การจีบสาว ซึ่งผมไม่มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้เท่าไร (เพราะผมออกแนวเด็กเนิร์ดบ้าหนังหลังห้อง-จีบสาวไม่เก่ง อะไรทำนองนั้นมากกว่าจะเป็นนักกีฬาเท่ห์ๆ ลุยๆ) ดังนั้นช่วงที่ว่าก็เลยอาจจะไม่อินบ้าง

แต่กระนั้นหนังก็เล่าให้เราเห็นภาพได้ดีครับ แม้ผมจะไม่อินแต่ผมก็เพลินไปกับเรื่องราวนะ มันทำให้เห็นวิถีชีวิตของพวกเขาได้ดีทีเดียว แล้วบางช่วงที่อินก็มีครับ อย่างการอำเพื่อน แกล้งเพื่อน ชวนไปเที่ยว ทำกิจกรรมร่วมกัน มันคือเรื่องราวที่วัยรุ่นทุกคนต้องเคยสัมผัสมาบ้างล่ะ

ตอนดูเรื่องนี้ผมนึกขึ้นมาได้อย่างหนึ่งครับ… จริงหนังแนวเล่าชีวิตวัยรุ่นนี่มีออกมาเรื่อยๆ นะ และทุกเรื่องเวลาไปสัมภาษณ์คนทำเราก็จะได้ยินประโยคแสนคุ้นว่า “เราอยากทำหนังสักเรื่องเพื่อบอกเล่าชีวิตวัยรักวัยเรียนของวัยรุ่น” อะไรประมาณนี้

แต่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่ใช่ทุกเรื่องครับที่จะทำออกมาได้โอเคอย่างนั้น ส่วนใหญ่มันจะออกแนวเอาฮา ขายมุก ทำให้มันดูฉูดฉาดตึ้งโป๊ะ หรือไม่ก็ขายสาวๆ ขายฉากวับแวมอะไรแบบนั้นมากกว่า

ซึ่งที่เป็นแบบนั้นถ้าไม่ใช่เพราะคนทำมือไม่แม่น ก็คงเพราะสตูดิโอ ผู้สร้าง หรือคนให้งบ กำหนดมาว่า “ทำเอาฮา หรือขายความสวยของสาวๆ ดีกว่า” เพราะมันดูแน่นอนในแง่การทำเงินกว่า (แต่ก็ไม่เสมอไปครับ เพราะรายได้ของหนังหลายๆ เรื่องก็พิสูจน์ให้เราเห็นอยู่เรื่อยๆ)

สำหรับเรื่องนี้ ก็บอกได้เลยครับว่า Linklater ถ่ายทอดเรื่องราวได้ดี แต่ต้องบอกก่อนครับว่ามันไม่ได้หวือหวาอะไรนะ มันคือการเล่าเรื่องราวไปเรื่อยๆให้ตัวละครแสดงตัวตนไปเรื่อยๆ เหตุการณ์ดำเนินไปเรื่อยๆ แบบไม่ได้มีไคลแม็กซ์ชวนลุ้นหรือปมที่ชวนติดตามอะไรมากมาย… มันคือการบอกเล่าช่วงหนึ่งของชีวิตใครสักคนน่ะครับ

ทีนี้ถ้าถามว่า Linklater บอกเล่าชีวิตใคร ก็พอจะตอบได้ว่าส่วนหนึ่งมันก็คือการเล่าชีวิตของเขาเอง ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนหนังของเขาจะทราบดีครับว่าหลายพล็อตในหนังของเขานั้นจะอิงมาจากเหตุการณ์จริงในชีวิตของเขาเสมอ อย่างในเรื่องนี่ก็พูดถึงนักเบสบอล ซึ่งสมัยเรียนนั้น Linklater ก็เล่นเบสบอลจริงๆ เหมือนกันครับ

Linklater เคยเล่าว่าตอนนั้นทุกคนที่อยู่ในทีมจะแข่งกันตลอดแบบที่เราเห็นในหนัง แข่งกันในที่นี้ไม่ใช่แค่แข่งเรื่องเบสบอล แต่คือแข่งทุกเรื่องเพื่อจะประกาศว่าตนนั้นแน่จริง เก่งจริง แต่ขณะเดียวกันแม้จะแข่งกันแค่ไหน แต่ทุกคนก็ยังมีน้ำใจให้กันและยังเป็นเพื่อนกันอยู่

ในแง่หนึ่งหนังเรื่องนี้ก็คล้ายๆ กับการเอา Dazed and Confused มาเล่าใหม่ และอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “เรื่องราวลำดับต่อมาแบบกลายๆ” ของ Boyhood ด้วย (เพราะเรื่อง Boyhood เรื่องจบตอนก่อนตัวเอกจะเข้ามหา’ลัยน่ะครับ มาเรื่องนี้ก็เปิดเรื่องตอนตัวเอกขับรถมาที่หอพักพอดี)

ถ้าถามว่าหนังดีไหม ผมก็ว่าหนังดีครับ มันอาจม่ได้มีมุกฮาๆ สนุกๆ แบบ American Pie และมันอาจไม่ได้เจ๋งเป้งเท่า Boyhood แต่มันถือเป็นหนังชีวิตวัยรุ่นที่เล่าได้อย่างเรียบง่ายแต่น่าจดจำ มันอาจจะเดินเรื่องแบบเรื่อยๆ แต่ก็ทำให้เราหลายคนนึกถึงวันเก่าๆ สมัยเรียนได้

อย่างผมนี่ก็คงเป็นกลุ่มเป้าหมายน่ะครับ ตอนนี้โตแล้ว มีครอบครัวแล้ว ทำงานเผชิญกับชีวิตจริง พอได้ดูเรื่องนี้ก็หวนคิดถึงวันเก่าๆ วันที่เรายังสนุกกับชีวิตได้ ยังไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย แค่คิดเรื่องการเรียน การสอบ การสนุกสนานกับเพื่อนๆ เป็นหลัก และยังมอง “อนาคต” ว่าเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง “ไม่ต้องรีบคิดถึงมันก็ได้”

ผมเลยดูหนังเรื่องนี้อย่างมีความสุขครับ ดาราในเรื่องก็คัดมาดี Jenner เหมาะมากในบทเจค เขาทำให้ตัวละครนี้ดูเป็นพระเอก เป็นคน Nice ที่มักจะมีเสน่ห์เสมอ ในขณะที่เพื่อนๆ ของเขาก็เล่นได้ดีทุกคนครับ ทุกตัวล้วนมีคาแรคเตอร์ มีวาระให้จดจำ

ถ้าถามว่าชอบใครสุด ผมว่าผมชอบบทฟินเนแกนนะ คนที่รับบทก็คือ Glen Powell ที่เคยเล่นหนังเข้ามาผมมากๆ มาหนหนึ่ง (เขาเล่นเป็นนักบินอวกาศแสนดีใน Hidden Figures น่ะครับ) ในเรื่องเขาเป็นคนแบบช่างพูด ช่างคิด ดูเป็นคนที่มีหัวคิดแต่ก็แอบกบฎอยู่ในที

ผมชอบตอนเขาพูดเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อมและความงมงายที่สนามน่ะครับ “ความเชื่องมงายมีไว้สำหรับเชื่อมโยงความเป็นไปได้ เพื่ออุปโลกน์ความหมายให้เหตุบังเอิญต่างๆ ที่มีในโลกนี้” ประโยคนี้สื่อให้เห็นเลยว่าฟินเนแกนเป็นคนช่างสังเกตแค่ไหน คือสิ่งที่เขาพูดจะถูกหรือผิดก็เป็นอีกเรื่องครับ แต่มันทำให้เรารู้คาแรคเตอร์เลยว่าหมอนี่คิดเป็น

ส่วนนางเอกก็คือดาราที่ผมชอบอย่าง Zoey Deutch เป็นบทที่เหมาะกับเธอมากรับ สาวน่ารักที่มั่นใจในตนเอง แต่ก็แฝงความหวานไว้ และที่สำคัญคือเป็นสาวมีสมอง ผมชอบฉากที่เธอคุยโทรศัพท์กับเจครอบแรกน่ะครับ มันสะท้อนตัวตนทั้งเธอและเจคได้ดี และชุดที่เธอใส่ตอนนัดเจคมารอบแรกก็สวยมาก ทำเอาผมสตันท์ไปเลย

โดยรวมแล้วผมชอบหนังเรื่องนี้ครับ ระหว่างดูมันทำให้ผมยิ้มมุมปากอยู่เรื่อยๆ ครับ อย่างภาพกองวีดีโออัดเป็นต้น ถ้าเป็นคนยุคใหม่อาจไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่หากเป็นรุ่นเราๆ (30 อัพ) ต้องจำได้ดีครับว่าสมัยก่อนเวลาจะอัดรายการทีวีทีก็ต้องหาวีดีโอมาอัด ยิ่งสมัยก่อนตั้งเวลาไม่ได้ก็ต้องมานั่งรอ บางทีรายการไหนมาดึกๆ ก็ตั้งอัดไว้ แล้วเราก็นอน ไว้ค่อยเปิดดูตอนเช้า… แต่ถ้าไฟดับระหว่างนั้นก็เป็นอันอด

และที่ผมชอบอีกอย่างคือมันสะท้อนถึงเรื่องจริงของชีวิตได้ดีครับ เช่น ยามเราออกจากมัธยมมาเข้ามหาลัยนั้น มันคือการเปลี่ยนโลกนะ สมัยมัธยมเราอาจจะเก่งมาก เป็นที่หนึ่ง แต่พอเข้ามหาลัยเราก็จะได้เจอกับคนที่เก่งไม่น้อยหน้ากัน หรือบางคนอาจเก่งกว่า หากใครเคยป็อบปูลาร์ก็อาจไม่ป็อบอีกต่อไป เราก็ต้องคอยปรับตัว รับมือกับความเปลี่ยนแปลง

บางครั้งพออยู่ที่ใหม่เราก็เมียงมองหาเพื่อนจากโรงเรียนเก่าด้วยความหวังว่าอย่างน้อยเราก็มีเพื่อนกลุ่มเดิมให้คบ แต่เอาเข้าจริงแล้วมันไม่มีอะไรการันตีครับว่าเรากับเพื่อนจากโรงเรียนเก่าจะยังคบกัน เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งเพื่อนเหล่านั้นก็อาจค่อยๆ ห่างจากเราไป เพราะเจอสังคมใหม่ที่แมทช์กันมากกว่า (อย่างที่เราเห็นเจคกับเพื่อนสมัยเรียน พอโตแล้วก็อยู่คนละบ้าน ชอบไปคนละแบบ)

ส่วนเราก็อาจเจอเพื่อนใหม่ หรืออาจเจอความรักซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราห่างเหินกับเพื่อน (เพราะเราย่อมต้องให้เวลากับแฟนมากกว่า) เรื่องพวกนี้นึกแล้วยิ้มจริงๆ ครับ… มันคือความทรงจำอันแสนหวาน มันคือ “อิฐ” ที่ก่อร่างสร้างตัวเรา ให้มาเป็นเราอย่างที่เป็นในทุกวันนี้

อย่างที่บอกครับว่าหนังไม่ได้ถึงขั้นเจ๋งโคตร แต่มันถูกใจผม มันมีความกลมกล่อมในแบบของมัน ซึ่งก็อยากให้ลองได้ชมกันครับ ยิ่งใครอายุ 30 อัพนี่ผมเชื่อว่าน่าจะจูนกับหนังเรื่องนี้ได้นะ เพราะมันเป็นเหมือนวีดีโอม้วนเก่าๆ ที่เอาภาพของเราๆ ในสมัยเรียนมาเพลย์เล่นให้เราดูใหม่อีกหน

และสำหรับคนที่ดูแล้วรู้สึกไม่โอกับตอนต้นๆ (ที่เน้นไปเรื่องกินเหล้า, เรื่องผู้หญิง และเรื่องห่ามๆ) ก็อยากให้รอสักนิดครับ ลองดูให้เข้าถึงตอนกลางๆ ท่านจะเริ่มเห็นสารสาระดีๆ ที่ Linklater ตั้งใจนำมาบอกเล่าให้เราได้รับรู้… สำหรับผม ผมคงเอามาดูอีกน่ะครับ ชอบจริงๆ

สองดาวครึ่งกว่าๆ ครับ

Star22

(7.5/10)