ก่อนอื่นขอแถลงไขนะครับ ว่า DVD Boxset หนังชุดนี้ที่ออกมาเขาจะใช้ชื่อไทยเรียงกันไปตั้งแต่ภาคแรกว่า “ขบวนการหัวใจตะนอย” แล้วภาคนี้ก็เป็น “ขบวนการหัวใจตะนอย 2” แต่ผมขอใช้ชื่อตามสมัยวีดีโอน่ะนะครับ เพราะภาคแรกเขาใช้ว่า “เจ้าเปี๊ยกเลือดนักสู้” พอมาภาค 2 ก็เป็น “ขบวนการหัวใจตะนอย” ไม่มีสร้อยภาคแต่อย่างใด และพอถึงภาค 3 ก็กลายเป็น “ขบวนการหัวใจตะนอย 3” ไปเลย
อันนี้ย้อนที่มาที่ไปให้ฟังกัน อาจไม่ได้เยอะสาระแต่ก็ขอลงเป็นข้อมูลเอาไว้น่ะนะครับ
ในภาคแรกผมชื่นชมเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปแล้ว พอมาภาค 2 แล้วจะเป็นเช่นไร? ก็ตอบได้ว่าดีกรีความสนุกยังคงมีอยู่ครับ
ใน D2: The Mighty Ducks เป็นเรื่องราวต่อจากภาคแรก หลังจากโค้ชกอร์ดอน บอมเบย์ (Emilio Estevez) ตัดสินใจไปเป็นนักฮ็อคกี้เต็มตัวเพื่อเติมเต็มความฝันของตน แต่แล้วเขาก็ได้รับอุบัติเหตุระหว่างการเล่นทำให้ได้รับบาดเจ็บที่เข่า ไม่สามารถลงแข่งฮ็อคกี้ได้อีก เขาเลยย้อนกลับมาเพื่อหมายจะดูแลและสอนทีมเดอะ ดั๊กส์ ที่เขาได้สร้างไว้
แล้วพอดีว่าครั้งนี้กำลังจะมีการแข่งขันฮ็อคกี้เยาวชนระดับโลกที่ชื่อว่า The Junior Goodwill Games กอร์ดอนเลยได้รับการทาบทามให้ไปเป็นโค้ชทีม USA หลังจากได้รับฉายาโค้ชปาฏิหาริย์มาจากคราวที่แล้ว โดยลูกทีมยังคงเป็นเหล่าเดอะ ดั๊กส์ ที่นำโดยหนุ่มน้อย ชาร์ลี คอนเวย์ (Joshua Jackson) เจ้าเก่า แล้วก็มาสมทบด้วยนักฮ็อคกี้ดาวรุ่งจากรัฐต่างๆ ทั้งหมดก็ต้องรวมแรงรวมใจ ช่วยกันเอาชนะการแข่งครั้งสำคัญนี้ให้ได้
ภาคนี้ยังคงสนุกครับ มีครบทั้งความขำ ความลุ้นยามเด็กๆ ต้องลงสนามแข่งฮ็อคกี้ ด้านสาระชวนคิดก็ยังมีอีกเช่นกัน เรียกว่าเดินตามสูตรภาคแรก แต่เพิ่มนั่นเติมนี่ให้มันยิ่งใหญ่กว่า คู่แข่งฝ่ายตรงข้ามก็โหดกว่า เพราะคราวก่อนเป็นแค่เด็กๆ แข่งกัน แต่คราวนี้ทั้งโค้ชทั้งลูกทีมของไอซ์แลนด์นี่หมายคว่ำพวกเดอะ ดั๊กส์ให้ได้ ตัวก็ใหญ่กว่า กติกาก็ไม่แคร์ จ้องแต่จะเอาชนะอย่างเดียว ทำให้การขับเคี่ยวระหว่างที่มดั๊กส์กับทีมไอซ์แลนด์มีรสชาติเข้มข้นพอสมควร หรือในการขับเคี่ยวนอกสนามระหว่างโค้ชบอมเบย์ กับ โค้ชวูลฟ์ (Carsten Norgaard) ก็ถือว่าสร้างอารมณ์ให้คนดูได้ไม่เลว
จุดสนุกอย่างหนึ่งในหนังก็คือการเพิ่มตัวละครนักฮ็อคกี้คนใหม่มาแจมในทีม ไม่ว่าจะจูลี่ แกฟนี่ย์ (Colombe Jacobsen-Derstine) โกลสาวที่แกร่งไม่แพ้ชาย, หลุยส์ แมนโดซ่า (Mike Vitar) ที่สเก็ตได้ไวที่สุด แต่ปัญหาคือหยุดไม่ค่อยจะอยู่, ดเวนย์ โรเบิร์ตสัน (Ty O’Neal) หนุ่มคาวบอยจอมคึก (ชอบพากย์ไทยมากครับ เขาพากย์ประมาณ “นั่นเหมือนน้าคำรณเลยว่ะ”), เคน วู (Justin Wong) เจ้าเปี๊ยกเลือกนักสู้ตัวจริง และที่ลืมไม่ได้คือ ดีน พอร์ตแมน (Aaron Lohr) จอมบ้าพลังที่สามารถเข้าคู่เป็นพี่เป็นน้องกับ ฟูลตัน รี๊ด (Elden Henson) โย่งบึ้กจากภาคแรกได้แบบฮาสุดๆ แล้วคู่นี้ยังสร้างความสะใจได้เป็นระยะๆ
ตัวละครใหม่ๆ มาเติมความสนุกได้เยอะครับ ส่วนตัวละครเก่าๆ ก็ยังมีบทบาทและความเด่นพอประมาณ จริงๆ หนังเรื่องนี้ตัวละครเยอะมากนะครับ แต่อย่างน้อยเรายังสามารถจดจำคาแรคเตอร์ตัวละครได้เกินครึ่งก็นับว่าคนทำฝีมือโอเคแล้ว ซึ่งคนกำกับภาคนี้คือ Sam Weisman ที่คร่ำหวอดหนังซีรี่ส์ ส่วนหนังใหญ่ที่พอมีชื่อของเขาก็คือ George of the Jungle แต่สำหรับผมนะครับ D2: The Mighty Ducks นี่แหละคือผลงานสนุกที่สุดของเขาแล้วล่ะ
หนังเพลิน หนังสนุก หนังฮา แต่โดยส่วนตัวผมว่าฉากไคลแม็กซ์ตอนท้ายยังไม่เร้าใจพอครับ แต่กระนั้นก็ยังถือว่าโอเค สนุกไม่ผิดหวัง
สาระในภาคนี้ก็เหมือนต่อยอดจากภาคที่แล้วน่ะครับ นั่นคือการเล่นกับ “ความหลงระเริง” ของกอร์ดอน ที่พอมีชื่อเสียงมากๆ เข้าก็หลงครับ แทนที่จะตั้งหน้าเทรนเด็กๆ สอนพวกเขาแบบที่ตั้งใจไว้แต่แรก แต่กลับใช้เวลาไปกับการเอาใจสปอนเซอร์ ออกสื่อ ถ่ายโฆษณา พบปะคนดังเพื่อกรุยทางให้ตนเองได้รับความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม
ต้องยอมรับว่านี่เป็นแพทเทิร์นปกติชนิดหนึ่งเลยครับ ไม่ว่าวงการไหนก็ตาม แต่หากใครสักคนประสบความสำเร็จจนสื่อสนใจ จนใครๆ พากันห้อมล้อม เมื่อนั้นหากใครคนนั้นไม่มีสติพอที่จะเตือนตนเองว่าเราควรทำอะไรต่อไปกันแน่ ระหว่างพัฒนาตนเองกับโกยกินแต่ความสำเร็จชั่วครั้งคราว แบบนั้นความดังและความสำเร็จที่เราได้ มันก็พร้อมจะสลายไปในไม่ช้า
กอร์ดอนก็หลงในวังวนนั้นอยู่พักหนึ่งครับ แล้วแน่นอนว่าพอโค้ชไม่สอนทีมก็ไม่ฟิตและแพ้เอาๆ ในตอนนั้นกอร์ดอนก็ยังทำพลาดซ้ำสองเมื่อเขาเอาแต่บ่นว่าลูกทีม แต่ไม่มองเลยว่าการที่ตนเองทอดทิ้งพวกเขาไปนั้นก็ถือว่ามีความผิดติดตัวไม่น้อยไปกว่ากัน
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ครับ ด้วยประโยคง่ายๆ ที่ตัวละครหนึ่งพูดว่า “การเล่นมันต้องสนุก… คุณเป็นคนพูดไม่ใช่หรือ” เพราะนั่นคือสิ่งที่กอร์ดอนสอนเด็กทุกคนมาก่อน (ย้อนไปอ่านรีวิวภาคแรกได้ตามสะดวกนะครับ)
ภาคนี้จึงเป็นการเรียนรู้ครั้งสำคัญอีกครั้งของโค้ชกอร์ดอน บอมเบย์
ผมยังชอบฉากที่ทีมดั๊กไปแข่งนอกรอบกับทีมฮ็อคกี้ริมถนน การแข่งครั้งนี้ช่วยดึงสติให้กับทีมได้อย่างดีครับ
และสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากขึ้นกว่าภาคก่อนคือการตัดต่อครับ หนังลำดับภาพได้ดีขึ้นโดยเฉพาะในฉากแข่งฮ็อคกี้ อันนี้สารภาพเลยว่าภาคแรกภาพตอนเล่นฮ็อคกี้มันดูงงๆ ไวๆ บางทีดูไม่รู้ว่าใครตีใครส่ง แต่กับภาคนี้การตัดต่อดูสมูธขึ้น เห็นภาพการแข่งชัดขึ้น จนส่งผลให้ดูสนุกขึ้น ซึ่งคนตัดต่อภาคนี้มีกัน 2 คนครับ ได้แก่ John F. Link และ Eric A. Sears ซึ่งรายแรกนั้นทำหน้าที่นี้ตั้งแต่ภาคแรก ส่วนรายหลังเพิ่งมาทำภาคนี้เป็นภาคแรก ก็เดาว่ารายหลังนี่กระมังที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในด้านดีให้กับฉากตีฮ็อคกี้ ซึ่ง Sears นั้นในเวลาต่อมาเขาก็ได้ไปตัดต่อหนังอย่าง Final Destination 2, Cellular, Shooter, Final Destination 5 และงานที่ถือเป็นผลงานระดับยอดของเขาก็คือซีรี่ส์สารคดี Cosmos: Possible Worlds
ในแง่รายได้ก็ไม่น้อยหน้าภาคแรกครับ ทำไป $45.6 ล้าน แล้วก็มีการทำต่อตามมาอีก 1 ภาค
สรุปว่าภาคนี้ยังสนุก ฮาเพลินเช่นเคย ไม่ผิดหวังครับ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Comedy, Family, Inspirational Movies, Sport