Adventure

Percy Jackson & the Olympians: The Lightning Thief (2010) เพอร์ซี่ย์ แจ็คสัน กับสายฟ้าที่หายไป

percy-jackson-quad

เคยแอบคาดหวังว่าหลังจาก Harry Potter จบบริบูรณ์ไป ก็น่าจะมี Percy Jackson มาต่อตำแหน่งหนังแฟนตาซีที่สร้างจากวรรณกรรมเยาวชน เพราะจริงๆ ไอเดียมันได้ครับ ขุดเอาตำนานเทพปกรณัมบนยอดเขาโอลิมปัสมาสร้างตำนานใหม่ในยุคปัจจุบัน ซึ่งเล่นอะไรได้หลายอย่างมาก และน่าจะฮิตพอตัวถ้าทำโดนๆ

แต่ผลที่ได้ก็ทำเอาเพื่อนผมแซวว่าชื่อที่แท้จริงของหนังน่าจะเป็น “เพอร์ซี่ย์ แจ็คสัน กับความสนุกที่หายไป”

โครงสร้างของเรื่องจริงๆ เป็นสูตรสำเร็จเดียวกับวรรณกรรมเยาวชนยุคหลังๆ ที่ตัวเอกต้องเป็นลูกหลานของผู้วิเศษสักประเภทหนึ่ง (จะพ่อมด, เทพ, ปีศาจ, มนุษย์ต่างดาว หรือเผ่าพันธุ์อะไรก็ตามแล้วแต่ผู้เขียนจะจินตนาการ) พอเจอความจริงแล้วก็จะอึ้งงงอยู่พักหนึ่ง แล้วก็จะมีใครจะสักคนมาสอนชี้แจงเบื้องต้นว่าเราใช้พลังเหนือมนุษย์แบบไหนได้บ้าง ตามด้วยกรได้เพื่อนร่วมผจญภัย (มักจะได้ชายหนึ่งหญิงหนึ่งเป็นเพื่อนขั้นเบสิค) และปิดท้ายด้วยภารกิจคอขาดบาดตายที่จะพิสูจน์ความเป็นทองแท้ในตนเองของเหล่าตัวเอก

เรื่องนี้เข้าแนวนั้นเลยครับ เพอร์ซี่ย์ แจ็คสัน (Logan Lerman) คือเด็กหนุ่มที่เพิ่งค้นพบว่าตนเป็นลูกของเทพเจ้าโพไซดอน (Kevin McKidd) อีกทั้งเพื่อนสนิทนามว่าโกรเวอร์ (Brandon T. Jackson) ก็เป็นเทพที่คอยพิทักษ์เขาอย่างลับๆ อีกทั้งอาจารย์ที่เขานับถืออย่างคุณบรันเนอร์ (Pierce Brosnan) แท้จริงคือเทพไครอนที่มีหน้าที่ปั้นลูกครึ่งเทพให้เก่งดุจเทพของจริง

หลังจากรู้อะไรเป็นอะไรแล้วเขาก็ถูกนำตัวไปเข้าค่ายลูกครึ่งเพื่อฝึกความเป็นเทพ เจอสาวสวยนามว่าแอนนาเบธ (Alexandra Daddario) และภารกิจประจำตอนคือตามหาสายฟ้าและช่วยชีวิตแม่ของเขา (Catherine Keener)

หนังนั้นถือว่าดูได้เพลินๆ ครับ แต่ไม่ได้สนุกเป็นพิเศษ เสน่ห์ของเรื่องราวยังไม่มาก ส่วนหนึ่งคงเพราะหนังไม่ได้ผูกเรื่อง ไม่ค่อยทำการเล่าตำนานหรือสร้างบรรยากาศให้เราอินเป็นตุเป็นตะ ไม่เหมือน Harry ที่ค่อยๆ ดึงเราเข้าสู่โลกเวทย์มนต์ทีละน้อยๆ จากบ้านธรรมดาๆ ในอังกฤษ ค่อยๆ พาเราเข้าตรอกไดแอนกอน จูงไปชานชาลา 9 3/4 รู้ตัวอีกทีเราแทบจะเผลอร่ายคาถาแล้ว ตอนอยู่ที่ฮ็อกวอตส์

แต่กับ Percy นี้เหมือนเล่าเรื่องให้เราฟังเป็นหลัก แต่ไม่ค่อยดึงเราเข้าสู่โลกแห่งเทพเท่าไร ช่วงที่ถือว่าเข้าท่าที่สุดในการพยายามสร้างอารมณ์ให้เราสัมผัสว่า “โลกที่เราอยู่ แท้จริงมีโลกเทพแฝงอยู่นะ” คือตอนพวกเพอร์ซี่ย์โดนมอมเมานั่นแหละครับ ถือเป็นมุขที่เวิร์คไม่เลว แอบกัดโลกความจริงอีกต่างหาก

ตอนดูหนังรอบแรกผมรู้สึกเฉยครับ นิ่งมากจนสงสัยว่าหนังสือมันคงไม่ใช่แบบนี้ล่ะมั้ง (ตอนนั้นยังไม่เคยอ่านครับ) เลยจัดมา 1 เล่มปรากฏว่าหนังสือมันส์โคตร มีการเล่าตำนาน ดึงเราเข้าสู่โลกของ Percy Jackson & the Olympians ได้อย่างน่าปรบมือ ซ้ำยังปูพื้นตัวละคร วางปมวางพล็อต (ที่จะเกี่ยวถึงตอนต่อๆ ไป) เอาไว้อย่างน่าสนใจ ยิ่งเหตุผลในการกระทำของวายร้ายประจำภาคนี้ก็นับว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ถือได้ว่า “เป็นปมเบื้องหลังที่สมกับการนำตำนานเทพปกรณัมมาใช้งานอย่างแท้จริง”

ถึงเวลานั้นค่อยมาตระหนักครับว่านั่นแหละคือ “ความสนุก (ชุดใหญ่) ที่หายไป (อย่างน่าเสียดาย)

อยากบอกว่าทีมดารานั้นไม่ใช่ปัญหาเลยครับ หน้าเก่าก็เล่นได้ลื่นไหล (โดยเฉพาะเจ๊ Uma Thurman ที่เหมาะโคตรกับบทเมดูซ่าครับ แววตาเจ๊แกนี่ทั้งทรงอำนาจและน่ากลัวอยู่แล้ว) ส่วนหน้าใหม่ก็เข้าขากันได้ดี ทั้ง Lerman, Jackson และ Daddario ที่รายหลังนี่งดงามได้ใจไปจริงๆ หรือด้านงานเทคนิคก็โอเค แต่จุดใหญ่ใจความที่พลาดไปคือเรื่องบทครับ บทหนังมันตัดรายละเอียดสนุกๆ จากนิยายไปเยอะ ซึ่งแต่ละอย่างที่ตัดไปนั้นมันมีผลต่อ “ความอินของคนดู” อย่างมากทีเดียว

จุดที่ชอบอีกอย่างก็คงเหมือนใครอีกหลายคนน่ะครับ การเอาเทคโนโลยีปัจจุบันมาประยุกต์เข้ากับเรื่องราวหรือการสู้กับปีศาจนั้นถือว่าเวิร์ค แต่ก็ถือว่าอยู่ในระดับ “เยอะได้อีก” ถ้าใส่มามากกว่านี้น่าจะเพิ่มรสชาติได้ไม่เลว

โดยรวมก็ดูได้ครับ แต่ยังไม่โดน แม้จะได้ผู้กำกับอย่าง Chris Columbus มากุมบังเหียน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมว่า Columbus แกเป็นผู้กำกับประเภท “บทมาอย่างไหน ก็บรรเลงไปอย่างนั้น” อย่าง Harry Potter ที่หลายคนชอบแซวว่ายึดตามบทประพันธ์เกินนั่นก็เป็นหลักฐานที่ดีน่ะครับ แกจะไม่พลิกแพลง ไม่เติมลูกเล่น มีแต่ลูกซื่อลูกตรง ซึ่งพอดีว่าคนดัดแปลงบทเรื่องนี้คือ Craig Titley ที่เคยเขียนบท Scooby-Doo, See Spot Run และ Cheaper by the Dozen แต่ละเรื่องนั่นก็มีปัญหาเรื่องบทพอกันครับ (ยกเว้นเรื่องหลัง ที่สนุกได้เพราะผู้กำกับชื่อ Shawn Levy ที่ถนัดเรื่องพลิกแพลง ไม่อิงบทมากเกินไป)

เสียดายเหมือนกันครับ รอบแรกที่ดูก่อนอ่านนิยายก็เสียดายที่หนังสนุกน้อยเกินไป พออ่านนิยายยิ่งเสียดายหนักเพราะของสนุกๆ มันเยอะไปหมด ไฉนไม่เอาใส่ลงไปในบทหนังก็ไม่รู้

สองดาวครับ

Star21

(6/10)