ถ้าคุณอยากรู้ว่า Steven Spielberg แจ้งเกิดอย่างไร ดูหนังเรื่องนี้แล้วคงจะเข้าใจขึ้นในระดับหนึ่ง
Duel คือหนังสำหรับฉายทางทีวีครับ แต่ด้วยคุณภาพที่ยอดเยี่ยมของมันก็ทำให้ผู้ชมต่างจดจำชื่อผู้กำกับหนุ่มรายนี้กันเป็นแถบ แล้วทางผู้สร้างเองก็บยังตัดสินใจนำหนังเรื่องนี้ไปในฉายในโรงทางยุโรป ซึ่งก็ได้ผลตอบรับดีอีกต่างหาก
เรื่องราวนั้นจริงๆ แทบไม่มีอะไรเลยครับ เล่าถึง เดวิด มานน์ (Dennis Weaver) นักธุรกิจที่ต้องรีบขับรถข้ามรัฐไปให้ทันนัดหมาย แล้วระหว่างทางเขาก็พบเจอกับรถบรรทุกเก่าๆ คันหนึ่งครับ ซึ่งเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รถที่ขับช้าๆ อีกคันเท่านั้นเอง ก็เลยแซงไป… แต่ใครจะรู้ล่ะครับว่าเขาไม่ควรไปยุ่งกับรถคันนี้เลย เพราะหลังจากวินาทีนั้นเป็นต้นมา เจ้ารถบรรทุกบ้านี่ก็ไล่ตามเขาไปทุกที และยิ่งตามก็ยิ่งหนักข้อ เหมือนจะเอาเรื่องเขาให้ถึงชีวิตให้ได้
แล้วเดวิดจะรอดจากการตามล่าของเจ้ารถลึกลับนี้ได้หรือไม่ โปรดติดตามครับ
ที่ผมทึ่งมากๆ คือ หนังทั้งเรื่องเนี่ยไม่ได้มีอะไรนอกจากการขับรถไล่ตามกัน แต่ก็สร้างความน่าติดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง ตื่นเต้น ดึงความสนใจคนดูได้ตลอดอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่น่าแปลกใจครับที่ใครๆ จะจับตา Spielberg เพราะสไตล์การเล่าเรื่องด้วยภาพของเขานับว่าเด่นมากๆ การถ่ายภาพและมุมกล้องถือว่าพอเหมาะในแต่ละจังหวะ อย่างฉากขับรถธรรมดาก็เป็นมุมกล้องปกติครับ แต่พอเริ่มเกิดเรื่องตึงๆ มุมกล้องจะเริ่มแคบ หรือไม่ก็จะจับภาพเฉพาะมุมที่สื่อว่ารถของเดวิดกำลังถูกคุกคาม เช่นรถบรรทุกพุ่งเข้ามาหรือใบหน้าที่เริ่มเครียดของเดวิด หรือไม่ก็จับภาพระยะห่างระหว่างท้ายรถของเดวิดกับรถบรรทุกที่ใกล้จะชนแหล่ไม่ชนแหล่
แกเล่นรู้จักใช้ภาษาหนังสื่อความกดดันขนาดนี้ คนดูไม่เกร็งไปด้วยก็แปลกล่ะครับ
แต่พอฉากไหนอารมณ์ผ่อน จังหวะคลาย มุมกล้องก็จะสบายๆ เป็นมุมกว้างบ้าง หรือไม่ก็จับภาพวิวบ้าง เปลี่ยนอารมณ์เป็นเบาๆ ไปเลย
ข้าน้อยขอคารวะสามจอกครับ
ด้วยเหตุที่หนังทั้งเรื่องมีบทสนทนาไม่เยอะ เน้นแต่ภาพรถไล่ชนกันอย่างเดียว การสื่อด้วยภาพนี้จึงเป็นเสมือนอาหารจานหลักครับ ถ้าคนทำเสิร์ฟแบบต่อเนื่อง ความสนุกน่าติดตามก็จะไหลมาเทมาเองนั่นแหละ
ตัวผมเองสมัยที่ดูรอบแรกนั้นก็ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องดีหรอกครับ เปิดดูแบบเรื่อยๆ ตอนดึกๆ ก่อนจะนอน คิดว่าถ้าโอก็ดู ถ้าไม่โอก็หยุดแล้วนอน… ปรากฏว่าตาสว่างเลยครับ มันได้ระทึกถึงอารมณ์จริงๆ ส่วนนักแสดงก็มีตัวหลักแค่ Dennis Weaver เท่านั้น แต่พี่ท่านคนเดียวกับการถ่ายทอดด้วยภาพที่ลุ้นตลอดของ Spielberg ก็นับว่าเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสุดขีดแล้วครับ
เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ว่า หนังดีไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดเยอ ขอแค่ตีประเด็นได้ถูกจุด ก็สร้างความยอดเยี่ยมได้… แจ้งเกิดคนก็ยังได้
ทีเด็ดอีกหนึ่งอย่างของหนังคือการที่ Spielberg ตัดสินใจไม่ให้เราเห็นหน้าคนขับรถบรรทุกครับ เห็นอย่างมากก็แค่แขน เราจึงไม่รู้เลยว่าไอ้นี่มันเป็นบ้าอะไร ซึ่ง Spielberg เขาคิดว่า สุดยอดความกลัวของทุกคนนั้นมักจะต้องมีความไม่รู้มาเจืออยู่เสมอ ยิ่งไม่รู้ว่าเรากำลังเจอกับอะไรมากเท่าไร ยิ่งคาดเดาไมได้เท่าไร ความน่ากลัวก็จะไหลมาเอง
ซึ่งก็จริงอย่างที่แกว่า เพราะเราไม่รู้ว่าคนขับมันคิดอะไร หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่ทราบ เราจึงเดาอะไรไม่ได้เลยครับ ลุ้นกันล้วนๆ ไปๆ มาๆ พาลจะนึกว่าเจ้ารถบรรทุกนี่คือปีศาจด้วยซ้ำ
ยิ่งจินตนาการคาดเดามันมากเท่าไร เจ้ารถนี่ก็ยิ่งมีอำนาจความน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
ถ้ารู้หมดก็ไม่ต้องจินตนาการ แต่ถ้ารู้นิดๆ หรือไม่รู้เลย… มันบีบจิตให้ฟุ้งซ่านได้ง่ายกว่ากันเยอะ
มุกแบบนี้แหละครับที่แกเอามาใช้อีกรอบ แล้วได้ผลดีอย่างใน Jaws … ไม่เห็นแต่สยอง ให้คนไปหลอนด้วยพลังความคิดตัวเอง … คารวะอีกสักทีจะเป็นไรไป
หนังเรื่องนี้เลยเด็ดมากครับ เด็ดอย่างแรงตื่นเต้นโดยที่ไม่ต้องเนรมิตฉากเลือดหรือแหวะใดๆ แค่รถไล่ชนกันก็ชวนผวาได้ Effect ไม่ต้องอลังการ ก็เด็ดได้ ของแบบนี้ต้องชมทีมงานทุกคนเลยครับ ช่วยกันทำได้ขนาดนี้ แล้วเขาถ่ายทำกันแค่ 13 วันเท่านั้นเองนะครับ เก่งมากๆ เลยล่ะ
สำหรับเกร็ดที่มาของหนังเรื่องนี้ ก็ขอเล่าหน่อยนะครับ หนังสร้างจากเรื่องสั้นของ Richard Matheson (แห่ง I Am Legend) ที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสารเพลย์บอยน่ะครับ ซึ่งพล็อตเรื่องสั้นก็มาเจอเรื่องจริงที่เขาเคยเผชิญเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ปี 1963 วันเดียวกับที่ประธานาธิบดี John F. Kennedy โดนลอบสังหาร
ตอนนั้นเขาขับรถกลับบ้านหลังจากตีกอล์ฟครับ แล้วก็เจอรถบรรทุกแปลกๆ ไล่กวดเอา ขับแบบจะหาเรื่องน่ะครับ แต่ดีที่วันนั้นเจ้ารถบรรทุกคนนั้นไม่ได้ต่อความยาวสาวความตาย พอเขากลับมาบ้านก็เลยได้ไอเดียเขียนเรื่องสั้นขึ้นมาพอดี
พอได้ตีพิมพ์แล้ว เลขาของ Spielberg ไปอ่านเจอพอดี เลยเสนอให้เขาลองทำ Spielberg ก็เลยไปเสนอต่อ ซึ่งตอนนั้นเขาเองก็มีชื่อไปพอตัวจากการทำตอนหนึ่งของหนังชุด Night Gallery (หนังสไตล์เรื่องสั้นสยองเหนือโลกแบบ The Twilight Zone น่ะครับ) แล้วเขาก็ได้โอกาสทำ โดยดาราคนที่เขาต้องการจะให้มาแสดงบทพระเอกก็คือ Dennis Weaver คนเดียวนี่แหละ เพราะเขาประทับใจการแสดงของดาราท่านนี้จาก Touch of Evil
ในตอนแรก Weaver ก็ยังไม่เซย์เยสครับ จน Spielberg ต้องตามตื้ออยู่พอเหนื่อย กว่า Weaver จะเซ็นสัญญาก็ปาเข้าไปช่วงบ่ายๆ ของวันเปิดกล้องนั่นแหละ และก็เรียกว่างานนี้ไม่มีใครตัดสินใจพลาดครับ มีแต่ได้กับได้ทุกคน
ส่วนคนขับรถบรรทุก ก็แสดงแบบไม่เห็นหน้าโดย Carey Loftin สตันท์มืออาชีพครับ ซึ่งเขาก็เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1997 ครับ เช่นเดียวกับ Weaver ที่เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน ขอไว้อาลัยคนทั้งคู่ด้วยนะครับ
ถือว่าเป็นหนังระทึกเรื่องเยี่ยมจริงๆ ครับ ไม่ต้องมีอะไรมากนอกจากรถชนรถ แต่ก็ชวนติดตามได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
ข้อคิดสำคัญจากหนังเรื่องนี้คือ… อย่ากวนเท้ากันบทถนน ขับรถดีๆ เถอะครับ มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมาเอาเรื่องกัน ก่อความไม่พอใจกัน… ต่างคนต่างกลับบ้าน ทำหน้าที่ตัวเองย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ อย่าลืมนะครับ มารยาทถ้อยทีถ้อยอาศัยบนท้องถนนครับ มีมันแล้วช่วยการจราจรได้เยอะเลยล่ะ
หมดข้อกังขาทันทีที่ได้ดูหนังเรื่องนี้จบ ว่าทำไมใครต่อใครถึงบอกว่าหนังเรื่องนี้คือหนังแจ้งเกิดของแท้ของปีเตอร์แพนแห่งฮอลลีวู้ด
เยี่ยมครับ Steven Spielberg
สามดาวครับ
(8/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Thrillers