Action

Cloverfield (2008) วันวิบัติอสูรกายถล่มโลก

Free download bluray 1080p 720p movie google drive Cloverfield, USA, 2008, Matt Reeves, Jessica Lucas, Lizzy Caplan, Michael Stahl-David, T.J. Miller

ภาพยนตร์แนวระทึกที่เล่นเอาคนดูในโรงมึนกันถ้วนหน้าครับ ถ่ายแบบกล้องวีดีโอเหมือน The Blair Witch Project ส่ายไปส่ายมาทั้งเรื่อง จนถ้าใครสายตาไม่แข็งแรงล่ะมีอันอยากออกจากโรงไปตั้งหลักแทบทุกคน (หรือไม่ก็อาศัยพนักพิงแถวข้างหน้าโอ้กไปก่อนล่ะ ฮ่าๆๆ )

Cloverfield สร้างกระแสไปเยอะพอตัวนะครับ เพราะคนทำเอาสไตล์เดิมๆ มาผสมจนเกิดแนวทางใหม่ขึ้นมา ไม่ว่าจะเรื่องแนวสัตว์ประหลาดบุกโลก กับมุมกล้องแบบวีดีโอมือถือที่จะทำให้คนดูรู้สึกสมจริงได้อย่างเต็มที่ แล้วผลที่ได้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง หนังออกมาเป็นแนวสัตว์ประหลาดที่ดูแล้วลุ้นโคตรๆ เพราะมันเหมือนว่าเราเข้าไปผจญภัยกับตัวเอกในเรื่องด้วย

ผมว่าหนังแม้จะมาทีหลัง The Blair Witch Project แต่ก็กลายเป็นความได้เปรียบ เพราะถ้าจำกันได้ใน Blair นั้นคนดูแตกเสียงออกเป็นสองแนวครับ เพราะเรื่องนั้นทำออกมาหลอนแบบไม่เห็นความสยอง มีอารมณ์คลุมเครือตลอดซึ่งจับใจคนดูกลุ่มหนึ่ง ในขณะที่คนดูอีกกลุ่มที่ชอบมองชอบเห็นแบบจะๆ ตาก็พากันบ่นอุบว่าไม่เห็นจะมีตัวอะไรมาสักอย่าง มันน่ากลัวตรงไหน ฯลฯ แล้วแต่จะบ่นกันไป

Cloverfield เลยจัดแจงยัดฉากแอ็กชันลุ้นแบบประชิดตัว ซ้ำยังหยอดฉากระทึกเป็นพักๆ พอให้คนดูได้หวาดผวา เรียกว่าคุณจะชอบแบบเห็นจะๆ หรือชอบแบบอารมณืหลอนก็สมปรารถนากันทั้งคู่ แบบนี้เข้าข่ายวิน-วินดีเหมือนกัน เลยไม่แปลกใจครับที่บ้านเราจะชอบเรื่องนี้กันมากกว่าแม่มดแบลร์ เพราะแม้จะเห็นตัวประหลาดไม่ชัดเต็มร้อย แต่ก็ได้เห็นบ้างล่ะน่า

เนื้อเรื่องง่ายมากครับ หนังเล่าผ่านกล้องให้พอรู้เรื่องว่าตัวเอกคือร็อบ ฮอว์คกิ้นส์ (Michael Stahl-David) ที่เกิดมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเบธ (Odette Yustman ที่ตอนหลังใช้ชื่อ Odette Annable แทน) คนที่เขารัก จนเบธตัดสินใจเดินออกจากงานเลี้ยงไป

แต่แล้วไม่นานก็เกิดเหตุร้าย เมื่อมีอะไรบางอย่างเข้าโจมตีเมือง จนตึกรามบ้านช่องพังพินาศราบเป็นหน้ากลอง พวกร็อบและผองเพื่อนเลยต้องรีบออกจากตึกที่ตัวเองอยู่ให้ทัน ก่อนจะค่อยๆ เห็นกับตาว่าไอ้ที่บุกเมืองนั่นคือตัวประหลาดขนาดใหญ่ยักษ์

1-18-08_02

ระหว่างที่ใครๆ หนีตายกันอุตลุด ร็อบก็พยายามติดต่อเบธด้วยความเป็นห่วง จนได้รู้ว่าเธอยังอยู่ในเมืองครับ งานนี้ร็อบเลยต้องรีบกลับเข้าเมืองไปพาเธอออกมาก่อนจะเกิดเรื่องร้ายกับเธอ โดยมีเพื่อนตามไปอีกสามรายได้แก่ ฮัด (T.J. Miller) ตากล้องที่ถือกล้องถ่ายหนังทั้งเรื่องให้เราดูน่ะแหละ แล้วก็ลิลี่ (Jessica Lucas) กับมาร์เลน่า (Lizzy Caplan) รายแรกเป็นเพื่อนของร็อบครับ ส่วนรายหลังเป็นแขกร่วมงาน

พล็อตดูง่ายนะครับ แต่นี่แหละฉลาดแท้ๆ โจทย์ที่หนังต้องการคือหนังแนวสัตว์ประหลาดบุกโลกที่สมจริง ก็นี่ไงครับ มีการผูกเรื่องให้พวกตัวเอกต้องกลับเข้าไปในเมืองเพื่อตามหาเพื่อน โดยที่เราไม่มีทางรู้ว่าที่ต่างๆ ในเมืองจะมีอะไรรอเขาอยู่หรือเปล่า แค่นี้ก็เนรมิตความตื่นเต้นได้สารพัดแนวทางแล้วครับ ซึ่งคนเขียนบทอย่าง Drew Goddard ก็ฉลาดในการวางเรื่อง พี่แกไม่ได้กระหน่ำความสยองตั้งแต่ต้นจนจบ เขาหยอดแบบพองามครับ เป็นระยะๆ ช็อกคนดูเป็นพักๆ แล้วไอ้ที่ช็อกนี่ก็ได้ผลแบบถึงใจอย่างแรงซะด้วย น่านับถือจริงๆ ครับ

ส่วนผู้กำกับ Matt Reeves ก็น่าปรบมืออีกคน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับกับการทำหนังให้ออกมาลงตัวได้ขนาดนี้ ไหนจะต้องถ่ายภาพเล่าเรื่องต่างๆ ผ่านทางมุมกล้องวีดีโอแบบมือถือ มันไม่เหมือนหนังทั่วไปที่จะใช้มุมกล้องกว้างก็ได้ ยาวก็ได้ตามแต่ใจ ประเภท 360 องศาสไตล์ Michael Bay สามารถเก็บรายละเอียดออกมาได้ครบในทีเดียว มันทำอย่างนั้นไม่ได้น่ะสิครับ คนทำต้องมานั่งคิดว่าวางอีท่าไหนให้มันพอดี ความกว้างของมุมกล้องมันจำกัด และต้องให้คนดูเชื่อด้วยว่านี่มันคนถือกล้องถ่าย ไม่ใช่จงใจถ่ายหนัง ของแบบนี้มันต้องทำการบ้านกันพอตัวล่ะครับ

ถือว่า Reeves ทำหนังได้ดี ก้าวกระโดดจากหนังใหญ่เรื่องก่อนอย่าง The Pallbearer หลายขุมครับ ไม่รู้ไปฝึกวิชาจากไหน เพราะงานก่อนหน้าเรื่องนี้ก็มีแค่หนังทีวีไม่กี่เรื่อง แล้วก็ไม่ได้เด่นมากด้วย ก็คงต้องบอกว่าได้บทดีและได้พี่เลี้ยงผู้อำนวยการสร้างเด็ดๆ อย่าง J.J. Abrams ที่ช่วยกันเติมเต็มวิสัยทัศน์ให้เรื่องออกมาน่าดูขนาดนี้

และอีกหนึ่งสิ่งที่ผมออกจะประทับใจมากกว่า The Blair Witch อยู่หน่อยหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครครับ ต้องยอมรับว่าในแม่มดแบลร์นั้นทำได้ดีในระดับหนึ่งสำหรับความสัมพันธ์ของตัวละครหลัก แต่ก็ไม่ได้มากจนคนดูผูกพัน แต่กับ Cloverfield นี่ตีประเด็นนี้แตกครับ ไม่ว่าจะตัวมาร์เลน่าสาวน้อยที่ติดสอยห้อยตามคณะเดินทางไปช่วยชีวิตคนแบบไม่ตั้งใจเท่าไร แต่เมื่อจวนตัวขึ้นมา เธอนี่แหละที่เป็นคนลงมือช่วยเหลือคนอื่นเท่าที่จะทำได้แทนที่จะหนีเอาตัวรอด มาร์เลน่าเลยเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่คนดูรักและเห็นใจไม่ใช่เล่น

หรือตัวพระนาง ร็อบกับเบธ ที่หนังใช้วิธีแทรกคลิปวีดีโอเก่าๆ ตอนที่ทั้งคู่หวานแหววลงมาเพื่อให้เรารับรู้ว่าสองคนนี้เป็นคู่รักที่น่ารักแค่ไหน

1-18-08_08

โดยส่วนตัวผมชอบฉากที่ร็อบพยายามบอกกับใครๆ ว่าเขาต้องการไปช่วยเบธ แต่คนอื่นๆ ก็พากันขวางบอกว่าอย่าเลยรีบหนีดีกว่า เขาเลยพยายามบอกว่า เขาน่ะมีสตินะ เขาแค่ต้องการไปช่วยคนรักของเขา คนอื่นไม่ต้องตามไปก็ได้ แต่ยังไงเขาก็จะไป หรือตอนที่เขาโดนทหารสั่งให้ออกจากเมืองไปซะ แต่ร็อบก็ยังพยายามใจเย็นบอกว่า ยังไงเขาก็ต้องไปช่วยคนรักก่อน นี่เป็นอะไรที่ผมประทับใจมากน่ะครับ Stahl-David เล่นได้เยี่ยมมาก แววตาท่าทางเขาสื่อเต็มร้อยว่าเขาอยากไปช่วยคนรักมากแค่ไหน แม้ตายก็ไม่ว่า เพราะถ้าเธอตายเขาก็ไม่อยากอยู่อีกเหมือนกัน

เล่นแสดงออกซะแบบนี้ ไม่เห็นใจก็คงไม่ไหวล่ะจริงไหมครับ

หนังเลยมีความลึกมากกว่าแค่ตัวอะไรก็ไม่รู้บุกเมือง มันมีทั้งความรัก ความห่วงใยทั้งห่วงเพื่อน ห่วงคนแปลกหน้าที่ต้องมาตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ทั้งหมดทำให้ Cloverfield มีระดับขึ้นมาหลายขุม

ตัวผมเองนั้นเป็นคนชอบหนังแนวสัตว์โลกน่ารักครับ แม้จะดีหรือแย่แค่ไหนก็ไม่สน ยังไงก็จะตามไปดู เพราะผมอยากเห็นว่ามันจะเดินเรื่องไปทางไหน มันจะมีใครแหวกสูตรสร้างความใหม่ได้หรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครแหวกซักคน มันเดินขบวนแถวตอนไม่มีแตกแถวแม้แต่น้อยเดียว จนเรื่องนี้แหละครับ เอาสูตรดั้งเดิมมายกเครื่องใหม่ ตั้งแต่การถ่ายทำ การนำเสนอ การเพิ่มความแน่นในเชิงดราม่า แล้วประจวบเหมาะกับเทคนิคพิเศษสมัยใหม่มันก้าวไกลจนเนรมิตได้ทุกอย่างสมดั่งใจปรารถนา มันเลยออกมาเด็ดขนาดเนี้ย สุดยอดมากครับ

ผมก็เข้าข่ายชอบมาก จนยินดียกตำแหน่งหนังแนวสัตว์ประหลาดบุกที่เข้าท่าติดอันดับหนึ่งในใจไปเลย นี่ยังว่าจะไปเอามาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก

รู้ไหมครับว่าทำไมผมถึงอยากดูซ้ำ

ตามปกติหนังสัตว์ประหลาดมักดูแล้วจิตตกอกตรม แม้ตอนจบจะแฮ้ปปี้เอนดิ้งแค่ไหนก็ตาม แต่อารมณ์หนังทั้งเรื่องมักจะออกไปในทางชวนหดหู่ สิ้นหวัง ไหนจะมีตัวละครงี่เง่ามาสร้างความรำคาญ ประเภทคนที่อยากเอาตัวรอดจนไม่สนว่าคนอื่นจะตายหรือไม่ หรือพวกฉลาดๆ ที่พยายามจะจับตัวประหลาดไปขายทำเงินน่ะครับ (ส่วนใหญ่ก็ไม่รอด) ตอนจบก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไร เหมือนจบแบบถึงเวลาจบ พระเอกนางเอกก็ไม่ค่อยให้ความรู้สึกว่าจะมาเป็นพระเอกนางเอกในใจเราได้ แค่หล่อแค่สวยเท่านั้น

ทุกครั้งที่ผมดูหนังสัตว์ประหลาดจบ มักให้อารมณ์แค่ความหดหู่และสะใจเป็นหลักแค่นั้น จบ

1-18-08_14

แต่กับ Cloverfield มันเป็นรสชาติใหม่ที่ผมประทับใจ เพราะตัวเอกในเรื่องดูเป็นผู้เป็นคน ไม่ได้ขาดสติติงต๊อง คนแบบนี้แหละครับที่น่าเอาใจช่วย และเราก็ไม่เสียใจด้วยไม่ว่าผลที่เขาได้รับในตอนท้ายจะเป็นเช่นไร เพราะเขาเลือกทางที่จะกลับไปช่วยคนรักด้วยความสมัครใจและห่วงใยเต็มที่

คนแบบนี้ต่อให้เดินทางไปแล้วต้องตาย ผมก็ยังอดรู้สึกดีไม่ได้ เพราะเขาทำด้วยจิตดีงามจริงๆ ห่วงคนอื่นจริงๆ เป็นผมผมก็ไม่เสียใจครับ ทำเพื่อคนที่เรารักนี่หน่า แค่ไหนแค่นั้น ผลสำเร็จหรือไม่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่มันอยู่ที่ว่าเราทำหรือไม่ทำมากกว่า

แรงผลักดันของเรื่องมันไม่ใช่ธีมแห่งความสิ้นหวัง ไม่ใช่ธีมแห่งการเอาชีวิตรอด หรือเน้นแต่ความสะใจเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นธีมแห่งความรักและความหวังของคน อย่างที่ร็อบเดินทางไปช่วยเบธ เขารู้ว่ามันอันตรายครับ แต่ความรักและพลังแห่งความหวังนำพาเขาไป มันอาจหดหู่บ้าง อาจตื่นเต้นมีลุ้นบ้างระหว่างการเดินทาง แต่มันเป็นการเดินทางที่มีความหมายและมุ่งมั่น … มันเป็นเพราะความรัก … มันจับใจผมจัง

ไปๆ มาๆ ผมเลยดูหนึ่งเหมือนได้สองครับ ได้สะใจกับการหนีสัตว์ประหลาดแบบล้นเต็มฟัด และยังได้อารมณ์เหมือนดูหนังรักกลางสงครามไปอีกหนึ่งขนาน … คุ้มแบบนี้มันก็เลยอยากดูซ้ำไงครับ เหนืออื่นใด ดูแล้วไม่หดหู่ แต่กระตุ้นให้เราคิด ว่า วันนี้เราทำอะไรให้คนที่เรารักหรือยัง ไม่ใช่เฉพาะแฟนครับ ผมหมายความรวมถึงพ่อแม่ เพื่อนพ้อง และคนที่ดีต่อคุณทั้งหลาย เราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจหากไม่มีโอกาสทำอีกต่อไป

เหมือนที่ร็อบทำให้เบธไงครับ ความตายไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะยังไงสักวันมันก็ต้องมาถึง แต่เวลาปัจจุบันที่ยังมีลมหายใจนี่ต่างหากที่น่าใคร่ครวญให้ดีว่าเราทำสิ่งที่ต้องการ (หมายถึงสิ่งดีๆ นะครับ) เพียงพอหรือยังที่เราเกิดมาหนึ่งชาติ ถ้ายังดีไม่พอ ก็ทำต่อไปครับ

เกือบสามดาวครับ

Star22

(7.5/10)