ในที่สุด “เหยื่อ” ที่ผมคาดว่าต้องโดนสักครั้งในหนังเรื่อง Saw ก็มีจนได้ในภาคที่ 6 นี้
จิ๊กซอว์มักจะลงโทษเหยื่อที่ทำความผิดอะไรสักอย่างใช่ไหมฮะ โดยเฉพาะคนที่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตเนี่ยต้องเจอพี่แกสอนสักรอบให้หลาบจำ แล้วผมก็คิดมาตั้งแต่ภาคแรกๆ ว่า “เอ มันจะมีเหยื่อที่เป็นพวกบริษัทประกันชีวิตบ้างไหมหว่า?”
ที่นึกถึงบริษัทประกันก็เพราะสำหรับในประเทศอเมริกาแล้ว อาชีพที่ได้รับการขนานนามว่า “เห็นแก่ประโยชน์ตนเป็นหลัก” หนักที่สุด นอกจากอาชีพทนายความแล้ว ก็มีบริษัทประกันนี่แหละครับ ประมาณว่าตอนเริ่มต้นที่จะให้คนทำประกันกับบริษัทตน ก็จะยกเหตุผลสารพัดมาหว่านล้อม กล่อมให้คุณทำประกันเพื่อตัวคุณเองและคนที่คุณรัก พร้อมมอบข้อเสนอสุดพิเศษให้แบบไม่อั้น และสัญญาว่าจะคุ้มครองเคียงข้างคุณไปจนตลอดชีวิต
แต่พอถึงเวลาที่ผู้ประกันตนเกิดเจ็บป่วยด้วยอาการโรคภัยใหญ่ๆ อย่างมะเร็ง, โรคหัวใจ ปรากฏว่าคนกลุ่มเดียวกันนี้แหละครับ จะทำหน้าที่ขุดคุยหาเหตุผลช่องโหว่สารพัด ที่จะทำให้เขาไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลใดๆ ไม่ว่าจะอ้างว่าผู้ประกันผิดสัญญา ไม่ยอมบอกว่าเคยผ่าอันนั้น เคยเป็นอันนี้มาก่อน หรือไม่ก็พิจารณาดื้อๆ ว่าการรักษาในแบบที่ผู้ประกันกำลังจะทำนั้นไม่ได้ผลหรอก ดังนั้นทางบริษัทก็จะตัดสินใจไม่จ่ายประกันให้ ถ้าใครไม่ยอมก็ฟ้องศาลเอาแล้วกัน แต่ยังไงบริษัทประกันก็ไม่ขอจ่ายไว้ก่อน
… ที่พูดนี่คือฤทธิ์เดชเดชา กิตติศัพท์ของบริษัทประกันในอเมริกานะครับ บ้านเราก็ส่วนบ้านเรา ผมไม่ได้พาดถึงเด้อ ^^
ด้วยเหตุนี้ล่ะครับผมเลยคิดว่าถ้า Saw มีการสร้างต่อไป มันต้องมีซักภาคที่เหยื่อมาจากบริษัทประกัน และปรากฏว่าในภาคนี้ พี่จิ๊กแกก็ยกให้มาเป็นเหยื่อทั้งบริษัทเลยครับ
เกม ตัด-ต่อ-ตาย 6 ก็เดินเรื่องต่อเนื่องจากคราวก่อน หลังจากจอห์น เครเมอร์ หรือ จิ๊กซอว์ (Tobin Bell) จากโลกนี้ไปแล้ว แต่เกมของเขายังไม่จบครับ เขาส่งต่อคำสั่งเสียสุดท้ายไปถึง จิลล์ ทัค ภรรยาของเขา (Betsy Russell) รวมไปถึงผู้ช่วยอย่างมาร์ค ฮอฟฟ์แมน (Costas Mandylor) ในการนำพาเอาคนจากบริษัทประกันมาเล่นเกมเลือดอันนี้ แต่ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ FBI อย่าง แดน อีริคสัน (Mark Rolston) ก็ยังตามสืบหาผู้ช่วยของจิ๊กซอว์อยู่แบบไม่เลิกรา นั่นทำให้ มาร์คต้องวางแผนเดินเกมเพื่อปกปิดตัวตนอันลึกลับของเขาด้วย
หลังจากภาค 4 และ 5 ที่ผมรู้สึกว่าหนังมันธรรมดาลงแล้ว ผมก็ไม่คาดหวังอะไรกับภาคนี้ เพราะนี่คือ Saw ภาคที่ทำเงินน้อยที่สุด ได้ไปไม่ถึง 30 ล้านด้วยซ้ำ แต่ไปๆ มาๆ ผมกลับชอบภาคนี้แฮะ รู้สึกว่า Patrick Melton และ Marcus Dunstan เริ่มเข้าถึงบทหนังชุดนี้เสียที หลังจากลองเขียนบทมาตั้ง 2 ภาค
สิ่งที่ยังไว้ใจได้ไม่เสื่อมคลายของหนังชุดนี้คือความโหด ฉากการฆ่าที่รุนแรง เลือดสาด และความตื่นเต้นลุ้นระทึกที่หยอดมาเรื่อยๆ แต่จุดที่ถือว่าเด็ดแซงโค้ง 2 ภาคก่อนหน้าก็คือไคลแม็กซ์ที่หักมุม กระชากใจคนดูแบบได้ผล ไม่เหมือนคราวก่อนๆ ที่บทสรุปออกจะเป็นอะไรที่เดาได้ แต่มาคราวนี้หนังใช้วิธี “ลวง” เราแบบที่เคยได้ผลมาแล้วใน 3 ภาคแรก พอจบอีหรอบนี้เลยสร้างความประทับใจให้แฟนหนัง Saw ได้แบบไม่ยากเย็น ซึ่งหนังชุดนี้ก็พยายามใส่อะไรเซอร์ไพร์สคนดูอยู่เรื่อยๆ อย่างการกลับมาของตัวละครบางราย หรือการอุดช่องว่างของหนังภาคที่แล้วๆ อะไรเหล่านี้ทำให้ Saw VI เป็นภาคที่น่าพอใจ ช่วยเพิ่มความคมเข้มให้กับตำนานหนังชุดนี้ได้อย่างดีทีเดียวครับ
แต่ที่ผมชมเยอะแยะนี่ ไม่ได้แปลว่ามันสุดยอดนะครับ เพราะยังไง 3 ภาคแรกก็ยังแจ๋วที่สุดอยู่ แต่ถ้าให้จัดลำดับความเยี่ยมนอกจาก 3 ภาคแรกแล้ว ก็คงต้องยกให้ภาคนี้ล่ะครับที่ถือว่าออกรสเข้าท่า ผสมผสานความตื่นเต้น เนื้อหาสาระ และการหักมุมได้อย่างพอดีพอเหมาะ
ส่วนประเด็นสอนวิชาชีวิตด้วยเลือดของจิ๊กซอว์นั้นก็สอนให้เหล่าบริษัทประกันแบบเต็มๆ ว่าการที่บริษัทประกันชักนำให้คนอยากทำประกัน เพื่อจะได้เป็นความมั่นคงในชีวิต เป็นหลักประกันให้พวกเขายามร่างกายประสบโรคร้าย หากเงินทองไม่พอที่จะรักษาตนเองได้ ก็จะมีแต่ประกันนี่แหละที่เป็นที่พึ่งที่จะทำให้เขา รวมไปถึงครอบครัวของเขาได้รอด ได้ต่อชีวิต หรืออย่างน้อยถ้ารักษาไม่ได้ แต่หากมีเงินสักก้อนหนึ่งให้กับครอบครัวของผู้ประกันตน ให้เขาได้ไปตั้งตัว นั่นก็ย่อมทำให้ผู้ประกันตนเบาใจ จากโลกนี้ได้อย่างตาหลับได้ ดังนั้นถ้าจะบอกว่าบริษัทประกันนั้นคือบริษัทที่สามารถทำบุญช่วยชีวิตคนได้มากกว่าอาชีพใดๆ ก็คงไม่ผิดอะไร โดยฉากหน้าก็เหมือนจะเป็นบริษัทที่เห็นคุณค่าของชีวิตคนมากที่สุดน่ะครับ
การประกันชีวิต สัญญาว่าจะช่วยเหลือนั้นคือการให้ความหวังครับ และถ้าทำได้ตามนั้นมันย่อมยอดมาก แต่ไปๆ มาๆ คำสัญญากลายเป็นเพียงการหว่านล้อม ความหวังกลายเป็นเพียงลมพัดผ่าน คนมากมายที่ส่งเงินประกันทั้งชีวิตแทนที่จะได้ใช้สิทธิ์กลับต้องมาพบเจอกับความสิ้นหวังอย่างไม่คาดฝัน อย่างที่ตัวละคร แฮโรลด์ แอ็บบอท (George Newbern) ผู้ประกันตนที่ถูกปฏิเสธเพียงเพราะเขาไม่ได้บอกว่าเคยผ่าตัดฟันเล็กๆ เมื่อ 30 ปีก่อน เขาบอกกับ วิลเลี่ยม อีสตัน (Peter Outerbridge) เจ้าหน้าที่ประกันที่ปฏิเสธสิทธิ์เคลมของเขาว่า “คุณเพิ่งตัดสินประหารชีวิตผมนะครับ”
การนำเอา “ความหวังและทางรอดของคน” มาทำเป็นธุรกิจ… ควรจะคิดกับสิ่งนี้อย่างไรดีนะ
เข้าใจครับว่าในแง่ธุรกิจ สิ่งที่นักธุรกิจและนักลงทุนต้องการย่อมเป็นผลกำไรและผลประกอบการสูงสุด แต่เมื่อมีปัจจัยอื่นมาแทรกอย่าง “ชีวิตคน” การจะคงมั่นเอาแต่ผลกำไรอย่างเดียวนั้น ยังเป็นสิ่งที่ควรทำจริงหรือ
โอกาสที่จะได้กำไรเพิ่มอีกกับโอกาสที่จะได้ช่วยคนอีก… อะไรที่ “มนุษย์” ควรเลือก
กับดักอันหนึ่งที่ผมว่าทีมงานจัดได้ดีและสื่อความหมายได้แน่มากๆ คือตอนที่ 6 ผู้ช่วยของวิลเลี่ยมถูกจับมัด แล้ววิลเลี่ยมช่วยได้แค่ 2 นั่นแหละครับ ฉากนี้ชวนคิดเยอะมาก (เอาล่ะครับ จะมีสปอยล์ล่ะนะ ถ้าไม่อยากทราบข้ามไปอ่านดาวเลยก็ได้ครับ)
เริ่มจากคนกลุ่มนี้ที่เป็นบุคลากรสำคัญมากๆ ของบริษัทเพราะเขามีหน้าที่ตามสืบ ขุดคุ้ย หาหลักฐานอะไรก็ได้ที่จะทำให้บริษัทปฏิเสธไม่ต้องจ่ายประกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ว่าง่ายๆ คือยิ่งปฏิเสธได้มากเท่าไรก็ยิ่งคงผลประโยชน์ไว้ได้เท่านั้น
แต่ทุกครั้งที่ปฏิเสธ นั่นเท่ากับชีวิตใครคนหนึ่ง หรือครอบครัวหนึ่งกำลังสิ้นหวังลงไป
และสิ่งที่เกิดในฉากนั้นก็คือ เมื่อเกมเริ่ม สิ่งที่ “งาน” หล่อหลอมพวกเขาก็แสดงให้เห็นออกมาแบบเต็มๆ เพราะทุกคนต่างขุดเอาจุดอ่อนของคนอื่นๆ มาพล่ามพูด ขุดเอา “เหตุผลที่วิลเลี่ยมควรปฏิเสธที่จะช่วยชีวิตคนนั้น คนนี้ (ที่ไม่ใช่ตนเอง)” ขึ้นมาพูดกันให้สนั่นห้อง
คนนั้นไม่ควรช่วยเพราะมันจะโกง คนนั้นก็อย่าช่วยเพราะมันโกหก คนนั้นก็ไม่ดีเพราะมันไม่มีค่าเท่าไร…
มันจะน่ากลัวแค่ไหน หากคนเราติดพฤติกรรมแบบนี้กันมากๆ… พฤติกรรมในการหาเหตุผลว่า “ทำไมคนอื่นถึงควรตายมากกว่าเรา“
บริษัทประกันชีวิต… แต่คนทำงานในนั้นกลับถูกหล่อหลอมและเรียนรู้ให้ไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตของลูกค้า หรืออีกนัยหนึ่ง คนที่จ่ายเงินเดือนให้กับพวกเขาทุกคน…
เกมนี้ของจิ๊กซอว์แรงจริงๆ ไม่ว่าจะภาพ เสียง และสิ่งที่ซ่อนอยู่
อันนี้เลยขอชมทีมงานครับ ที่เขียนเรื่องเขียนบทสื่อประเด็นพวกนี้มาได้เยี่ยมมาก ไม่ได้สื่อแบบโต้งๆ เหมือนคราวก่อน แต่ก็ไม่ได้สอดแทรกแบบลึกเกินเหตุจนต้องไปเอาพลั่วมาขุด
จริงๆ แล้วบริษัทประกันชีวิตนั้น สามารถใช้เป็นสนามเรียนรู้ความหมายของชีวิตได้ (อย่างการสอบถามผู้ที่เคลมประกันด้วยโรคภัย ว่าเขามีมุมมองต่อชีวิตต่างไปหรือไม่ คนแง่ดีคิดอย่างไร คนคิดลบล่ะ จะมีทางปรับได้ไหม)
สามารถใช้เข้าใจความคิดของคน (เมื่อรู้ตนว่ามีโรคภัยแล้วว่าตั้งรับอย่างไร คนในครอบครัวตั้งรับได้ไหม)
และเป็นสนามแห่งการศึกษาวิชาการเยียวยาใจคนได้อย่างดี (ได้รวบรวมเรียนรู้ว่าคนเรามีวิธีทำใจอย่างไร มีวิธีทำให้คนในครอบครัวยืนหยัดผ่านเหตุการณ์ไปได้อย่างไร เพื่อจะได้แบ่งปันเอาวิธีนี้ไปให้กับคนอื่นบ้าง จัดทำเป็นสมาคมช่วยเหลือกันในหมู่ลูกค้าเลยก็ยิ่งดีครับ) … ถ้าบริษัทประกันตั้งทิศทางนโยบายให้ช่วยคนเป็นหลักน่ะนะครับ ที่นั่นจะกลายเป็นสถานีวิจัยแห่งชีวิตที่ยอดเยี่ยมมาก จะได้ประโยชน์มากมายกว่ากำไรหลายเท่าตัว
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้ดำเนินกิจการจะทำเพราะเห็นคุณค่าของชีวิต หรือทำเพราะเห็นค่าของเงินกันแน่
นอกจากสาระในเกมแล้ว สาระนอกเกมอีกอัน ที่จิ๊กซอว์มอบให้ฮอฟฟ์แมน นั่นก็น่าคิดอีกเหมือนกัน เพราะจะว่าไปแล้วฮอฟฟ์แมนก็มีความเหมือนเหล่าเจ้าหน้าที่ประกันไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะความเห็นแก่ตัว (ฆ่าคนที่ไม่มีความผิดอย่างเจ้าหน้าที่สแตรมเพื่อตนเอง) ความไม่เคารพในชีวิตคนอื่น และไม่เคยคิดจะเรียนรู้สิ่งสำคัญแท้ๆ (อย่างประเด็นการให้โอกาส) จากจิ๊กซอว์เลย สุดท้ายพี่แกก็เลยต้องเจอกับเกมของพี่จิ๊กแกจนได้
และในตอนต้นเรื่อง เหยื่อ 2 รายแรกนั้นก็เป็นพวกปล่อยเงินกู้แบบขูดรีดเลือด พวกที่เอากำไรจากเม็ดเหงื่อของคนทำงานที่อยากจะมีชีวิตที่ดี มีอนาคตมั่นคง แต่ไม่มีเงินไว้ตั้งตัว เลยต้องไปกู้มา ครั้นพอกู้แล้วก็เจอดอกโหดๆ แทนที่จะได้ตั้งตัวก็กลายเป็นก่อหนี้แทน อันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพนะครับ ที่จริงๆ แล้วสามารถสอนคนอื่นได้
จริงๆ นะครับ อาชีพปล่อยกู้น่ะ ถ้าเราลดความหวังในกำไรลงมาหน่อย หมายถึงจะเอาดอกเบี้ยน่ะก็ได้ครับ แต่ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้คนอื่นเป็นหนี้เราไปนานๆ เพื่อจะได้ดอกเยอะๆ แต่เราควรเอาดอกแต่พองาม แล้วระหว่างนั้นเราก็สอนเขาสิครับว่าควรบริหารเงินอย่างไรถึงจะมีกินมีใช้ไปนานๆ
หากทำแบบนี้แล้ว จริงครีบที่เราอาจจะไม่ได้ดอกจากผู้กู้นานนัก เพราะถ้าเขาบริหารเงินเป็นเมื่อไรเขาก็จะเลิกกู้เรา แต่เราจะได้มิตร ได้เพื่อน ได้คนที่รักเรา สำนึกในบุญคุณของเรา แล้วมันจะเท่ากับเราได้ช่วยชีวิต (หรืออาจจะครอบครัวของเขาด้วย) ช่วยให้ใครสักคนยืนหยัดด้วยตนเองได้ มีชีวิตที่มั่นคงขึ้นได้ แล้วต่อไปเราอาจจะได้ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่กว่าดอกเบี้ยมากมายนักครับ เพราะหากเขาประทับใจในความใจดีและมีเมตตาของเราแล้ว เชื่อเถอะครับว่าต่อไปถ้าเขาไปเจอเพื่อนหรือคนอยากหาแหล่งเงินกู้ แน่นอนว่าเขาต้องแนะนำเพื่อนๆ เหล่านั้นมาเป็นลูกค้าของเราก่อนอื่นใด
แล้วหากคิดในมุมกว้าง การช่วยให้คนมีความมั่นคงทางการเงินหรือใช้เงินเป็นนั้น ก็เท่ากับเป็นการช่วยประเทศไปในตัวนะครับ เพราะลองว่าคนเราใช้เงินเป็น ไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อสุรุ่ยสุร่าย ระบบเศรษฐกิจก็จะมั่นคงตามแนวความพอเพียงไงล่ะครับ
… อืมม์ ตกลงมันจะมีสาระแทรกให้คิดตลอดทุกเกมเลยหรือนี่… เจ๋งแฮะภาคนี้ ^^
เรียกว่าเกมในภาคนี้เป็นการกวาดล้างพวกคนที่ควรจะเห็นคุณค่าชีวิตของคนอื่น ไม่ว่าจะพนักงานประกัน คนปล่อยกู้ที่เห็นแก่ตัว หรือตัวฮอฟฟ์แมนเอง ที่ร่วมงานกับจิ๊กซอว์มานานแล้วแท้ๆ แต่คนเหล่านี้ดันไม่เรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าชีวิตคนเลย… ลองว่าไม่รู้จักเรียนรู้เช่นนี้ มันก็ต้องโดนพี่จิ๊กแกมาตามเอาชีวิตไป
นักแสดงในภาคนี้ผมว่าดีเลยล่ะครับ Bell ก็เป็นจิ๊กซอว์ไปแล้ว Mandylor ก็คล่องกับบทนี้ไปแล้วเช่นกัน ซึ่งว่ากันว่าเขาไม่รู้เลยนะครับว่าชะตากรรมของตัวละครฮอฟฟ์แมนนั้น จะเป็นเช่นไรในตอนท้าย จะอยู่ จะตาย หรือบาดเจ็บแค่ไหนก็ไม่รู้เลย ซึ่งขนาดคนดูเองก็ยังพลอยลุ้นไปด้วยไม่ได้เหมือนกัน ว่าชีวิตพี่แกจะเป็นอย่างไรเมื่อหนังถึงซีนสุดท้าย
แต่รายที่ผมยกนิ้วให้คือ Outerbridge ครับ แม้ผมจะรู้ว่าเขาเห็นแก่ตัว แต่ผมก็เชื่อว่าลึกๆ แล้วเขาก็ไม่ได้อยากทำแบบนั้นหรอก แต่กระนั้นก็อย่างที่ตัวละครในเรื่องบอกนั่นแหละครับ ว่านายคนนี้แม้จะอ้างว่าเขาไม่มีทางเลือก จำต้องทำเพื่อความมั่นคงของบริษัท แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เขาก็สามารถเลือกที่จะช่วยคึนได้เช่นกัน ไม่ใช่ปฏิเสธมันยันเตแบบนั้น มันน่าจะมีทางช่วยอื่นๆ ครับ ไม่ว่าจะจ่ายเงินประกันบางส่วน หรือถ้าจะบอกว่าแนวทางการรักษาที่ผู้ประกันตนจะรักษาตัวเองนั้นไม่ได้ผลแล้ว ก็ช่วยเสาะหาวิธีที่ได้ผลให้กับเขาสิครับ
ใช้ทีมงานที่ค้นหาข้อมูลเพื่อปฏิเสธประกันนั่นแหละ ใช้พวกเขาในการหาข้อมูลเพื่อช่วยชีวิตผู้ประกันตน หาทางออกให้เขาและครอบครัว ไม่ใช่หาข้อมูลเพื่อปิดประตูตาย ทำลายความหวังของลูกค้าเช่นนี้
ยอมรับว่า Outerbridge เล่นได้ดีจริงๆ ครับ น่าเห็นใจแต่ก็เข้าใจในสิ่งที่เขาได้รับจากจิ๊กซอว์เหมือนกัน
หนังกำกับโดย Kevin Greutert ที่ทำหน้าที่ตัดต่อหนังชุดนี้มาโดยตลอดน่ะครับ ซึ่งผมว่าเขาก็ทำได้ไม่เลวทีเดียว มีความตื่นเต้น ลุ้นระทึกครบกระบวน
การมาของ Saw ภาคนี้จึงถือว่าคืนฟอร์มหนังชุด Saw ได้ครับ แม้รายได้ไม่เข้าเป้า แต่ตัวเรื่องนั้นเข้าตาจริงๆ
สองดาวครึ่งสิครับ
(7/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Horror, Mystery, Slasher Movies