แล้วก็ดำเนินมาถึงภาคสุดท้ายของจิ๊กซอว์แล้วนะครับ พี่ท่านแม้จะสิ้นชีพไปแล้วแต่ก็ยังมีเซอร์ไพร์สซ่อนไว้อีกหลายก็อกเหลือเกิน กว่าจะจากโลกไปแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ได้นี่ก็พ่วงเอาศพชาวบ้านตามไปหลายสิบแล้วล่ะมั้ง
แต่ถ้าจะว่าไป การทำภาคต่อของหนังชุด Saw นี่ก็ยังถือว่าเข้าท่า มีการคิดในระดับหนึ่งก่อนจะทำเป็นหนังออกมา ไม่เหมือนหนังไล่ฆ่าทั่วไปที่ไม่คิดอะไรมากมาย ถ้านึกอยากจะปลุุกฆาตกรให้โผล่มาฆ่าคนต่อก็แค่ให้มันเป็นผีขึ้นมาดื้อๆ เลยเป็นอันจบเรื่อง ส่วนกับพี่จิ๊กซอว์ (Tobin Bell) นี่ยังถือว่ากลับมาแบบมีเหตุผลพอฟังขึ้น (แม้บางเหตุผลมันจะดูดันทุรังมากขึ้นๆ ก็ตาม)
บทสุดท้ายของพี่จิ๊กคราวนี้ก็เป็นการสรุปเรื่องล่ะครับ ว่าในที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่มาร์ค ฮอฟฟ์แมน (Costas Mandylor) ผู้ช่วยสุดอำมหิตของพี่จิ๊กซอว์แกจะได้รับผลลงเอยอย่างไร, จิลล์ ทัค (Betsy Russell) ภรรยาของพี่จิ๊กจะสามารถเอาตัวรอดจากเรื่องทั้งหมดไปได้ไหม แล้วหนังก็ยังมีเรื่องของบ็อบบี้ ดาเก้น (Sean Patrick Flanery) ชายที่อ้างว่าตัวเองเคยผ่านกับดักของจิ๊กซอว์มาก่อน แล้วก็เอาเรื่องมาเขียนมาขายจนมีชื่อเสียงโด่งดัง มีเงินทองล้นเหลือ
แต่ปัญหาคือเรื่องที่เขาเล่าทั้งหมดมันไม่ใช่ความจริงน่ะสิครับ เขาแค่เป็นพวกเกาะกระแสให้ตัวเองดังเท่านั้น และนั่นทำให้จิ๊กซอว์ไม่พอใจอย่างแรง เขาเลยทิ้งมรดกแห่งความโหดให้บ็อบบี้กับพรรคพวกต้องเจอกับบทเรียนที่แสนน่ากลัวแบบที่เขาเองก็ไม่เคยจินตนาการถึง
ภาคนี้ออกจะอ่อนสุดครับ ทั้งที่จริงๆ ถ้าเล่าเรื่องดีๆ จัดระเบียบการเล่าให้มันมีความหวือหวาน่าติดตาม แล้วก็ใส่รายละเอียดลงไปอีกเยอะหน่อยหนังน่าจะเป็นบทสรุปที่น่าพอใจได้ แต่ตัวหนังกลับไม่ค่อยจะเหลือความซับซ้อนใดๆ แทบจะไม่มีอะไรหักมุมเพราะหนังเล่าแบบตรงๆ ไม่ว่าเรืองระหว่างฮอฟฟ์แมนกับ จิลล์ ทัค ที่จบง่ายกว่าที่คิด หรือเรื่องของบ็อบบี้ที่ไม่มีอะไรพลิกผัน ถ้าจะมีอะไรหักมุมก็เป็นการหักในตอนท้ายน่ะครับ แต่ก็ไม่ใช่อะไรเกินคาดหมายแต่อย่างใด เพราะหนังเล่นบอกใบ้อะไรบางอย่างแบบค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่ซีนแรกๆ ทำให้เราคิดเดาตามได้ไม่ยากเลย
ด้านการสอนวิชาชีวิตด้วยเลือดนั้น คราวนี้พี่จิ๊กเหมือนจะไม่ได้เน้นอะไรนัก แต่ออกแนวสั่งสอนให้ตายมากกว่าจะสอนให้มีชีวิต ซึ่งก็กัดคนที่หวังดังด้วยการเกาะกระแสได้ในระดับหนึ่งครับ อย่างคนรอบตัวของบ็อบบี้นั้นก็ถือว่าสมรู้ร่วมคิดกันทำสิ่งผิดจริงๆ ไม่ว่าจะพีอาร์ที่ตั้งหน้าแต่จะสร้างกระแสความดัง หรือเพื่อนที่เห็นเพื่อนทำผิดแล้วก็เออออห่อหมก คิดแต่จะเอาเงินมาใช้อย่างเดียว
จริงที่คนเหล่านี้โทษไม่ถึงตายครับ แต่หนังก็สะท้อนมุมมองในแบบของพี่จิ๊กซอว์เหมือนกันว่าเขาเห็นอะไร เขาเห็นว่าการปล่อยให้คนพากันทำอะไรผิดเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปเรื่อยๆ หากเขาไม่คิดจะกลับใจหรือไม่สำนึกกันเลย ในที่สุดคนทำผิดนิดหน่อยก็จะพากันทำความผิดที่ใหญ่กว่า ใหญ่กว่า และใหญ่ไปเรื่อยๆ
แล้วหากทุกคนพลอยเป็นแบบนี้ไปหมดล่ะ… สังคมก็จะค่อยๆ มีมาตรฐานใหม่ในเรื่องความผิดครับ ความผิดในสมัยก่อนอาจกลายเป็นเรื่องปกติในสมัยนี้ และความผิดแรงๆ ในสมัยนี้ก็จะกลายเป็นความผิดขั้นสามัญในสมัยต่อไป… เหมือนขยะที่กองอยู่ใต้เท้าน่ะครับ เราอาจฝังมัน ฝังมัน ฝังมัน แต่หลายปีผ่านไปค่อยมารู้ว่าขยะใต้เท้าเรามันหนาเป็นเมตรๆ ไปซะแล้ว แต่เราไม่เคยรู้เลย เอาแต่คิดไว้พื้นมันสูงขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น (ทั้งที่มันสูงด้วยขยะ)
หรือ “พินัยกรรม” อีกหนึ่งของพี่จิ๊กที่สั่งให้จัดการขจัดความผิดพลาดที่เขาได้เริ่มทำเอาไว้ ก็ถือว่าพี่แกรับผิดชอบในแบบของแกเหมือนกัน
สรุปว่าเนื้อเรื่องภาคนี้ยังเกลาไม่เข้าที่ครับ อะไรต่างๆ เลยออกจะธรรมดาไป ส่วนคนเขียนบทก็ยังเป็น Patrick Melton และ Marcus Dunstan อยู่ครับ ซึ่งบทคราวนี้ค่อนข้างธรรมดา อันนี้ก็มีประเด็นครับ เพราะตอนแรก 2 ผู้เขียนบทเขาตั้งใจว่าจะทำ Saw ภาคสุดท้ายออกมาเป็น 2 ตอน เป็น Saw: The Final Chapter: Parts 1 & 2 (เหมือน Harry 7.1 & 7.2 น่ะครับ) โดย Part 1 จะเป็นการเล่าเรื่องพร้อมเปิดตัวการกลับมาของตัวละครหนึ่ง แล้วจากนั้นค่อยเดินเรื่องสรุปทุกสิ่งใน Part 2 อันจะว่าด้วยชะตากรรมของเหยื่อแต่ละรายของจิ๊กซอว์ที่ยังรอดชีวิตอยู่
แต่ไอเดียนี้โดน Lionsgate ปฏิเสธว่าไม่ต้องหรอก ทำเป็นตอนเดียวจบก็พอ (ส่วนหนึ่งเพราะรายได้หนังชุดนี้มันน้อยลงๆ น่ะครับ) กระนั้นก็ยังมีข่าวออกมาครับว่า บทส่วนที่ Melton และ Dunstan ร่างไว้ให้เป็น 2 ภาคแล้วไม่ได้ใช้น่ะ แม้จะถูกรวบเป็นภาคเดียวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีบางปมบางประเด็นที่คนทั้งสองเก็บไว้ เผื่อครับ เผื่อว่าในอนาคต Lionsgate จะเปลี่ยนใจทำตอนต่ออีก จะได้มีบทพร้อมผูกเรื่องต่อปมได้เลย… มีการเก็บงำด้วยนะนี่
หนังก็กำกับโดย Kevin Greutert จากภาคก่อน ซึ่งว่ากันว่าตอนแรก David Hackl ผู้กำกับภาค 5 จะได้กำกับ แต่ทีนี้ทาง Lionsgate ก็กลัวว่าหนังจะทำเงินไม่เข้าเป้า เพราะภาค 5 น่ะได้รับคำบ่นมากที่สุดในบรรดาหนัง Saw ทั้งหมด ในขณะที่ Saw VI แม้จะทำเงินน้อย แต่คนดูก็ยังชมชอบ ดังนั้น Lionsgate เชื่อมือ Greutert มากกว่า เลยพยายามดึงเขากลับมาทำ ทั้งที่ Greutert เกือบจะได้ทำ Paranormal Activity 2 อยู่แล้วเชียว
พอโดนตามตัว (กึ่งบังคับน่ะนะครับ เพราะ Greutert ก็อยากทำ PA 2 นะ แต่ทาง Lionsgate ก็เอาสัญญาที่เขาเคยทำไว้มาขู่นิดๆ) จากนั้น Greutert ก็ไม่รอช้าครับ รีบเข้าไปเจอกับ 2 คนเขียนบทเพื่อเกลาบทใหม่ทันที เพราะเขาน่ะมีไอเดียอยากเพิ่มนั่นตัดนี่เยอะหลังจากได้อ่านบทร่างแรก สุดท้ายบทที่โดนรวบจาก 2 ภาคมาเหลือภาคเดียวก็โดนตัดทอนอีก เพื่อให้มีเนื้อที่พอสำหรับไอเดียของ Greutert หนังก็เลยออกมายังไม่เนียนอย่างที่บอกนั่นล่ะครับ
ไปๆ มาๆ สิ่งที่ผมชอบจริงๆ คือการกลับมาของตัวละครหนึ่งครับ (ขอไม่บอกแล้วกันนะครับ) เสียดายที่หนังเผยอะไรๆ เร็วเกินไป จริงๆ น่าจะเก็บคนนี้ไว้เป็นไพ่ตายให้คนดูเซอร์ไพร์สตอนท้ายไปเลย หรือไม่ก็ใช้แฟลชแบ็คแซมๆ แนมๆ ให้คนนึกถึงโดยไม่ต้องเผยตัวก็ได้ ไว้พอถึงตอนท้ายค่อยเฉลยทีเดียวไปเลย ผมว่ามันน่าจะกระชากความรู้สึกได้ดีกว่า
ฉากที่ผมว่าแจ๋วสุดคือตอนที่พี่ตัวละครคนเนี้ย เขวี้ยงเลื่อยน่ะครับ เท่ห์มากๆ และจะว่าไปการมาของตัวละครนี้ก็ถือว่าเติมเต็มอะไรได้หลายอย่างทีเดียว แต่เสียดายที่บทหนังยังใส่ตัวละครนี้มาแบบไม่เนียนเต็มร้อย และไม่ได้ผลเต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น ออกจะแปลกใจเหมือนกันเพราะ Saw ภาคนี้ได้ชื่อว่าเป็นตอนที่มีการเตรียมงานนานที่สุดครับ จากปกติเขาเตรียมกันไม่เกิน 9 อาทิตย์ แต่ Saw 3D นี่พรวดเป็น 21 อาทิตย์แน่ะ แต่ไหงยังเกลาบทได้ไม่ลงล็อคล่ะเนี่ย
ก็เป็นไปได้ว่าบทมันโดนจับเกลาจับเพิ่มหลายรอบ (และหลายคน) ไปหน่อย หลายไอเดียมาเจอกันแล้วยังไม่เข้ากันนัก ผลที่ได้เลยออกมาประดักประเดิดเช่นนี้แล
ว่าตามจริง Saw ภาคนี้ผมออกจะชอบน้อยที่สุดครับ เพราะไม่ค่อยมีอะไร นอกจากฉากในกับดักที่พยายามทำให้แรงเพื่อเอาใจคอหนังสยองที่ดูในแบบ 3 มิติ ในขณะที่เนื้อหากลับไม่พยายามทำให้ลงตัวเท่าไร อันนี้แอบคิดเหมือนกันนะครับว่าในที่สุด หนังชุด Saw ที่มีดีในเรื่องปม ในเรื่องบท ก็เริ่มจะโดนคำว่า “ธุรกิจ” บีบจนช้ำไปเหมือนกันนะนี่
… ถ้าภาคหน้ามีจริง เหยื่อจะเป็นพวกผู้สร้างหนังที่คิดถึงแต่เรื่องเงินมากเสียจนทำให้หนังเสียคุณภาพหรือเปล่าหว่า… น่าคิดแฮะ
ก็สรุปจบภาคนี้ได้ว่า เกม ตัด- ต่อ- ตาย 7 นี้เป็นตอนที่ธรรมดาที่สุดในหนังชุดนี้ครับ แม้จะมีการวางเรื่องที่พยายามผูกจากภาคก่อนๆ มาให้มากที่สุด แต่ก็น่าเสียดายที่ยังไม่เนียน จริงๆ ถ้าหนังทำเป็นตอนแยก Part 1 & 2 แล้วใส่รายละเอียดลงมาแบบครบๆ หนังอาจจะมีอะไรเต็มรสชาติมากกว่านี้ก็ได้นะครับ
แต่ในเมื่อได้แค่นี้ ก็คงต้องจบกันประมาณนี้แหละนะครับ ยังไงก็ต้องยอมรับครับว่าหนังชุดนี้ ถือเป็นหนังสยองภาคต่อที่ทำออกมาเยอะ แล้วคุณภาพก็ยังค่อนข้างคงที่ ไม่ใช่ทำแล้วยี้จนไม่อยากดูซ้ำ… ใช่ครับ อย่างน้อยหนังชุดนี้ดูจบแล้วก็ยังอยากดูซ้ำ เพราะมันมีอะไรเยอะกว่าแค่หนังฆ่ากันธรรมดาทั่วไป
และอย่าลืมนะครับ หนังพยายามสอนอะไรเราเกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้ดี เกี่ยวกับการเห็นคุณค่าชีวิตมาตั้ง 7 ตอน คนดูอย่างเราๆ ก็อย่าเสพแค่ฉากการตายที่วิจิตรพิสดารนะครับ ดูสาระแล้วก็ซึมซับมัน หันมาพิจารณาชีวิตตัวเองว่าเรานั้นมีจุดบกพร่องในตนเองบ้างไหม เช่น เป็นคนเห็นแก่ตัว, ชอบเอาเปรียบคนอื่น, ชอบทำผิดแล้วไม่ยอมรับ, ทำงานจนลืมคนรอบตัว, ชอบสอดเรื่องคนอื่น, ชอบเห็นแก่เรื่องธุรกิจจนเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก, ชอบโป้ปด สร้างภาพลวงโลกเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้ตนเอง, ชอบอยู่ด้วยความประมาท ฯลฯ
ถ้ามีรีบกำจัดมันออกไปครับ อย่ารอให้พี่จิ๊กซอว์ (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ภัยร้ายหรือผลลัพธ์จากการกระทำที่ไม่ดีของเรา) มาทวงถามชีวิตเราไป
สองดาวครับสำหรับ Saw 3D
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Mystery, Slasher Movies