ถือเป็นหนังที่ผมประสงค์รีวิวสั้นๆ แบบเข้าเป้าเลยนะครับ ว่าถ้าคุณชอบหนังเพลง, ชอบหนังตลกผสมโรแมนติก, ชอบดาราอย่าง Meryl Streep, Pierce Brosnan และ Amanda Seyfried หรือชอบหนังที่มีบรรยากาศงามๆ ถ่ายภาพสวยๆ ของริมทะเลที่มีน้ำใสกระจ่าง
… ขอเพียงท่านชอบแค่ข้อหนึ่งข้อใดที่ผมกล่าวมา นั่นแสดงว่าคุณเหมาะแก่การดูหนังเรื่องนี้อย่างแรง
Mamma Mia! คือละครเวทีที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลต่อเนื่องกันมาหลายสิบปีแล้วครับ นับแต่การแสดงครั้งแรกในปี 1999 ภายใต้การประพันธ์ของ Catherine Johnson จวบจนปัจจุบันกล่าวกันว่าละครเวทีชุดนี้ทำเงินรวมกันได้กว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และด้วยความดังอันนี้ทำให้มีผู้สร้างสนใจดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ โดยเชิญ Johnson นี่แหละครับให้ดัดแปลงด้วยตนเอง ตามด้วยการมอบเก้าอี้กำกับให้ Phyllida Lloyd ผู้กำกับละครเวทีชื่อดังชาวอังกฤษที่เป็นคนกำกับการแสดงครั้งแรกให้กับ Mamma Mia! ฉบับละครเวทีด้วย
พล็อตว่าด้วยสาวน้อยโซฟี (Amanda Seyfried) ที่ใกล้จะเข้าพิธีวิวาห์กับแฟนหนุ่มเต็มที แต่ทีนี้ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยรู้เลยครับว่าพ่อคือใคร เพราะโตมาแต่กับแม่ที่ชื่อ ดอนน่า (Meryl Streep) วันหนึ่งเธอเลยวิสาสะเปิดบันทึกของคุณแม่เพื่อเสาะหาชื่อบุคคลที่น่าจะเป็นพ่อของเธอ และเธอก็ได้มา 3 ชื่อครับ ได้เแก่ บิล (Stellan Skarsgård), แซม (Pierce Brosnan) และ แฮร์รี่ (Colin Firth) จากนั้นเธอก็ส่งการ์ดไปเชิญมาหมดทั้ง 3 คนเลยครับ แล้วเรื่องสนุกๆ แสนวุ่นวายก็เริ่มจากตรงนั้นแหละ
เสน่ห์ชั้นยอดของหนัง (อันที่จริงต้องบอกว่าเป็นเสน่ห์มาตั้งแต่สมัยละครเวทีแล้ว) คือการเอาบทเพลงของวง ABBA ที่ดังมากในยุค 70 มาใช้ประกอบ ซึ่งแต่ละเพลงก็เด็ดทั้งนั้นล่ะครับ ให้อารมณ์สนุกสนาน ครื้นเครง เนื้อหาดี สร้างความเพลินให้กับหนังได้ทั้งเรื่อง และสร้างอารมณ์ให้กับแต่ละฉากของหนังได้อย่างสุดยอด ไม่ว่าจะเพลง Dancing Queen, Honey, Honey, Mamma Mia, SOS ฯลฯ บอกได้ว่า อร่อยครับ อร่อยโคตะระจริงๆ
ตามด้วยทีมนักแสดงที่สุดยอดอีกเช่นกัน นอกจากที่ผมกล่าวไปแล้วก็ยังมี Christine Baranski และ Julie Walters ในบท 2 เพื่อนซี้ของดอนน่าที่มาปล่อยของในเรื่องนี้แบบไม่ยั้งทั้งความฮาและลีลาร้องเพลง Dancing Queen และ Dominic Cooper ในบทคู่หมั้นสุดหล่อของโซฟี รายนี้บทไม่มากแต่พอตอนเข้าพระเข้านางก็ถึงรสใช้ได้ครับ
บรรยากาศงามๆ ก็อย่างที่บอกครับ หนังลัดฟ้าไปถ่ายทำที่กรีซ ซึ่งสวยมากๆ ครับ น่าไปเที่ยวสุดๆ
หนังทำออกมาก็ประสบความสำเร็จไปแบบสาแก่ใจเลยครับ ลงทุนประมาณ $52 ล้าน แต่โกยกลับไปได้ $609 ล้านจากการฉายทั่วโลก (อเมริกาทำไป $144 ล้านครับ) เรียกว่าดังจนทีมงานหายเหนื่อยและตอกย้ำความสนุกของเรื่องราว Mamma Mia! ได้อย่างดี เพราะดังมันทุกเวทีและทุกจอเลย
หนังมันครบเครื่องความบันเทิงและความสุขเลยนะครับ ดาราดี ดนตรีและเพลงยอด ทิวทัศน์งดงาม เนื้อหาดูง่ายไม่ซับซ้อน และเน้นที่ความตลกกับความซึ้งเล็กๆ ไม่ขอสาธยายอะไรมากครับ เอาเป็นว่าใครยังไม่ได้ดู ดูได้เลยครับ เอาไปเปิดคู่กับ Hairspray ก็ได้ วันไหนที่คุณอยากแฮ้ปปี้ ครื้นเครง เติมสีสันและความสดชื่นให้กับชีวิต จัดหนังเหล่านี้ไปดูได้เลยครับ รับรองมีพลังเพิ่มขึ้นอีกหลายขีด
อย่าแปลกใจนะครับ หากระหว่างดูแล้วขาคุณเกิดขยับด้วยความอยากเต้น… เพราะผมน่ะเป็นมาแล้ว!
และขอบันทึกเพิ่มเติมหน่อยครับ ที่ผมเขียนในย่อหน้านี้เป็นส่วนที่ผมเพิ่มเข้ามาหลังจากดูอีกไม่รู้เป็นรอบที่เท่าไรแล้ว แต่รอบนี้ที่ผมดูมันมีฉากที่อินเพิ่มเข้ามาครับ ต้องบอกก่อนว่ารอบแรกที่ผมดูนั้นผมยังไม่แต่งงาน ยังไม่มีลูกครับ แต่รอบล่าสุดที่ดูนี้ ผมมีลูกสาวตัวน้อยวัย 8 ขวบแล้ว เลยทำให้ฉากที่มาพร้อมเพลง Slipping Through My Fingers นั้นเป็นฉากที่ทำให้ผมน้ำตาไหลทีเดียว มัน Touch ความรู้สึกของคนที่มีลูกอย่างมากเลยครับ ฉากนี้ดอนน่าช่วยโซฟีแต่งตัวก่อนจะเข้าสู่พิธีวิวาห์ แล้วนาทีนั้นเองดอนน่าก็ตระหนักว่า ลูกเธอโตแล้วนะ ลูกตัวน้อยที่เธอดูแลมาหลายปีกำลังจะโบยบินจากอ้อมอกเธอไปแล้ว… เวลาช่างผ่านไปเร็วยิ่งนัก…
ท่อนที่อินมากหน่อยคงเป็นท่อนที่ว่า เราเคยวางแผนจะทำอะไรกับลูกตั้งหลายอย่าง แต่ได้ทำจริงๆ เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น ท่อนนี้ Touch ความรู้สึกอย่างแรงจริงๆ ครับ มันเป็นเรื่องจริงนะ ผมเชื่อว่าพ่อแม่หลายคนวางแผนจะไปเที่ยวนั่น จะทำนี่ร่วมกับลูก แต่ไม่ว่าจะเพราะงานที่ต้องทำ เพราะภารกิจแทรกในรูปแบบต่างๆ ทำให้เราพลาดไป จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี จนสุดท้ายรู้ตัวอีกที เวลาก็ผ่านไปแล้ว ลูกโตแล้ว เขาอยากจะทำไปอย่างอื่นกับเพื่อนห้องของเขาแล้ว… ผมถือว่าเป็นฉากที่สะท้อนบางสิ่งให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ได้ตระหนักจริงๆ ครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Musicals, Romance