ไม่รู้ว่าแปลกไหมนะครับ แต่ผมโอเคกับ Ju ภาคนี้มากกว่าภาคก่อน อาจเพราะความคาดหวังที่ลดลง
อาจเพราะผู้กำกับเปลี่ยน จาก Steven Spielberg เป็น Joe Johnston (Honey, I Shrunk the Kids, The Rocketeer และ Jumanji) ซึ่งคอหนังก็รู้กันดีว่ารายนี้เขาถนัดทำหนังออกมาเน้นมันส์ ตื่นเต้น ส่วนสาระจะมีหรือไม่ก็ไม่ต้องคิดมาก ถ้ามีก็ถือเป็นกำไร แต่หากได้ความสนุกเพียวๆ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก
ภาคนี้ตัวอย่างอะไรต่างๆ ก็เหมือนจะประกาศตัวแต่แรกว่าเน้นแอ็กชัน ผจญภัย แบบเต็มสูบ
พอดีว่าเนื้อในมันก็ครบถ้วนในเรื่องความตื่นเต้น ตื่นตา ไม่ได้เน้นปรัชญาสาระอะไรมากมายด้วย คนดูส่วนมากเลยรับได้ เพราะรู้แต่แรกแล้วว่าจะเข้าไปดูอะไร และพอได้ดูก็ได้สิ่งเหล่านั้นแบบไม่ขาดไม่เกิน
Jurassic Park III พาคนดูกลับไปยังเกาะไอส์ลาซอร์น่าอีกครั้ง แต่ตัวเอกเปลี่ยนครับ ดร.อลัน แกรนท์ (Sam Neill) กลับมาอีกครั้ง โดยเขาได้รับการจ้างวานจากสองสามีภรรยา พอล และอแมนด้า เคอร์บี้ (William H. Macy และ Téa Leoni) ให้ช่วยเป็นไกด์พาพวกเขาไปยังไอส์ลาซอร์น่าสักครั้ง พร้อมค่าแรงอย่างงาม
พออลันรับปากเพราะคิดว่าสองคนนี้น่าจะแค่ร่อนดูอยู่ห่างๆ ไม่เข้าไปใกล้ แต่ที่ไหนได้ พวกเขาดันเอาเครื่องลงครับ ในที่สุดอลันก็ทราบความจริงว่า สองสามีภรรยาตระกูลเคอร์บี้นี้ ไม่ได้อยากมาเที่ยวหรอก แต่เขามาตามหาลูกชาย (Trevor Morgan) ที่หายตัวไปบนเกาะระหว่างมาล่องเรือที่แถบนี้
และแล้ว อลันก็ต้องมาหนีตายเพราะไดโนเสาร์อีกครั้งครับ พร้อมต้องเผชิญกับไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ที่ดุร้ายยิ่งกว่าทีเร็กซ์เสียอีก
อย่างที่บอกครับ หนังเน้นผจญภัยแบบเนื้อๆ ตื่นเต้นกันเต็มที่ และหนังก็ยาวแค่ 90 นาทีเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรให้ยืดเยื้อครับ เดินหน้าฉากนี้ต่อฉากนั้นไปเรื่อยๆ หนีจากไดโนตัวนี้ก็ไปเจออีกตัว จากทีเร็กซ์ก็ไปเจอสไปโนซอร์รัส (นี่แหละครับ ที่บอกว่าร้ายและใหญ่กว่าทีเร็กซ์) หนีจากไอ้นี่ก็ไปเจอแร็พเตอร์เจ้าเก่าอีก ครั้นวิ่งพ้นแล้วก็เจอกับเจ้าพวกมีปีกเทอราโนซอร์ (เจ้าตัวนี้แฟนๆ Ju อยากเห็นมานานครับ เพิ่งได้เห็นมันมีบทบาทเต็มๆ ก็ภาคนี้เอง ซึ่งว่ากันว่าจริงๆ เจ้าพันธุ์มีปีกนี่จะได้โผล่ตั้งแต่ภาคแรก แต่เนื่องด้วยเวลาไม่พอ เรื่องตรงนี้เลยถูกตัดออกไป) เรียกว่าหนีไดโนเจอะไดโนตลอด 90 นาทีล่ะครับ
ก็ไม่เลวนะครับ ผจญภัยเอามันส์ พวกฉากต่างๆ ก็ทำได้ดี อย่างตรงกรงนกที่เจอกับพวกเทอราโนดอน ที่มีหมอก มีอะไรก็ให้อารมณ์ตื่นเต้นได้ดี บรรยากาศป่าในภาคนี้ก็ดูทึมและลึกลับมากกว่าเดิม และที่ผมออกจะรู้สึกดีก็คือมิติตัวละครในภาคนี้ ผมว่าดูมีความลึกมากกว่าภาคสองเสียอีก อย่าง บท อลัน แกรนท์ของ Neill นี่ก็ดูคงเดิมครับ แต่เติมความเก๋าลงมาเยอะหน่อย และยังต่อยอดพัฒนาการทางอารมณ์ ที่สมัยก่อนพี่แกไม่ค่อยจะสนใจใครเท่าไร ก็เริ่มสนใจความรู้สึกและพยายามเข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น
ซึ่งอารมณ์ตัวนี้ก็สื่อผ่านเวลาเขาอยู่กับบิลลี่ แบรนเนน (Alessandro Nivola) ลูกศิษย์ที่ลงสนามมาร่วมผจญภัยกับเขาด้วย ไม่ว่าบิลลี่จะทำผิดหรือทำถูกอะไร แกรนท์ก็จะทำความเข้าใจครับ ไม่มามัวตัดสินทันทีหรือมองด้านเดียวแบบสมัยก่อนอีกแล้ว ซึ่งบทบิลลี่นี้ Nivola ก็แสดงได้ดีครับ เป็นคนหนุ่มที่ห้าว รั้น ใฝ่รู้ แต่ก็ไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายแต่อย่างใด โดยเฉพาะแววตาตอนเขาขโมยไข่แร็พเตอร์นั่น มันชัดเลยว่าเขาทำด้วยความใคร่รู้มากกว่าความโลภ
Macy กับ Leoni อาจจะดูน่ารำคาญหน่อยในตอนแรก แต่พอได้เจอลูก (Morgan) ได้อยู่ด้วยกันและช่วยเหลือกัน ความน่ารักก็ค่อยๆ ปรากฏครับ ผมล่ะชอบฉากที่ทั้งคู่หันหลังให้กันขณะเปลี่ยนเสื้อ ดูก็รู้สึกว่าสองคนนี้ยังมีใจที่ดีต่อกันและอยากจะได้โอกาสปรับใจเข้าหากันอีกสักครั้ง ซึ่งก็พอดีครับ การมาช่วยลูกให้พ้นจากไดโนเสาร์ครั้งนี้ก็คือโอกาสนั้นพอดี (แต่เป็นโอกาสที่เสี่ยงตายไปหน่อยเน้อะ )
นอกจากนี้ก็ยังมี Michael Jeter มารับบทเป็นมิสเตอร์อูโดสกี้ คนขับเครื่องบินที่ดูโหงวเฮ้งก็พอเดาได้แล้วล่ะว่าพี่แกจะรอดหรือไม่ รายนี้ก็แสดงได้โอเคตามที่บทกำหนดครับ และอีกคนหนึ่งที่มารับเชิญก็คือ Laura Dern ในบท ดร.เอลลี่ แซทเลอร์ ที่หนังได้เล่าว่าในที่สุดเธอก็ไปแต่งงานมีครอบครัวกับคนอื่นเรียบร้อย
ครับ แม้เวลาของหนังจะแค่ชั่วโมงครึ่ง แต่ผมว่าเรื่องมิติ ความลึก พัฒนาการตัวละครเนี่ย ภาคนี้ได้อะไรเยอะกว่าภาคก่อนนะ ดูแล้วรู้สึกผูกพันและเห็นใจตัวละครแต่ละคนมากอยู่เหมือนกัน เวลาต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายสารพัดที่ถาโถมเข้ามา
ดนตรีก็ได้ Don Davis มาบรรเลงให้ครับ โดยเอาธีมเดิมของ John Williams มาแปลงอารมณ์ใหม่ให้พริ้วขึ้น และให้อารมณ์ผจญภัยขึ้น งาน Effect ก็ดีครับ ที่ผมชอบเยอะหน่อยคือภาพป่า ภาพแต่ละฉากที่พวกตัวเอกต้องเจอกับไดโน ผมว่ามันให้อารมณ์ทึมทะมึนถึงใจที่สุดในบรรดาสามภาคที่ผ่านมา ซึ่งคงเพราะวิทยาการเทคนิคด้านภาพที่ก้าวไกลด้วยล่ะครับ จึงสร้างภาพ กำหนดแสงอะไรต่างๆ ให้ออกมาลงตัวกว่าภาคก่อนๆ
Johnston ก็ทำหน้าที่ได้ดีล่ะครับ คุมหนังได้อยู่ ตื่นเต้นครบรส ตัวละครก็ไม่ได้แบนราบ สรุปว่า ดูภาคนี้โดยไม่ต้องคิดมากครับ พอๆ กับภาคสองน่ะแหละ ดูเอาเพลิน เสพความตื่นเต้นไปตามเรื่อง ดูคนวิ่งหนีไดโนเสาร์กันไป ซึ่งอย่างน้อยหนังก็ลงตัวล่ะครับ มีลูกเล่นให้ตื่นเต้นมากกว่าหนังเกรดบีแนวเดียวกันนี้ตั้งเยอะ แค่ทำใจกับความเว่อร์บางอย่างของหนังสักหน่อย (อย่างการสื่อภาษากับแร็พเตอร์เนี่ย แหม ทำไปได้)
อีกอย่างที่ผมแอบสนุกไปด้วยก็คือบทพูด บทสนทนาในหนังครับ ที่แม้จะไม่ได้คม แต่ก็แฝงอารมณ์ขัน แฝงอะไรให้คิดอย่างตอนพอลคุยกับอูโดสกี้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาประกอบอาชีพอะไรกัน หรือคำเจ็บๆ ที่อลันพูดอย่าง “คุณจะเดินหาลูกกันเอง หรือตามผมเดินตรงไปที่ฝั่ง จะเลือกทางไหนก็เลือกเอา เพราะถึงยังไงคุณก็ไม่รอดออกไปจากเกาะนี้ได้หรอก” ก็มาจากลีลาการเขียนบทของ Alexander Payne เจ้าของงานหนังที่มีเนื้อหาเจ็บๆ อย่าง Election, About Schmidt และ Sideways นั่นเอง
หนีไดโนให้สนุกนะครับ
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Monster Movies, Sci-Fi