ครับ หลังจากการฟ้องร้องระหว่างผู้สร้างกับครอบครัวลัทซ์ในภาคก่อน ทำให้ครอบครัวลัทซ์ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับทีมงานอีกต่อไป ขณะเดียวกันทีมงานเองก็เข็ดแล้วครับกับการเอาเรื่องเล่าเรื่องจริงในตำนานอมิตี้วิลล์มาสร้าง เพราะหากเอาเรื่องจริงของใครมาสร้างก็เหมือนมีเจ้ากรรมนายเวรครับ คนเล่านั่นก็จะใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของเรื่องมาสร้างปัญหาได้ (ดังเช่นกรณีของครอบครัวลัทซ์)
ดังนั้นตั้งแต่ภาคนี้เป็นต้นไป เรื่องราวที่จะเกิดกับบ้านผีสิงแห่งอมิตี้วิลล์ก็จะมาจากเรื่องแต่งทั้งสิ้น ไม่มีอิงเรื่องจริงอะไรอีกแล้วครับ สิทธิ์ขาดอะไรต่างๆ จะได้อยู่กับทีมงาน ไม่ต้องไปพะวงอีก
Amityville 3-D จึงกลายมาเป็นตอนแรกของหนังชุดบ้านผีสิงแห่งอมิตี้วิลล์ ที่มีเนื้อหาแบบแต่งขึ้นมาเองครับ ใส่จินตนาการตามความต้องการของคนทำเลย ซึ่งคนเขียนบทก็คือ David Ambrose นักเขียนชาวอังกฤษเจ้าของงานภาพยนตร์อย่าง The Fifth Musketeer และนิยายแนวสยองอีกหลายเรื่อง (แต่ก็ไม่ได้ดังเต็มสักเท่าไร) แล้วก็ไม่ต้องแปลกใจครับที่ในหนังจะใส่ชื่อคนเขียนบทว่าเป็น William Wales นั่นคือนามปากกาเฉพาะกิจของเขาน่ะครับ เฉพาะกิจกับเรื่องนี้เรื่องเดียวซะด้วย จนมีคนร่ำๆ ลือๆ ในภายหลังว่า สงสัยเขาจะไม่ค่อยพอใจกับผลงานเท่าไร
ส่วนคนกำกับก็ไม่ใช่ธรรมดานะครับ ได้แก่ Richard Fleischer ผู้กำกับมือเก่าที่เคยทำงานดีๆ อย่าง 20000 Leagues Under the Sea, Fantastic Voyage และ Tora! Tora! Tora!… แต่พอมาเรื่องนี้ก็ทำให้เขาเสียรังวัดไปพอตัวครับ
หนังเล่าถึงคนกลุ่มใหม่ที่เดินทางเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 112 โอเชียน อเวนิว… ใช่ครับ บ้านหลังสยองแห่งอมิตี้วิลล์นั่นแหละ แล้วก็ต้องพบเจอกับเรื่องสยองมากมาย จนพวกเขาต้องเชิญคนมาช่วยตรวจสอบว่าบ้านหลังนี้มีอะไรสิงสถิตย์อยู่ และพวกมันต้องการอะไร…
ครับ เนื้อเรื่องหลักๆ ก็มีเพียงเท่านี้แหละครับ ง่ายๆ อย่างนั้นเลย ถ้าถามว่าน่ากลัวไหม ตื่นเต้นหรือไม่ ก็ขอบอกว่าเป็นในปริมาณที่น้อยมากครับ ไม่มีอะไรเท่าไร ออกแนวน่าเบื่อมากกว่า สองภาคก่อนยังเข้าท่ากว่าเลยล่ะครับ ความสยองของบ้านจะว่าไปก็ไม่ถึงกับเยอะนะ ไปๆ มาๆ ภาคนี้จะออกแนวเหมือน The Omen น่ะครับ ว่าด้วยลางมรณะของใครก็ตามที่เข้าไปยุ่งกับบ้านหลังนี้ ซึ่งลางก็จะปรากฏในรูปของรูปถ่ายเป็นต้นน่ะครับ (เหมือน The Omen จริงๆ) จากนั้นก็ค่อยตายทีละคนตามลางมรณะนั้น… แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนะครับ The Omen น่ะเหนือชั้นกว่ากันเยอะทีเดียว
จริงๆ ก็เข้าใจครับว่าภาคนี้ไม่ได้หวังจะเน้นเนื้อหาอะไรหรอก เพราะจุดขายจริงๆ ก็คือ 3D ครับ ทำออกมาเป็นหนังสามมิติ (นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมของต่างๆ จึงมีมุมแบบออกมาทิ่มกล้องอยู่ตลอด) ดังนั้นพอดูแบบไม่สามมิติแล้ว อะไรๆ มันเลยออกแนวธรรมดาซะล่ะมากกว่า
ครับ โดยรวมๆ ก็คือไม่ได้น่ากลัวหรือน่าดูเป็นพิเศษ ออกแนวธรรมดาค่อนไปทางเฉยๆ ด้วยน่ะครับ แล้วมุกที่ทำให้คนดูกลัวหรือตกใจบางมุกก็สมัญซะจนไม่ตกใจไปเลย อย่างเรื่องของบ่อน้ำปริศนาใต้บ้านน่ะครับ มีอยู่ฉากหนึ่งที่ตัวเอกไปยืนจ้องตรงปากบ่อน้ำ ซึ่งเราๆ ท่านๆ ก็เดาว่ามันน่าจะมีตัวอะไรออกมาแฮ่อยู่แล้วล่ะ ตามสูตร แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ แทนที่จะรีบแฮ่ให้ตกใจ ดันจ้องนานมากจนคนดูตั้งตัวได้แล้วน่ะครับ แล้วค่อยออกมาแฮ่ (ซึ่งก็ไม่ได้แฮ่แบบน่ากลัวเท่าไรด้วย) ผมก็นั่งเหวอเลย… แอบฮาด้วย ผีมันลืมคิวหรือเปล่า ถึงให้รอตั้งนานขนาดนี้ อิอิ ผีผิดคิว
สิ่งที่น่าดูจริงๆ คือช่วงท้ายครับ ตอนที่บ้านออกฤทธิ์แบบเต็มขั้น ตอนนั้นค่อยโอเคหน่อย แต่ก็น้อยครับ เมื่อเทียบกับหนังทั้งเรื่องที่อืดๆ มาตลอด สรุปก็คือเป็นภาคที่ธรรมดาครับ ไม่แปลกใจที่หนังจะไปไม่ได้ไกล
อ้อ แต่ก็มีอะไรให้พูดถึงนิดหน่อยครับ นี่คือการแสดงหนังใหญ่เรื่องที่สองของดาราสาวที่ยุคนั้นยังไม่ดัง (ส่วนตอนนี้ก็เริ่มจะไม่ดังอีกแล้ว) Meg Ryan ครับ มาเป็นลิซ่า เพื่อนของซูซาน แบ็กซ์เตอร์ (Lori Loughlin) ลูกสาวเจ้าของบ้านอมิตี้วิลล์คนใหม่
เกร็ดแถมท้ายนิดๆ นะครับ ว่าตัวเอกของเรื่องที่ชื่อ จอห์น แบ็กซ์เตอร์ (Tony Roberts) ว่ากันว่าอิงคาแรคเตอร์มาจาก Stephen Kaplan ซึ่งเขามีตัวตนจริงๆ นะครับ และยังมีบทบาทเกี่ยวข้องกับบ้านอมิตี้วิลล์ด้วย นั่นคือ เขาพยายามหาความจริงและพิสูจน์ว่า เรื่องผีที่อมิตี้วิลล์นั้นไม่ใช่เรื่องจริง และเรื่องที่ครอบครัวลัทซ์เล่านั้นเป็นเพียงเรื่องลมปากเท่านั้น…
โดยสรุปนะครับ เฉยๆ ไม่ดูก็ได้ครับ อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่านี่คือตอนแรกที่หนังอมิตี้วิลล์เริ่มออกทะเลไปไกลเรื่อยๆ จนทำให้ตอนต่อๆ มาหนังโดนจับทำลงวีดีโอหมด
ดาวเดียวพอ
(4/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror