รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Wind River (2017) ล่าเดือด เลือดเย็น

24799430_1852898891407570_1287534600251796030_o

ดูหนังเรื่องนี้แล้วเกิดอารมณ์หดหู่ทับซ้อนกันหลายชั้น ชั้นแรกก็คือรอบฉายน้อยมาก จนเป็นไปได้ว่านาทีที่ผมเขียนเสร็จนี่หนังน่าจะหายไปจากโรง หรือไม่ก็เกือบๆ หายไปเต็มที (การได้ดูขณะที่ยังฉายโรงนี่ ถือว่ามีบุญในระดับหนึ่งทีเดียวครับ)

ความหดหู่ชั้นสองคือตัวหนังครับ หนังทำได้เย็นยะเยือก เนื้อเรื่องก็กดดัน มันสะท้อนความจริงอันน่าเศร้าของชนพื้นเมืองชาวอินเดียนแดงที่แม้จะเป็นผู้อยู่ในแผ่นดินอเมริกามาแต่เดิม แต่พวกเขากลับถูกขับไล่ กวาดล้าง ทำประหนึ่งเป็นผลเมืองชั้นสอง (หรือต่ำกว่านั้น)

หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังดูสนุกครับ บอกได้เลย มันคือหนังดราม่าทริลเลอร์ที่กดดัน ท่ามกลางบรรยากาศหนาวเหน็บของหิมะ และสะท้อนถึงความตกต่ำของ “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” ที่ชวนให้นึกถึงคลิปคนบนท้องถนนที่ดูจะมีเรื่องกันได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อนจนน่าตกใจ

คอรี่ย์ แลมเบิร์ต (Jeremy Renner) นายพรานมือฉมังที่ได้พบศพของหญิงสาวชาวอินเดียนแดงคนหนึ่ง ตายอยู่กลางหิมะ และไม่นานจากนั้นเอฟบีไอก็ส่งเจ้าหน้าที่ เจน แบนเนอร์ (Elizabeth Olsen) มาทำคดีนี้

พล็อตจริงๆ ไม่มีอะไรมากครับ มันคือการสืบว่าใครเป็นคนลงมือทำร้ายหญิงสาวคนนี้ และมูลเหตุจูงใจของคนลงมือคืออะไร ซึ่งหนังไม่ได้มาในแนวไขปริศนาหาฆาตกรแบบหนังสืบสวนทั่วๆ ไปครับ เพราะตอนเฉลยฆาตกรนั้นก็เฉลยแบบตรงๆ ไม่ได้เก็บฆาตกรไว้เผยตัวตอนสุดท้ายแต่อย่างใด

จุดสำคัญที่หนังเน้น ไม่ใช่การสืบ แต่จะไปเน้นปูมหลังของตัวละครอย่างคอรี่ย์ ที่ดูก็รู้ว่าเขาต้องมีอดีตอันเจ็บปวดอย่างแน่นอน แล้วก็มาเน้นคาแรคเตอร์ของเจนที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่อาจจะไม่เก่งกาจอะไร แต่เธอก็ตั้งใจทำหน้าที่แบบเต็มร้อย

บอกได้เลยครับว่าใครชอบหนังสืบสวนเร้าระทึกล่ะก็ หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แนวของท่านแน่นอน เพราะมันคือหนังที่เน้นดราม่า เน้นการปูอารมณ์ (ให้เราสะท้านสะเทือนไปกับเรื่องราว) และมันจะเน้นเรื่องคาแรคเตอร์กับปฏิสัมพันธ์ของตัวละครมากกว่าครับ

24799430_1852898891407570_30_o

เห็นหน้านักแสดงแล้วเราๆ ท่านๆ อาจจะแอบฮา เพราะมันคือฮอว์คอายมาประกบกับสการ์เล็ท วิทช์ชัดๆ (555) แต่หากว่ากันในแง่การแสดงแล้ว ทั้งสองเล่นได้ดีมากครับ Renner ดูยอดมากๆ ในบทพรานมือดี ดูแล้วไม่รู้สึกว่าพี่แกเป็นฮอว์คอาย แต่จะชวนให้นึกถึงตอนเป็นแอรอน ครอส มากกว่า

คาแรคเตอร์ของคอรี่ย์นั้นเป็นพรานที่ช่างสังเกต และเจนสนามมากจนอ่านเกมต่างๆ ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ใช่คนที่อวดดื้อถือดี ในแต่ละช่วงเวลาเขาเจียมตนและรู้ขอบเขตของตนเสมอ อย่างในแง่ของคดีแล้ว จริงๆ เขาอ่านอะไรออกหลายอย่างครับ แต่เขาพยายามเงียบไว้ ปล่อยให้เจ้าหน้าที่อย่างเจนเดินหน้าสืบเอา แต่หากอันไหนมันจำเป็นจริงๆ เขาก็จะช่วยชี้ทางให้

ส่วนเจนก็เป็นเจ้าหน้าที่ประเภทที่ทำงานดี ทำงานตั้งใจ แม้ประสบการณ์เธอจะไม่เยอะจนช่ำชองเรื่องต่างๆ แต่ถ้าพูดถึงความพยายามแล้วก็ต้องยกนิ้วให้ ซึ่งบทของคอรี่ย์และเจนก็เสริมกันอยู่ในทีครับ ทั้งในแง่คาแรคเตอร์และการแสดง ถือว่าเป็นพลังสำคัญที่ดึงผู้ชมให้ติดตามหนังไปจนจบได้

โทนหนังมันยะเยือกมากๆ ครับ ไม่ใช่แค่เพราะมันล้อมไปด้วยหิมะเท่านั้น แต่ด้วยการนำเสนอที่ไม่เร่งรีบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่น่าเบื่อ ซึ่งก็ต้องถือว่าพอเหมาะทีเดียวครับ ไหนจะดนตรีของ Nick Cave และ Warren Ellis ที่เสริมอารมณ์ยะเยือกของหนังได้อย่างยอดเยี่ยม (บางจังหวะนี่ดนตรีมายังกับหนังผีน่ะครับ)

ดาราดี เดินเรื่องดี ดนตรีดี แล้วที่ลืมไม่ได้คือบทครับ บทถือว่าดีแบบกำลังเหมาะ ซึ่งก็ต้องขยายความคำว่าดีตรงนี้สักหน่อยว่าบทนั้นมันไม่ได้ซับซ้อนชวนอึ้งอะไรหรอกครับ มันเดินเรื่องไปตามจังหวะ เปิดปม ตามปม คลายปม แต่ละช่วงเป็นไปอย่างหนักแน่น

เหตุการณ์ที่เกิดในเรื่องนั้น เอาเข้าจริงเราอาจเล่าจบได้ด้วยตัวอักษรไม่กี่บรรทัด แต่การใส่ใจในรายละเอียด การนำเสนอแบบละเลียดเรื่องราวไปเรื่อยๆ ประหนึ่งอ่านนิยาย และบทสรุปที่ถือว่าสาแก่ใจผู้ชม ทั้งหมดนี้ทำให้หนังเรื่องนี้มีดีควรค่าแก่การดู

หนังเขียนบทและกำกับโดย Taylor Sheridan ครับ ซึ่งเขาก็เป็นดาราสมทบให้กับหนังและซีรีส์หลายๆ เรื่อง แล้วยังเคยกำกับหนังมาหนหนึ่งเมื่อปี 2011 แต่ตอนนั้นผลงานยังไม่เด่น แล้วเขาก็มาแจ้งเกิดแบบจริงๆ จังๆ ในฐานะมือเขียนบทครับ

เขาแจ้งเกิดดอกแรกด้วย Sicario ต่อด้วย Hell or High Water ที่ทำให้เขาได้ชิงออสการ์ แล้วก็มาเรื่องนี้ครับที่เขาเขียนบทและกำกับเอง ผลที่ได้ก็ถือว่าเวิร์กทีเดียว แน่นอนว่ามันอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบไปเสียทั้งหมด แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเลยล่ะครับ

ประเด็นสำคัญที่หนังนำมาเล่นตลอดเรื่องคือการสื่อให้เห็นถึงการแบ่งแยกเหยียดหยันกันของคนในแผ่นดินอเมริกันครับ แม้แผ่นดินนี้จะชอบยกเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคมาพูดกันบ่อยๆ แต่เอาเข้าจริงบ้านเขาเมืองเขาน่ะก็มีการแบ่งแยกและรอยแยกระหว่างกันไม่น้อย

อย่างเรื่องชาติพันธุ์นี่ชัดเจนครับ เหยียดกันเรื่อยๆ ไม่ว่าจะนิโกร เอเชีย หรือคนอินเดียนแดง จนคนอินเดียนก็ไม่ไว้ใจคนขาว ส่วนคนขาวเองก็มีอคติกับคนอินเดียน มันเลยกลายเป็นแผลที่ปริไปเรื่อยๆ ไม่มีทางหยุดสักที และพอเกิดเรื่องอะไรหนักๆ ขึ้นมา จากแผลที่ปริมันก็พร้อมจะแตกออกมาจนถึงขั้น “เลือดแดงฉาน” ได้ทุกเมื่อ

24dde5ffa703334dd9e494fe76a9856c

แล้วมันก็คาบเกี่ยวกับเรื่องการทำงานน่ะครับ การแบ่งเขตรับผิดชอบนั่นนี่ ซึ่งไปๆ มาๆ มันกลายเป็นอุปสรรคในการทำงานอย่างมาก ซึ่งประเด็นนี้ผมว่ามันสะท้อนเรื่องสากลได้เลยนะ เพราะเอาเข้าจริงไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม คนเราที่ทำงานต่างแผนก-ต่างภาคส่วน ก็สามารถเอาระเบียบปฏิบัติของสังกัดตน มาสร้างความง่ายให้การทำงานก็ได้ หรือจะเอามาทำให้มันยากขึ้น เอามาเป็นอุปสรรคขวางการทำงานของคนอื่นๆ ก็ได้เช่นกัน

นึกแล้วก็อดขำไม่ได้ครับ มนุษย์เราจริงๆ มีความสามารถในการแบ่งหมดแยกประเภท เพื่อให้เราแยกแยะอะไรได้ง่ายขึ้น หรือหากเป็นในแง่การทำงานแล้ว การแบ่งหน้าที่ แบ่งเขต แบ่งความรับผิดชอบ มันก็เพื่อย่อยงานให้ทำงานได้ง่ายและน่าจะไวขึ้น แต่คนเราก็อุตส่าห์เอาอารมณ์หรือไม่ก็อคติมาผสมรวม จนทำให้การแยกแยะที่ควรจะมีประโยชน์ กลายเป็นอุปสรรคที่น่าปวดหัวไปซะงั้น

ถ้าให้มองเรื่องนี้แบบประชดซะหน่อย ผมก็ว่าคนเรานี่ก็ครบเครื่องดีนะครับ มีบทบาทจะเป็นผู้สร้างและผู้ทำลายได้ทั้งนั้น…

นอกจากนี้หนังยังมีคำคมดีๆ แทรกให้เราเก็บเอาไปคิดตลอด อย่างเช่น “หมาป่าไม่ได้ฆ่าแกะโชคร้าย แต่มันฆ่าแกะที่อ่อนแอ” ก็สะท้อนความจริงของโลกได้ตรงไปตรงมาดีครับ เพราะทุกวันนี้ เหมือนว่าเราจะต้องแกร่งพอ สตรองพอ ไม่งั้นยากจะรับมือกับหลายๆ อุปสรรคและปัญหาที่ทวีความร้ายและซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ

ผมชอบตอนที่ตัวละครหนึ่งถามคอรี่ย์ว่า “เคยโกรธจนอยากสู้กับคนทั้งโลกไหม?” คอรี่ย์ก็ตอบว่า “ฉันเลือกจะสู้กับความรู้สึกตัวเอง เพราะรู้ว่าสู้กับคนทั้งโลกไป ยังไงก็ไม่ชนะ” มันเป็นคำตอบที่เปี่ยมวุฒิภาวะมากๆ และสะท้อนให้เห็นครับว่าคอรี่ย์เข้าใจโลกมากแค่ไหน

เลือกที่จะชนะตัวเองให้ได้… มันง่ายกว่าจะไปชนะโลกที่แสนวุ่นวาย

ฉากตอนไคลแม็กซ์นั่นก็ไม่ทันตั้งตัวเหมือนกันนะ โดยส่วนตัวผมว่าฉากที่ว่ามันสะท้อนถึงสิ่งที่เราชักจะเห็นกันบ่อยมากขึ้นในโลกครับ ว่าคนบางกลุ่มนั้นทำสิ่งเลวร้ายได้ง่ายมาก แหกกฎกติกาได้โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองผิด (ซ้ำยังหาเหตุผลมารองรับเสร็จสรรพด้วย) ซึ่งผมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นครับ มันน่ากลัวมากเลยล่ะ

ส่วนตอนจบ ก็จบในแบบที่เหมาะดีครับ ผมชอบฉากที่คอรี่ย์ถอดหมวกของตนเพื่อแสดงความเคารพต่อหน้ารูปภาพของหญิงสาวที่ตายไป ฉากนั้นน้ำตามันไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันสะเทือนใจน่ะครับ เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ

ประโยคปิดท้ายที่ว่า “มีการเก็บสถิติหญิงของชนชาติต่างๆ ที่หายไป แต่ไม่มีการเก็บสถิติของผู้หญิงอินเดียนแดง” เจอประโยคนี้เข้าไปก็น้ำตาไหลอีกเหมือนกันครับ มันเป็นเรื่องที่อัปยศเหลือจะเอ่ยจริงๆ… เราจะปล่อยให้มนุษยชาติเป็นแบบนี้จริงๆ หรือ?

สรุปนะครับ หนังทำออกมาเข้ม ถูกจริตผม แต่มันก็อาจจะไม่ได้ถูกปากใครต่อใครไปเสียทั้งหมด เพราะมันไม่ได้บู๊หวือหวา และไม่ได้สืบแบบสูตรทั่วๆ ไป แต่หากใครชอบหนังดราม่าทริลเลอร์ดีๆ แล้ว เรื่องนี้ควรชมอย่างยิ่งครับ

สามดาวครับ

Star31

(8/10)