Hard Target คืองานกำกับชิ้นแรกของ John Woo หลังได้รับเทียบเชิญให้ไปทำหนังฮอลลีวู้ด
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อนาตาชา บินเดอร์ (Yancy Butler) สาวสวยได้ออกเดินทางตามหาพ่อที่หายไป ระหว่างการตามหาเธอก็ได้เจอกับ แชนซ์ บูโดรซ์ (Jean-Claude Van Damme) หนุ่มล่ำสุดแกร่ง พิษสงรอบตัวที่อาสาปกป้องเธอให้พ้นจากเงื้อมมืออันธพาลทั้งหลาย พร้อมทั้งช่วยตามหาพ่อด้วย
เงื่อนงำทั้งหลายมาสุดอยู่ที่กลุ่มนักฆ่าจอมอำมหิต นำโดยอีมิล ฟูซอน (Lance Henriksen) และมือขวาที่อำมหิตกว่าของมัน พิค แวน คลีฟ (Arnold Vosloo) ที่ดูเหมือนจะอยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อนาตาชา รวมไปถึงคนจรจัดอีกมากมาย
พอพวกฟูซอนรู้ว่าแชนซ์รู้มากเกินไป การไล่ล่าฆ่าสนั่นเมืองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงครับ แต่หารู้ไม่เล่นกับใครไม่เล่น แชนซ์นี่ระดับพระกาฬพร้อมแรงมาแรงไป อันนำมาสู่ฉากแอ็กชันมันส์สะใจแบบต่อเนื่องสไตล์ Woo
อืมม์… ท่านต้องการเห็นอะไรจากหนัง John Woo แกมั่งครับ พวกลีลาแอ็กชันสารพัดที่พี่แกช่างคิดได้เนี่ย Woo ไม่รอช้าเอายัดใส่ในหนังแบบเรียบวุธ จะเอาถือปืนสองมือก็มีให้ เอามุมกล้องแบบมองสะท้อนกระจกก็มีพร้อม หรือจะเอาหันหลังชนกันก่อนหันมายิง, นกพิราบ, ภาพสโลว์โมชั่น, สไลด์ตัวยิงหรือฉากประเภทอีกคนกระสุนหมดเลยต้องให้อีกตัวละครหนึ่งโยนปืนมาใส่มือ
กะเอาให้สะใจกันไปเลยนะเนี่ย
ตอนดูรอบแรกนี่ถึงแก่ความมันส์ครับ หนังบ้าอะไรเปลืองกระสุนชิบเผง เอะอะยิงไล่ล่าฆ่าแหลก ข้าวของในเมืองระเนระนาดหมด แต่ผมชอบนะ คือพวกสไตล์ลีลาแอ็กชันนี่ John Woo มาเต็มๆ และมีกระหน่ำแบบตลอดด้วยในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายนี่เหนื่อยกันไปเลยล่ะครับ
ถ้าถามว่าสะใจไหมก็ตอบได้เลยว่ามันส์สะใจ แต่สมกับความเป็น John Woo หรือไม่ ก็บอกได้ทันทีว่ายัง
ที่บอกว่าเยอะว่าแยะน่ะคือลีลาแอ็กชันที่ครบสูตร John Woo แต่ในส่วนเรื่องความสร้างสรรค์และมิตรภาพลูกผู้ชายสไตล์ โหด เลว ดี (A Better Tomorrow) หรือใน The Killer ต้องบอกว่าบางเบาจนแทบไม่มีให้สัมผัสเลยแม้แต่น้อย
ผมเชื่อว่าคนที่สนุกกับหนัง John Woo ต้องประทับใจกับอะไรที่มากกว่าการสาดกระสุน จริงครับที่ฉากแอ็กชันพี่แกคิดได้เหนือชั้น จุดที่ผมประทับใจอย่างแรงในหนังของพี่แกต้องยกให้ฉากหนึ่งในหนัง โหด เลว ดี ฉากที่พระเอกโจวเหวินฟะ เอาปืนไปหย่อนตามกระถางต้นไม้ คนดูก็พลอยสงสัยว่ามันจะหย่อนไว้ทำไม แต่พอถึงฉากยิงกันเท่านั้นแหละบางอ้อมาทันที!
ในใจแทบตะโกนออกไป คนทำคิดได้ไงฟะ!
หนังพี่ Woo เลยออกจะน่าจดจำมากในการสร้างสรรค์ฉากบู๊ที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ละเรื่องก็มีมุมใหม่ๆ มาให้คนดูได้เกิดความตื่นตา ส่วนในเรื่องนี้ผมก็สะใจนะ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็เหมือนเหล้าจีนใส่ขวดวิสกี้ ภายนอกดูใหม่แต่คนเคยกินเหล้าข้างในลิ้นมันรู้รสไปนานแล้ว
แม้จะอร่อยแต่ความตื่นเต้นเหมือนตอนลองของใหม่ๆ ย่อมไม่ปรากฏ
ดังนั้นโปรดสังเกต ข้างต้นผมบอกว่าสะใจ… แต่ไม่ถึงขั้นประทับใจ
ส่วนเรื่องมิตรภาพดีๆที่หนัง John Woo ชอบแทรกก็แทบไม่เจอเลยครับ อาจจะมีแค่ผิวๆ คือมิตรภาพระหว่างแชนซ์ กับคุณลุงดูวี่ (Wilford Brimley) ที่ร่วมกันรบในตอนท้าย แต่ก็เหมือนโผล่มาแบบให้พระเอกมีคนช่วยมากกว่า ไม่ได้รู้สึกว่าสองคนนี้จะผูกพันกันนัก
แต่ที่ออกจะเสียดายคือพระเอกนางเอก เจอกันแบบสูตรมากๆ แล้วจู่ๆ พระเอกก็อยากช่วยมาดื้อๆ ไม่มีปี่ขลุ่ยอีเลคโทนฉาบอะไรทั้งสิ้น
ถ้าเป็นหนัง Woo ตอนอยู่ฮ่องกง การกระทำของแชนซ์ต้องมีอะไรที่ลึกกว่านี้ อาจจะด้วยความเห็นใจหรือความสงสารอะไรก็ว่าไป แต่ดูเรื่องนี้จนจบยังหาคำตอบไม่เจอว่าพระเอกจะช่วยนางเอกขนาดเสี่ยงตายเอาตัวไปเฉียดกระสุนทำไม
คิดง่ายๆ คือ พระเอกนี่ครับ ยังไงก็ต้องปกป้องนางเอกของธรรมดา
ด้วยความง่ายทั้งหลายเหล่านี้หนัง John Woo เรื่องนี้เลยตอบสนองเต็มที่ในด้านความมันส์ คนอยากดูฉากบู๊สะใจเชื่อว่าไม่ผิดหวัง แต่ถ้าหวังอะไรลึกซึ้ง มีที่มาที่ไปคงจะต้องทำใจไว้ล่วงหน้า
ทีนี้พอดู HT จบก็อดคิดไม่ได้ว่า Woo แกแฝงอะไรไว้กับการทำหนังเรื่องนี้หรือเปล่า
ที่แน่นอนประการหนึ่งคือหนังออกจะมีการจิกกัดก่นด่าอเมริกาแบบไม่อ้อมค้อม เริ่มตั้งแต่กลุ่มนักฆ่าของฟูชอนที่ออกก่อการโฉด ฆ่าคนเป็นผักปลา ทำอะไรก็ได้ราวกับบ้านเมืองไร้ขื่อแป
… บ้านเมืองที่ว่าชื่อ อเมริกา แน่นอน
ประการต่อมา ให้ดูที่ฉากเปิด เมื่อตัวละครหนึ่งถูกไล่ฆ่า ก็เลยวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมา แต่ไม่มีใครสนใจแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งตัวละครนั้นหมดหวังยอมโดนยิงตายคาที่… ต่อหน้าประชาชีนับสิบคนที่ไม่แยแสอะไรเลย
ยังไม่รวมตอนกลางเรื่องที่ผู้พิทักษ์กฎหมายปกป้องประชาชนไม่ได้ จนประชาชนต้องลุกมาปกป้องตนเอง
พล็อตพวกนี้ดูเผินๆ เหมือนง่าย หรือไม่ก็เขียนมาอย่างเลินเล่อ แต่บอกตามตรงครับ มันเชื่อยากว่าจะเขียนแบบเลินเล่อ ในเมื่อประเด็นทุกอย่างมันพุ่งเป้าวิจารณ์เมืองลุงแซมชัดๆ
แต่จะเป็นตามนั้นหรือไม่ลองคิดกันเล่นๆ แล้วกัน ผมไม่ใช่ John Woo ตอบไม่ได้ครับ
ส่วนตัวหนังนั้น มันส์ครับเอามันส์อย่างเดียว แต่ยอมรับเลยว่าแม้ลีลาบู๊แบบ Woo จะเดิมๆ แต่ก็ยังดูขลังดี เสียนิดหน่อยตรงที่คนแสดงกลับเป็น Van Damme เพราะรายนี้บู๊ออกมหมัดออกมวยยังพอเชื่อ แต่ถือปืนสองมือนี่ดูแล้วคิดหนัก เพราะหาความเท่ห์ไม่เจอ!
ในตอนแรกได้ข่าวว่า Kurt Russell จะได้เป็นพระเอกแทน แต่ไปๆ มาๆ เวลาไม่ลงล็อค พี่แกก็ไม่สนใจเต็มร้อย สุดท้ายเลยมาลงเอยที่ Van Damme ที่ยังพอฮ็อต อยู่ในตอนนั้น
เอาเถอะ ยังไงก็โอเค แม้ลีลาบางอย่างจะไม่เข้ากับพี่แกก็เถอะ
ส่วนนางเอก Yancy Butler สาวเจ้าคนนี้สวยนะครับ คมดีดูทะมัดทะแมงด้วย ผมก็เชียร์ให้ดังอยู่เหมือนกันสมัยก่อนน่ะ แต่มาถึงตอนนี้คงไม่ต้องบอกแล้วนะครับว่าเธอดังหรือไม่ ผลงานหนังจอเงินที่พอดังของเธอก็มี Drop Zone ที่เล่นคู่กับ Wesley Snipes แต่คอหนังซีรี่ส์บ้านเราอาจจะจำเธอได้เพราะเธอแสดงนำใน Witchblade ซีรี่ส์แอ็กชันเหนือธรรมชาติที่เคยฉายทางช่อง 7 เมื่อหลายสิบปีก่อน
แต่ที่คัดมาได้เหมาะเหม็งกำลังดีคือตัวร้ายสองหน่อ รายแรก Henriksen กับบทฟูชอน หน้าตาพีแกดูเหมาะจะเป็นหัวหน้าเขาครับ ซ้ำยังโหดเหี้ยม หน้าตาเย็นชาดี ไม่น่าไว้ใจอย่างแรง ผลงานหนังเด่นๆ ที่ผ่านมาคงต้องยกให้ Aliens กับบทหุ่นยนต์บิชอปที่ริปลี่ย์ไม่ไว้ใจอีกเหมือนกัน
Vosloo เจ้าของบทอิมโฮเทปใน The Muumy ทั้งสองภาค ในเรื่องนี้ก็พกหน้าโรคจิตมาเต็มเหนี่ยว ตอนพี่แกพะบู๊กับ Van Damme ถือว่าพอสูสี ดูเป็นตัวร้ายที่มีระดับไม่ใช่ย่อย ว่ากันว่าชื่อตัวละครที่เขารับ ซึ่งก็คือแวน คลีฟ นั้นขอยืมมากจากดาราลายคราม Lee Van Cleef ที่เคยเล่นบทจอมซาดิสต์ในหนังคาวบอยระดับตำนาน The Good, The Bad and The Ugly
พอพูดถึงตรงนี้ จะมองว่าลีลาเรื่อง Hard Target จะทำออกมาในสไตล์คล้ายหนังคาวบอยก็ได้อีกเหมือนกัน
ครับ สำหรับคอแอ็กชันก็น่าจะพอใจกันไป มันบู๊กับแหลกราญจริงๆ สาระประเด็นอื่นๆ ไม่ต้องสนใจครับเอามันส์ได้ก็น่าจะพอ แต่ถ้าอยากดูครบเครื่องเรื่องแบบ John Woo ล่ะแนะนำให้ไปหา A Better Tomorrow, The Killer, Bullet in the Head และ Hard Boiled มาน่ะแหละครับ จะรู้ซึ้งถึงงานของพี่แกมากขึ้น
เกร็ดเล็กน้อยอย่างหนึ่งคือ แรกเริ่มเดิมทีความความตั้งใจของ Woo แล้วเขาต้องการให้ไคลแม็กซ์ช่วงท้ายที่มีการไล่ล่า เป็นการไล่ล่าบนเรือเร็วมากกว่า แต่พระเอกของเราพี่ Van Damme แกต้องการให้ตอนหลังเป็นการสู้กันโดยขี่ม้าไล่ล่าเอามากกว่า
Woo บารมีตอนนั้นยังไม่มากมายเท่าไหร่เลยไม่อาจปฏิเสธ เลยเก็บฉากบู๊ทางน้ำที่ตัวเองออกแบบไว้ แล้วก็เอามาใช้ในตอนจบของ Face/Off แทน
อีกหนึ่งสิ่งคือ ตอนแรกงานหนังชิ้นนี้ตัดออกมาได้เรต NC-17 เลยนะครับ เพราะรุนแรงมาก โหดมากเลือดกระจุยเนื่องจาก Woo ติดลีลาหนังมาจากฮ่องกงที่เรื่องเรตไม่จำกัดมากเท่าอเมริกา ได้ข่าวว่า Woo ต้องกลับไปตัดต่อใหม่ 7 รอบกว่า MPAA จะยอมให้ผ่านมาได้
เป็นก้าวแรกที่ทุลักทุเลไม่น้อยจริงๆ เลยนะครับพี่ John Woo
ก็ถ้าอยากสะใจ ดูได้เลยครับ ผมยังอยากจะเอามาดูเล่นยามว่างเลย ไม่หนักสมองดี เอาแต่ยิงกันอย่างเดียว
สองดาวครับ สำหรับหนังบู๊แบบ Woo ที่ไม่ใช่หนัง Woo ร้อยเปอร์เซ็นต์
(6/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Thrillers