รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

ลูกตลกตกไม่ไกลต้น (2006) Just Kids

Just-Kids-2006-ลูกตลกตกไม่ไกลต้น-e1448261784370

ได้ยินกิตติศัพท์มานานพอตัว ซึ่งที่ได้ยินนั้นก็ไม่ค่อยดีกับหนังสักเท่าไร บางรายก็ว่ากันสาดเสียเทเสียไปเลย ผมเองก็ไม่อาจทราบได้นะครับว่าหนังจะเป็นเช่นไร ของแบบนี้ต้องดูก่อน แล้วผลก็ปรากฏว่า…

เรื่องราวว่าด้วยสองโรงเรียนที่อยู่รั้วติดกัน โรงเรียนหนึ่งเป็นโรงเรียนวัดเก่าๆ อีกแห่งเป็นโรงเรียนหรูๆ บริหารโดยฝรั่งมั่งค่า แล้วอยู่มาวันหนึ่งเด็กนักเรียนสองแห่งก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องครับ จากนั้นสองโรงเรียนก็มีเรื่องให้โกรธเคืองกันเรื่อยมา ระดับผู้บริหารครูใหญ่ก็ไม่ค่อยจะกินเส้นกันอีกด้วย

แต่แล้วเมื่อนักเรียนทั้งสองโรงเรียนมีความชื่นชอบตรงกันอย่างหนึ่ง นั่นคือ เสียงดนตรี จึงมีการใช้ภาษาตัวโน้ตในการสื่อสารกัน ทำความรู้จักกัน และในที่สุดพลังแห่งความสุนทรีย์ทางดนตรีนี่แหละครับที่เชื่อมพวกเขาเข้าด้วยกัน

ผมสะดุดชื่อตรงคนเขียนบทครับ ไม่ใช่ใครที่ไหน อาบัณฑิต ฤทธิ์ถกลแห่งบุญชูนั่นเอง ส่วนเนื้อหาโครงเรื่องก็ทำให้ผมนึกไปถึง อนึ่งฯ คิดถึงพอสังเขป เรื่องของเด็กที่มารวมใจกันได้ด้วยพลังแห่งดนตรีและกิจกรรม จริงๆ โครงเรื่องน่าสนใจล่ะครับ ทำให้เป็นหนังดีๆ มีคุณภาพได้เหมือนกัน แต่ก็น่าเสียดายนิดๆ ที่คนทำถ่ายทอดออกมาในเชิงตลกเป็นหลัก ส่วนเนื้อหาแม้จะมีจุดน่าสนใจ แต่ผลออกมาก็เป็นในเชิงเรื่อยๆ ไม่ดึงดูดนัก อย่างที่บอกน่ะครับ หนังเน้นเรื่องเบาสมองกับมุกขำๆ (ที่ไม่ขำนัก หรือไม่ก็เป็นมุกเดิมที่ได้ยินมาบ่อยแล้ว เช่น “ถ้ารู้ว่าผมเคยทำอาชีพอะไรมาแล้วคุณจะหนาว” หรือ มุกดูถูกคนจน หลงตัวเองว่าหล่อนักหล่อหนาอะไรทำนองนั้นน่ะครับ) ส่วนสาระก็เหมือนจะเสนอแบบผ่านๆ เท่านั้นเอง

ด้านการแสดงนั้น ก็ได้ดารารุ่นพ่อแม่มาร่วมสวมบทเพิ่มสีสันพอสมควร ไม่ว่าจะน้าโน้ต เชิญยิ้มมาเอง หรืออารองกับป้าปัทมวรรณ เค้ามูลคดี และอีกมากมายครับ ดารารุ่นดึกทุกท่านก็ไม่มีปัญหาแน่นอนสำหรับการแสดง ส่วนดารารุ่นเยาว์นั้น นอกจากที่เคยผ่านสนามการแสดงมาแล้วอย่าง น้ำ รพีภัทรที่เป็นพระเอกช่อง 7 มานานพอตัวก็เล่นได้แบบลอยตัวครับ กับ พิมพ์ชนก พลบูรณ์ ลูกสาวอาจตุรงค์ ม๊กจ๊ก ก็เล่นได้ขำๆ ไม่มีปัญหา นอกนั้นก็พอผ่านน่ะครับ แต่ก็ไม่ถึงประทับใจอะไร

ไปๆ มาๆ ผมว่าระดับความขำความลื่นนั้น ก่อนบ่าย เดอะ มูฟวี่ยังจะฮากว่านะครับ อาจเพราะเรื่องนั้นมีดาราตลกรุ่นใหญ่มาเสริมทัพสร้างเสียงฮาเยอะกว่า แม้เนื้อหาจะโล่งและมุกจะซ้ำ แต่จังหวะจะโคนในการเล่นมุกให้ขำมันตรงเป้ากว่ากันเยอะ ส่วนเรื่องนี้ขำน้อย ดาราก็มีที่ลื่นบ้างไม่ลื่นบ้าง ดูๆ ไปก็เลยเฉยๆ

แต่กระนั้นก็ใช่ว่าหนังจะมีแต่อะไรที่งั้นๆ เพียงอย่างเดียวนะครับ หนังยังมีแววดีอยู่บ้างในส่วนของเนื้อหา ตรงประเด็นการที่เด็กสองโรงเรียนมาเชื่อมใจกันด้วยพลังแห่งเสียงเพลงนี่แหละ เสียดายที่หนังเล่นเรื่องนี้ไม่เยอะ มัวแต่ไปขายขำ

แต่ผมชอบนะ บทครูบรรเลงที่คุณพี่ปลาคร๊าฟ เชิญยิ้มแสดง หนังจะมามีสาระก็เพราะบทนี้นี่เอง ประโยคที่ผมชอบมากคือตอนที่ครูสอนว่า คนแต่ละคนย่อมมีจุดเด่นจุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป ครูอาจเก่งเรื่องการสอน แต่ก็อาจเก่งเรื่องการเสริมสวยน้อยกว่าคนอื่นๆ อีกมากมาย

จริงๆ แล้วในโลกนี้ไม่มีใครเก่งกว่าใครไปเสียทั้งหมดหรอกครับ แต่ละคนย่อมมีความถนัดเฉพาะตน บางคนเก่งเรื่องนั้นมากแต่เรื่องนี้ไม่เก่ง ดังนั้นจะไปเปรียบเทียบหรือยกตัวข่มท่านเพียงเพราะเราเก่งแค่บางเรื่องนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมนัก… นี่น่ะครับ สาระดีๆ ที่แม้จะมีน้อยแต่ผมก็รู้สึกดีนะ เพราะหนังไทยระยะหลังๆ ก็มีความพยายามใส่ประเด็นดีๆ ลงไป

แต่ที่ติดใจอีกนิดคือ ถ้าหนังเน้นแนวแบบครูดีๆ สักคนมาสอนให้เด็กเป็นคนดีของสังคม ค้นพบตัวเองเจอแบบ Dead Poets Society ไปเลยก็คงจะเจ๋งล่ะครับ เพราะแนวทางมันก็ให้ด้วย แล้วถ้าเชิญครูเพลงเก่งๆ มาแสดงบททำนองนี้ก็ยิ่งดีครับ อย่างครูมืด ไข่มุกแห่งรายการคุณพระช่วยก็ได้… ผมว่าจะเป็นหนังดีๆ อีกเรื่องได้เลยนะครับ… แต่ก็… เน้อะ…

สรุปนะครับว่าหนังก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เพียงแต่ออกมาธรรมดา ไม่ดูก็ไม่มีปัญหา แต่อย่างน้อยผมก็ชื่นชมล่ะครับที่มีการพยายามใส่เนื้อหาดีๆ ลงไป แต่คงดีกว่านี้เยอะถ้าใส่ลงไปมากกว่านี้หน่อย

สองดาวคาบเส้นครับ

Star21

(6/10)