Action

ฅนไฟบิน (2006) Dynamite Warrior

kfb_00

หนังได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมไปท่ามกลางความมึนของใครหลายคน ผมเองก็มึนครับ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้เน้อะว่ามั้ย

นี่ก็เป็นผลงานหนังแนวบู๊ของผู้กำกับเฉลิม วงศ์พิมพ์ ซึ่งผมก็ชอบงานของเขานะครับ ตอนไนน์ตี้ ช็อคน่ะเฉยๆ แต่พอมาเรื่องล่าระเบิดเมืองล่ะผมชอบขึ้นมาทีเดียว เพราะถ้าไม่นับ Special Effects ที่ดูหลอกๆ แล้ว ส่วนอื่นๆ ของหนังทำได้ไม่เลวครับ ฉากบู๊แอ็กชัน ยิงกัน และการไล่ล่า หรือบทที่ทำได้เมามันส์พอดู

ส่วนงานเรื่องต่อๆ มาอย่าง 7 ประจัญบานสองภาคและตะเคียนก็ชักจtเฉยๆ อีกแล้วครับ เพราะคิวบู๊ต่างๆ มันชักจะโชว์กันมากเกินไปแล้ว ส่วนเนื้อหาโดนโยนไปไหนหมดก็ไม่ทราบ ไม่เถียงครับว่าแกเน้นหนังบู๊ แต่เนื้อหาถ้าจะให้มันโล่งเกินไปแล้วมันจะไปต่างอะไรกับหนังเกรดบีที่หวังแต่จะขายฉากบู๊จนละเลยบทล่ะครับผม

พอมาเรื่องฅนไฟบินนี่ก็ได้ข่าวสร้างมานานจนเงียบไป จนผมนึกว่าจะหายไปไหนซะแล้ว แต่ก็เปล่า สุดท้ายแค่เปลี่ยนชื่อเป็นฅนไฟบินแทน เป็นแนวบู๊ตามเคยครับ ผมก็ชอบนะพวกฉากต่างๆ ที่ตัดมาในตัวอย่าง ส่วนใจลึกๆ ก็ภาวนาล่ะครับว่า ไอ้คิวบู๊น่ะไม่ห่วง แต่เรื่องราวความน่าติดตามนี่สิที่เล่นเอาลุ้นเหงื่อตกกันเลยล่ะ

หนังเปิดเรื่องมาเหมือนจะมีพล็อตครับ จับเอาเหตุการณ์สมัยปีพ.ศ. 2398 ช่วงที่ซอร์จอห์น เบาว์ริ่งมาทำสัญญาค้าขายกับไทย บ้านเราเลยเร่งทำเกษตรกรรมนำข้าวส่งออกเพื่อนำเงินเข้าประเทศ แล้วก็โยงไปถึงเรื่องนายฮ้อย กลุ่มคนที่ต้อนควายไปเข้าบางกอก ที่บ้างก็เป็นคนต้อนควายดีๆ แต่บ้างก็เป็นโจรขโมยควายเสียนี่

เมื่อบ้านเมืองตกอยู่ในทุกข์เข็ญ ก็เป็นธรรมดาที่จะมียอดมนุษย์ เอ้ย หมายถึงผู้รักคุณธรรมน่ะนะครับ ออกมาเอาผ้าปิดหน้าแล้วก็ไล่ซัดกับผู้ร้าย มันผู้นั้นก็คือ โจรบั้งไฟ (ชูพงษ์ ช่างปรุง) ที่คอยจัดการล่าโจรขโมยควายเอามันคืนให้กับชาวบ้านที่เดือดร้อน

แต่พวกโจรน้อยยังไม่หมดไป ก็เกิดโจรใหม่ขึ้นมาอีก มันคือพระยาแหว่ง (พุฒิพงษ์ ศรีวัฒน์) เจ้าพระยาที่หมายจะนำเอาเครื่องไถนาจากเมืองนอกมาขาย แต่ด้วยราคาเครื่องที่มันสูงมากเลยไม่มีใครซื้อ ทำให้พระยาแหว่งคิดแผนการ ส่งคนไปฆ่าควายให้ตายหมด เพื่อชาวบ้านจะได้หมดหนทางย้อนมาซื้อเครื่องไถนาของตน

งานนี้โจรบั้งไฟเลยต้องหาทางต่อกร ซ้ำโจรบั้งไฟเองก็ยังมีจุดหมายอีกหนึ่งสิ่ง นั่นคือตามล่านายฮ้อยสิงห์ (สามารถ พยัคฆ์อรุณ) จอมคาถาที่เขาเชื่อว่าเป็นคนสังหารพ่อแม่ของเขา

ส่วนพระยาแหว่งก็ไม่ปล่อยให้โจรบั้งไฟอัดฝ่ายเดียว มันได้วางแผนอีกชั้นโดยการไปตามเอาปอบดำ (พันนา ฤทธิไกร) มาเพื่อรับมมือกับศัตรูของมันทุกตัวคน

พล็อตมันก็อีนุงตุงนังใช้ได้นะครับ แล้วหนังเป็นอย่างไรล่ะ?

สิ่งแรกที่ผมรู้สึกตั้งแต่ตอนดูหนังฉากแรกคือ คิวบู๊ที่หมายมั่นดันไม่ใคร่จะยอดเยี่ยมอย่างที่คาด ไม่เหมือนจาพนมหรือหนังพี่หม่ำอ้ะครับ มันดูพลิ้วกันกันเยอะ แต่กับเรื่องนี้มันเป็นการบู๊แบบสเต็ป แบบออกหมัดหนึ่งสอง เตะต่อยสามสี่ กระโดนถีบห้าหก คือมันดูเป็นคิวมากๆ ความสมจริงเลยพร่องไปเยอะ

ดีหน่อยที่หนังมาแก้ลำด้วย Effects พลังเคลื่อนย้ายสิ่งของที่เข้าท่า ดูเหมือนจอมเวทย์อัดกันดีครับ ใช้พลีงจิตเหวี่ยงเกวียนใส่กัน อันนี้ชอบ ไม่เลว คิวบู๊ช่วงนี้ค่อยโล่งหน่อย เพราะมันเป็นคิวสตันท์น่ะครับ ออกมาลื่น ไม่มีสเต็ปแหงๆ ล่ะเพราะเล่นกันจริงๆ ไปเลย

แต่ถ้าจัดการถอดรูท เอาฉากบูออกหมด หนังก็หมดแล้วครับไม่มีอะไรให้พูดถึง เนื้อเรื่องที่เหมือนจะซับซ้อนก็ไม่มีอะไรมากมาย ดไปก็ดูไปอย่างนั้น มุมก็พอมีให้หักแต่ก็หักแบบไม่ใคร่จะเน้นอะไรเท่าไหร่ สรุปคือมันขายคิวบู๊ไม่ต่างกับตอนต้มยำกุ้งเลยครับ มีแต่บู๊ๆๆๆ ส่วนบทน่ะมีไว้แค่ให้มีฉากต่อไปเท่านั้นเอง

ดูหนังจบ มีแต่ฉากอัดๆๆๆ เขวี้ยงๆๆๆ แล้วพาลคิดคำถามขึ้นในใจว่า เรากำลังเข้าใจอะไรกันผิดหรือเปล่าครับ

คือหนังบู๊แอ็กชันเนี่ย ที่มันคลาสสิกโดดเด่นไม่ใช่เพราะคิวบู๊อย่างเดียวเท่านั้นนะครับ มันต้องมีอย่างอื่นด้วย ในเรื่องบทและความลื่น ทำให้มันน่าติดตาม เพราะยังไงมันก็คือภาพยนตร์ และภาพยนตร์เนี่ยคือศาสตร์แห่งการเล่าชนิดหนึ่ง เหมือนนิทานที่มีภาพ และไม่ว่าจะการเล่านิทาน การเล่นดนตรี แสดงลิเก โขน หรืออะไรก็ตามหากมีแต่การแสดงรำเพียงเดี่ยวๆ โดยไม่มีความหมายที่อยากจะสื่อต่อคนดู มันก็ย่อมไม่สมบูรณ์

เช่นกันครับ หนังเนี่ย หากมีแต่คิวบู๊ แต่ไม่มีเนื้อหาให้คนดูรู้สึกว่า อยากดู อยากติดตาม หรืออยากเอาใจช่วยตัวละคร แล้วมันจะเหลืออะไรครับ แบบนั้นไม่เท่ากับตัวละครที่เกิดขึ้นมาเป็นเพียงหมอกควัน พอดูจบแล้วก็จบเรื่องกัน ไม่มีอะไรให้คิดถึงอีก

หากเปรียบกันด้วยหนังบูเหมือนกันก็อย่าง Die Hard เนี่ยครับ จอห์น แม็กเคลนแกอมตะไม่ใช่เพราะมีแต่อัดคนเป็นอย่างเดียว แต่แกมีสมอง สองมือและจิตใจ แกไม่ใช่ตุ๊กตาล้มลุกที่พอคนอัดแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่เท่านั้น แกถึงอมตะมาได้จนถึงวันนี้ หรือตัวเจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย พี่แกก็ไม่ได้ยิงคนอย่างเดียว แกมีสมอง รู้จักสังเกต มีอารมณ์ขัน เจ้าชู้กรุ่มกริ่ม แกมีคาแร็กเตอร์น่ะครับ คนดูเลยจดจำแบบไม่ต้องยัดเยียดแต่อย่างใด

ส่วนหนังบู๊ที่เน้นแต่ตีกันอย่างเดียวใครจะจำอะไรได้บ้างล่ะ อย่างที่พี่จาตอนเล่นตุ้มยำกุ้ง คนจำอะไรไม่ได้แม่น แต่พอบอกช้างกูอยู่ไหนเท่านั้นแหละ คนอ๋อกันเป็นแถบแถว

ของแบบนี้มันพูดยากนะครับ เพราะเอาเข้าจริง คนดูก็อยากดูอะไรล่ะ อยากดูฉากบู๊ไง นายทุนเลยเพิ่มใส่ให้สมใจกันไปข้างหนึ่ง ก็ตลาดต้องการแบบนี้นี่หน่า นายทุนก็อ้างอย่างนี้ได้ เพราะเราจะพูดมันก็ได้ครับ ไม่ใช่เจ้าของทุน อันนี้ก็พอเข้าใจเหมือนกัน

แต่มันก็ไม่น่าจะถึงขนาดถอดเนื้อเรื่องออกจนไม่เหลืออะไรนอกจากคิวบู๊นี่หว่า หนังเฉินหลงเก่าๆ ที่ว่าแน่แกก็ไม่ได้มีแต่บู๊ แกมีเนื้อหา มีความแปลกใหม่ วันดีคืนดีมีไปค้นหาขุมทรัพย์ในถ้ำอย่างเนี้ย แกพยายามหาความใหม่ใส่ลงไป แต่ของเราเน้นบู๊จริงๆ ไอ้เรื่องความใหม่สดไม่ใคร่เห็นเท่าไหร่ เพราะจะว่าไปดูจากบรรยากาศ ภาพพื้นที่เวิ้งว้างมีแต่ทราย ก็อดนึกไม่ได้ว่าจ่าดับ จำเปาะจาก 7 ประจัญบานแกจะลากปืนใหญ่มาช่วยยิงด้วยไหม เพราะมันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เลย ในเรื่องโลเกชันน่ะ

ก็ว่ากันตามเรื่องนะครับ เพราะมันมีแต่บู๊จริงๆ อ้ะ ถ้าถามว่าพอดูได้เพลินๆ ไหม ก็โอเค ดูได้อยู่แล้วล่ะครับ แต่จบแล้วก็จบกันไป ไม่ได้มีอะไรงอกเงยต่อ

น่าคิดเหมือนกันตอนเห็นตัวอย่าง เขาบอกจะเป็นหนังเรื่องต่อไปที่ได้ฉายในอเมริกาต่อจากต้มยำกุ้ง …

อันนี้ก็เหมือนเราจะเข้าใจว่าหนังที่จะไปตีตลาดเขาได้นี่มีแต่หนังแอ็กชันตีกันเท่านั้นเองรึไงน้อ เราไม่มีแง่มุมดีๆ งามๆ นอกเหนือไปจากความรุนแรงเอาไปเผยแพร่ให้ชาติอื่นเมืองอื่นเขาได้บริโภคเลยหรือไร

อย่างหนังจีนที่ไปผงาดอย่าง Crouching Tiger, Hidden Dragon นี่ เขาไม่ได้เน้นตรงคิวบู๊อย่างเดียว มันมีแง่มุม มีสาระภายใน เรื่อง Hero ก็พอกันครับ มีเรื่องสี เรื่องคำคมมากมายแฝงอยู่ เพราะชาติจีนเขาก็เป็นชาติแห่งความคิดปรัชญาเช่นกัน เขาเลยถ่ายทอดขนบและปรัชญา ความภูมิใจในชาติแห่งนักคิดของเขา ออกทางภาพยนตร์ โดยมีฉากการต่อสู้เป็นเครื่องมือดึงดูดใจคนให้เขาไปดู

เขาใช้ฉากบู๊นำ ให้คนตีตั๋วเข้าไปดูสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหนัง

แต่บ้านเรา มีแต่บู๊ครับ ไม่ได้มีอะไรซ่อน ไม่ได้มีอะไรแทรกให้คิด

ไม่ใช่บ้านเราไม่มีอะไรดีไปเสนอ แต่เพราะเราเลือกที่จะไม่นำเสนอเองต่างหาก

ครับ หนังมีอะไรที่พอจะพูดถึงในเรื่องการบู๊นี่แหละ คิวบู๊ก็ไม่ใช่จะลื่นนะ มีขัดบ้าง แต่เรื่องการลงทุน ฉากทำลายล้างนี่ถึงใจ ยิ่งใหญ่ ยกนิ้วให้เลยสบายๆ

ส่วนดารานี่ก็เรื่อยๆ ครับ หน้าใหม่ก็หน้าใหม่ ไม่น่าจดจำ พี่เดี่ยว ชูพงษ์ก็บู๊ไป แต่ก็ไม่มีอะไรมากกว่านั้น คนที่น่าจะเด่นคือพี่ลีโอ พุฒ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีอะไรมากเหมือนกัน ตามปกติหนังจะมีคนขโมยซีน แต่เรื่องนี้หาไม่เจอ

สำหรับผมนะครับ งานที่ดีของผู้กำกับเฉลิมนี่ ขอยกให้ ล่าระเบิดเมือง ครับ ผมว่าดีกว่า “ฟ้า” ของเฮีย Kaos แกซะอีก เรื่องมุมกล้องตัดต่ออาจสู้ไม่ได้ แต่ความเป็นหนังและความน่าดูมากกว่ากันเยอะ

ส่วนคนม้าบิน เอ้น ฅนไฟบินนี่ก็อย่างที่บ่นแหละครับ เรื่อยๆ มาเรียงๆ จบแล้วจบกัน ตอนนั้นนั่งรถทัวร์ไปต่างจังหวัด เขาทำท่าจะเปิดเรื่องนี้ให้ แต่เกิดเครื่องไม่ดีขึ้นมามั้งเลยไม่เปิด เลยต้องมาหาแผ่นดูเองอีกที ผมที่ได้ก็ประมาณนี้ครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)