รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Phantasm IV: Oblivion (1998) วงจรประหลาด 4

phantasm401

เรื่องราวต่อจากตอนจบของภาคก่อน (ก็เป็นธรรมเนียมของหนังชุดนี้ไปเลยนะครับ ต้องเริ่มต้นจากตอนจบของภาคก่อนมาสานต่อเรื่องทุกที) ว่าด้วยเจ้าทอลแมน (Angus Scrimm) ปีศาจอำมหิตที่มาในร่างของชายชราร่างสูง ที่คอยตามล่าไมค์ (A. Michael Baldwin) ที่ภาคก่อนๆ เขาพยายามไล่ล่าฆ่าทอลแมนครับ แต่พอฆ่ามันแล้วไม่ตาย ทอลแมนเลยหันมาตามล่าตัวไมค์แทน

หนังภาคนี้จะอธิบายเหตุผลด้วยนะครับว่าทำไมทอลแมนถึงต้องการตัวไมค์กกว่าคนอื่นๆ และไม่ฆ่าไมค์ทั้งๆ ที่มีโอกาสตั้งหลายครั้ง

ขณะเดียวกัน เร็จจี้ (Reggie Bannister) เพื่อนซี้ของไมค์ก็เดินทางไปอีกเส้นทางหนึ่ง ก่อนจะพบเจอกับเรื่องราวแปลกๆ มากมาย แล้วก็พวกของทอลแมน จนในที่สุดทุกอย่างก็ไปสิ้นสุดกันตรงหน้าประตูมิติแห่งหนึ่งครับ ได้เวลาที่ทอลแมนกับพวกไมค์และเร็จจี้จะได้สู้กันให้จบเรื่องจบราวกันไป (แต่ยังไม่จบครับ ภาค 5 มันมาอีกแว้ววววว)

ภาคนี้ผมว่าเรื่องราวมันออกแนวเป็นตอนเสริมของสามภาคที่ผ่านมามากกว่าครับ เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นการบอกเล่าตัวตนในอดีตของทอลแมน แล้วก็ตัดสลับกับความทรงจำในสมัยเด็กของไมค์ที่เจอทอลแมนครั้งแรกๆ ตามด้วยการอธิบายว่าทำไมทอลแมนถึงผูกใจอยากได้ตัวไมค์เหลือเกิน ภาคนี้จะบอกกับเราหลายๆ อย่างครับ ซึ่งทำให้ภาคนี้เหมาะเฉพาะแฟนหนังชุดนี้เท่านั้น เพราะถ้าไม่เคยรู้เรื่องสามภาคที่แล้ว (โดยเฉพาะไม่เคยดูภาคแรก) จะงงแน่นอนว่ามันทำอะไรกัน ทั้งเรื่องไม่เห็นมันจะฆ่ากันเลย สยองก็ไม่เยอะ มีแต่ย้อนกันไปกันมา หรือไม่ก็มายืนคุยกัน อะไรของมัน

แต่สำหรับคนที่ดูมาครบสี่ภาคอย่างผม… รู้สึกโอเคกับหนังนะ (แม้จะติดน่าเบื่อบ้างก็เถอะ) เพราะหนังทำอย่างค่อนข้างฉลาดครับ ผูกเรื่องได้ดี ทำให้รู้สึกว่าไมค์กับเจ้าทอลแมนนี่เกี่ยวพันกันมานานจริงๆ แต่จะดีกว่านี้ถ้าเรื่องมันกระชับและเล่าอย่างเร้าใจกว่านี้เยอะๆ หน่อย

จุดที่ผมชอบอีกอย่างคือ Don Coscarelli ผู้กำกับและคนเขียนบทหนังชุดนี้มาตลอด ได้จัดการเอาฟุตเตจที่ถ่ายทำตั้งแต่ภาคแรกแล้วไม่ได้ใช้ มาตัดต่อเสริมเรื่องราวในภาคนี้ให้น่าสนใจมากขึ้น เพราะมันจะตัดสลับเหตุการณ์ระหว่างอดีตกับปัจจุบันไงครับ จะได้เห็นภาพไมค์ตอนเด็ก แล้วสักพักก็ตัดมาตอนโต ซึ่งถ้าคนดูแล้วไม่รู้จะนึกว่าดาราเด็กเป็นคนละคนกับดาราผู้ใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นฟุตเตจเดิมครับ เป็นการแสดงของ A. Michael Baldwin ทั้งสิ้น ผมเลยออกจะรู้สึกดีนะ เพราะคนทำสร้างสรรค์ใช้ได้ เข้าใจใช้วัตถุดิบที่มีในการสร้างสรรค์ดี… แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเร้าใจกว่านี้จะแจ๋วเลย

phantasm402

นักแสดง… ก็หายห่วงน่ะครับ เล่นบทนี้มาตั้ง 4 ภาค ไม่ให้เนียนได้ไง แล้วภาคนี้ดาราน้อยมากครับ มีแค่ตัวหลักๆ หน้าเดิมน่ะแหละ หน้าใหม่ที่โผล่มาก็มีแค่ Heidi Marnhout ในบท เจนนิเฟอร์ สาวที่เร็จจี้ช่วยชีวิตไว้ตอนกลางเรื่อง แค่นั้นเอง ซึ่งเธอก็สวยน่ารักครับ แต่บทน้อย ฮือๆ เสียดาย ฮือๆ เห็นตอนแรกเขาว่าบทนี้จะให้ Jennifer Bross ภรรยาตัวจริงเสียงจริงของ Baldwin มาแสดงครับ แต่เธอก็ปฏิเสธไปคาดว่าคงเพราะมีบทเปลือยนิดๆ น่ะแหละ (เปลือยแบบไม่เห็นอะไรน่ะครับ คือเห็นว่าไม่ใส่อะไรก็จริง แต่ก็ไม่เห็นอะไรน่ะ งงมั้ยครับ อิอิ)

ส่วนตัวหนัง ก็อย่างที่บอกครับ ถ้าตื่นเต้นกว่านี้ กระชับอีกหน่อย จะดีขึ้นเยอะทีเดียว เพราะจังหวะหวังที่อืดไปหน่อยนี่แหละที่ทำให้อะไรๆ ไม่สุดๆ อย่างที่ควรจะเป็น

ถ้าว่ากันถึงจุดที่ผมชอบ คือการเอาฟุตเตจเก่าที่ถ่ายเหลือใช้ตั้งแต่ภาคแรกมาใส่ลงไป เราจะได้รู้ว่าครั้งแรกที่ไมค์เห็นทอลแมนนั้นมันเป็นอย่างไร และในอดีตไมค์เคยช่วยชีวิตทอลแมนเอาไว้อีกด้วย ก่อนที่หนังจะ… อ้ะ มีสปอยล์ซะแล้ว ไม่อยากทราบข้ามไปนะครับ อย่าอ่านบรรทัดที่ผมบอกว่าเป็นเขตสปอยล์เด็ดขาด แต่ถ้าถามผมนะ การรู้เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้น่าจะทำให้ดูหนังได้สนุกและรู้เรื่องมากกว่าเก่าครับ ไม่ได้เป็นสปอยล์หักมุมร้ายแรงครับ แต่เป็นการบรรยายความประทับใจในการผูกเรื่องมากกว่า

 

เขตสปอยล์แล้วเด้อครับ หมดเขตเมื่อใดจะแจ้งให้ทราบ

ถ้าคุณดูหนังชุดนี้มาตั้งแต่ภาคแรกๆ จะทราบดีนะครับว่าเจ้าทอลแมนเป็นตัวลึกลับที่พวกไมค์ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งภาคสองภาคสามเริ่มมาเฉลย ว่าเจ้านี่ต้องมาจากต่างมิติแน่นอน และมันก็จัดการเอาศพคนไปทำเป็นปีศาจตัวเล็กๆ รับใช้มัน แต่ยังไม่แน่ชัดว่ามันต้องการอะไรกันแน่ มันจะจับคนไปเป็นทาสเท่านั้นหรือไม่ก็ไม่รู้ และเจ้าทอลแมนมาจากไหนก็ไม่มีใครทราบ ถ้ามันเป็นปีศาจจากมิติอื่นแล้ว ทำไมถึงมีร่างเป็นคน… ภาคนี้หนังได้ให้คำตอบครับ

ทอลแมนเสนอให้ไมค์เข้าประตูมิติบานหนึ่งไป ปรากฏว่าประตูพาเขาไปยังสมัยอดีต ที่นั่นเองไมค์ได้รู้ความจริงว่า ได้มีมนุษย์คนหนึ่งนามว่า เจเบอไดห์ มอร์นิ่งไซด์ ชายชราใจดีที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ เขามีความหวังดีต่อโลกครับ คิดจะค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับมิติอื่น จะได้เอาความรู้มาพัฒนาบ้านเมือง จึงได้สร้างประตูมิติขึ้นมาเพื่อเดินทางไปยังโลกอื่น … ถึงตอนนี้คุณคงเดาได้นะครับ เจเบอไดห์มีหน้าตาเหมือนเจ้าทอลแมนทุกประการ ตอนแรกไมค์ก็ตกใจ นึกว่านี่คือทอลแมน แต่จริงๆ ยังครับ ยังไม่ใช่ เขายังเป็นเจเบอไดห์ จนกระทั่งไมค์ได้เป็นพยานถึงจุดเริ่มของทุกอย่าง ได้เห็นทอลแมนก้าวมายังโลกของเราเป็นครั้งแรก

สรุปว่าเจเบอไดห์ทำได้ครับ เปิดประตูไปยังมิติอื่น เขาเข้าไป… แล้วไม่ได้กลับออกมาอีกเลยครับ แต่เจ้าทอลแมนได้เข้าสิงร่างเขา แล้วนำลูกเหล็กมรณะลูกแรกมายังโลกมนุษย์ เพื่อดำเนินแผน และวินาทีที่มันมายังโลก มันได้เห็นหน้าไมค์… แต่ไมค์หนีมาได้… นี่ไงครับ สาเหตุที่มันติดใจไมค์เป็นพิเศษ เพราะไมค์คือมนุษย์คนแรกที่เผชิญหน้ากับมันนั่นเอง

แล้วถัดมา จุดที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับหนัง คือตอนจบครับ หนังจบแบบ ไมค์โดนเล่นงานถึงตายทีเดียว แล้วหนังก็ค่อยๆ ซูมเข้าดวงตาของไมค์ แล้วภาพก็เปลี่ยนไปเป็นตอนไมค์ยังเด็ก กำลังเดินริมถนนมืดๆ คนเดียว แล้วเร็จจี้ก็ขับรถไอติมผ่านมา เลยรับเขากลับบ้าน…

ระหว่างนั้น ทั้งไมค์และเร็จจี้ได้ยินเสียงแปลกๆ บางอย่าง… เสียงนั้นพูดว่า “ฉันกำลังจะตาย เร็จจี้” … อันเป็นเสียงที่ดังจากโลกปัจจุบันครับ เป็นคำที่ไมค์ซึ่งกำลังจะตายพูดขึ้น ทะลุมิติไปยังอดีต…

เมื่อเร็จจี้ได้ยินก็เลยถามไมค์ตอนเด็กว่า “นายได้ยินเสียงอะไรมั้ย”

ไมค์ก็ลองฟังแต่เขาก็ไม่ได้ยิน เลยตอบไปตามที่คิดว่า “เสียงลมล่ะมั้ง… แค่เสียงลมน่ะ”…

ก่อนกล้องจะค่อยๆ จับภาพรถไอติมค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่ความมืด อย่างช้าๆ และดนตรีนิ่งๆ เนิ่บๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากเพื่อนรักสองคนกำลังกลับบ้านเท่านั้น…

ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร แต่มันได้อารมณ์ที่แปลกดีครับ ในใจส่วนหนึ่งก็อดสะเทือนใจไม่ได้ เพราะภาพตอนจบมันคืออดีตไงครับ อดีตที่ทั้งไมค์และเร็จจี้ยังมีความสุข ใช้ชีวิตบ้านไร่ไปเรื่อยๆ คนหนึ่งก็เล่นไปตามประสา อีกคนก็ขายไอติมมอบความสุขให้เด็กๆ วันดีคืนดีก็เล่นกีตาร์กัน แต่ใครจะล่วงรู้ได้ว่าในเวลาต่อมา เขาทั้งคู่ต้องเจอเรื่องสยองเกินจินตนาการ ไม่มีชีวิตที่มีความสุขอีกต่อไป ซ้ำโลกยังต้องเจอกับปีศาจร้ายทอลแมนอีก…

จบแบบได้อารมณ์แปลกๆ จริงๆ ครับ

จริงๆ ถ้าหนังจะจบภาคนี้ก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทนะครับ แม้จะคาใจบ้าง แต่ก็จบแบบไม่เลวน่ะ… ไม่เลวจริงๆ… นี่ผมยังจำภาพรถเคลื่อนหาความมืดได้เลยนะเนี่ย มันเลยสะเทือนใจกับชะตากรรมของสองคนนี้จริงๆ

หมดเขตสปอยล์แล้วครับผม

ครับ เอาเป็นว่าเนื้อหาน่าสน การถ่ายทอดก็มีดีเป็นพักๆ แต่ก็ยังถือว่าเนิ่บไปหน่อยครับ ถ้ากระหน่ำหรือเร้าอารมณ์คงดีกว่านี้ แต่ตอนจบนี่… จบได้ดีครับ

และผมยังปลื้มกับการแสดงของ Scrimm อย่างแรง ตอนเล่นเป็นทอลแมนนี่ดีนะครับ แต่ตอนสวมบทอีกบทหนึ่ง เยี่ยมกว่า เยี่ยมมาก คนที่อ่านในสปอยล์แล้วน่าจะรู้นะครับว่าผมหมายถึงบทไหน เป็นบทที่ดีมากๆ ดูแล้วเกิดอารมณ์สะเทือนใจเหมือนกันครับ เรียกว่าตอนเล่นเป็นทอลแมนนั้นน่ากลัว แต่อีกบทนี่กลายเป็นน่าสงสารไปเลย นับถือการแสดงของเขาจริงๆ

สรุปว่านี่คือตอนเสริมนะครับ ดูได้เรื่อยๆ เหมาะสำหรับคอหนังชุดนี้ที่ตามดูมา 3 ภาคแล้วเท่านั้น ไม่งั้นจะงงครับ ผมก็เลยเสนอว่า ถ้าเฉยๆ กับหนังชุดนี้เรื่องนี้ก็ไม่ต้องขวนขวายหาดู แต่หากชอบ…ภาคนี้แม้จะไม่สุดยอด แต่ก็อร่อยไม่เลวครับ

อยากดูภาค 5 ต่อแล้วสิ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)