เรื่องราวบทต่อมาของสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์แวมไพร์และไลแคน (มนุษย์หมาป่า) ครับ ออกแผ่นไปได้พักใหญ่ๆ แล้วนะฮะ ผมก็คว้ามาดูตามระเบียบ ภาคแรกผมก็ไม่ได้ตามไปดูในโรงหรอกครับ รอแผ่นออกมาแล้วถึงตามไปดูเหมือนกัน แล้วภาคแรกนั่นผมก็ไม่ได้ประทับใจอะไรมากมาย แม้บทจะเข้าท่ามากก็ตาม แต่พวกแอ๊คชั่น ความมันส์ยังถือว่าธรรมดาครับ ไม่ได้กระตุ้นเส้นเลือดให้พุ่งพล่านแต่อย่างใด

กับเรื่องราวตอนต่อนี้ ก็หลังจากสงครามคราวก่อน ทำให้เซลีน (Kate Beckinsale) แวมไพร์สาว กับคนรักของเธอ ไมเคิล (Scott Speedman) หนุ่มผู้มีเชื้อสายไลเคน ที่ต้องมารบทัพจับศึกกับจอมปีศาจจ้างแห่งแวมไพร์ที่มีอาวุโสสูงสุดอย่างมาร์คัส คอร์วินัส (Tony Curran) ที่หนังภาคแรกได้ทิ้งเชื้อไว้ว่าแกจะฟื้นมาจัดการกับเซลีนและไมเคิล ภาคนี้แกก็โผล่มาจริงๆ ครับ จนทั้งสองต้องหลบหนีและหาทางค้นหาความจริงของต้นตระกูลแวมไพร์

แล้วพวกเธอจะเอาตัวรอดจากการตามล่าของจอมแวมไพร์ได้หรือไม่ และความลับอะไรที่ยังหลงเหลืออยู่อีก คำตอบก็อยู่ในหนังครับ

สำหรับภาคนี้ ผมว่ามันก็เหมือนภาคแรกน่ะครับ ไม่ได้หมายถึงเนื้อหานะฮะ แต่หมายถึงการเดินเรื่องและลีลาของมัน มาโทนเดียวกันสไตล์เดียวกันเลย นั่นคือช่วงแรกเปิดมาน่าเบื่อจริงๆ แอ๊คชั่นก็ธรรมดา ชวนง่วงไม่ใช่น้อย ก่อนจะเข้าช่วงกลางเรื่องที่หนังเล่าตำนานลึกลับ อันเป็นการเฉลยปมปริศนาระหว่างตระกูลแวมไพร์และไลเคน ก่อนจะลงเอยด้วยการต่อสู้ขั้นแตกหักกับหัวหน้าตัวร้ายที่แท้จริงของเรื่อง

ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ก็มันกำกับโดย Len Wiseman เจ้าเก่าจากภาคแรกนี่หน่า จังหวะเลยเดิมๆ กันหมดเลย แต่พี่ท่านไม่ได้ช่วยอุดรอยรั่วของภาคแรกเลยครับ มาภาคนี้อันไหนรั่วก็ยังปล่อยให้น้ำเจิ่งนองอยู่อย่างนั้น

ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เรื่อยๆ ไม่ได้น่าติดตาม ฉากตีกันก็อืดๆ ไม่เร้าอารมณ์ จุดที่ดีจริงๆ ในช่วงต้นก็มีเพียงการแสดงของ Beckinsale กับ Speedman ที่ดูเหมือนคู่รักกันจริงๆ ครับ ไมได้หมายถึงฉากรักร้อนๆ ของทั้งสองเท่านั้นหรอกนะครับ แต่หมายถึงแววตาและท่าทางของพวกเขาดูเหมือนรักกันจริงๆ โอเค อย่างน้อยช่วงแรกก็พอไหวน่ะ

จากนั้นหนังก็ลุยมาที่การเปิดปม เปิดกรุตำนานความลับของตระกูล ซึ่งปมภาคนี้ก็ไม่เลวครับ เพียงแต่ความเข้มข้นของปมไม่ได้มากเท่าภาคแรก เพาะผมภาคแรกมันดูบีบคั้นกว่าและน่าเชื่อกว่า ส่วนปมในภาคนี้เหมือนเป็นการเฉลยที่มามากกว่าครับ ไม่ได้เป็นปมที่มีความเข้มข้นอะไร แค่บอกว่าสองตระกูลนี้กำเนิดมาจากใครเท่านั้นเอง

แต่ทีนี้พอหนังเข้าช่วงท้าย แรก ๆเหมือนจะดีนะครับ เพราะมีการบุกไปยังโบราณสถานที่มีน้ำท่วม และดูลึกลับ แต่ที่ไหนได้ทีมงานดันทำเหมือนเดิในสวนน้ำครับ ความลับอะไรไม่มีเลย แค่เดินๆ เหมือนเดินในท่อระบายน้ำอ้ะ เออ แค่นั้นเอง

ส่วนฉากตีกันก็ไม่ต้องพูดถึงล่ะครับ ไม่มีอะไรให้พูดถึงไหร่ ผมว่าภาคแรกเอาปืนไล่ยิงยังโอเคกว่าเลย

อีกอย่างจุดด้อยของหนังก็คือ ทีมดาราไม่แน่จริงเท่าภาคแรก นอกจากสองพระนางแล้ว ตัวร้ายอย่างมารคัสก็ร้ายแบบใช้กำลังอย่างเดียวครับ สมองหามีไม่ ซึ่งพอดูแล้วจับทางได้ก็เดาได้ไม่ยากล่ะครับ ว่าผู้ร้ายที่มีแต่พละกำลังน่ะ มักจะต้องโดนป้ายหลุมศพกระแทกหน้าในตอนจบทุกที

อันนี้ก็เสียดายนะ เพราะภาคก่อนเล่นเปิดไว้ซะน่าสนสุดๆ ว่ามารคัสคือจอมแวมไพร์ที่ทรงพลังที่สุด แต่ไปๆ มาๆ ผมว่าพี่วิกเตอร์ (Bill Nighy) จากภาคแรกนั่นโหดและน่ากลัวกว่ากันเยอะครับ

เนี่ยครับ ทีมดาราภาคนี้ไม่ใคร่จะเจ๋งจริงเท่าไหร่ และตัวละครยังมีน้อยๆ อีกด้วย จึงค่อนข้างขัดกับเรื่องราวนะ เพราะภาคนี้มันเรื่องใหญ่ขึ้น ขยายวงขึ้น แต่ตัวละครดันหดลงน้อยลง ก็งงล่ะครับ เนื้อเรื่องทำท่าจะใหญ่ แต่โลกในหนังกลับเล็กและแคบกว่าภาคแรกซะอีก

ไปๆ มาๆ ผมชอบภาคแรกมากกว่าครับ อย่างน้อยปมขัดแย้งของสองตระกูลก็ยังน่าจดจำ แต่กับภาคนี้ปมก็ไม่มีอะไรมาก ตัวแสดงก็เรื่อยๆ ตัวร้ายก็งั้นๆ จบสรุปออกมาก็ไม่มีอะไรให้ประทับใจ

ผมอาจจะมองแง่ร้ายเกินไปนะครับ มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก แต่สำหรับผมมันคิดอย่างนั้นจริงๆ ครับ ผมว่าไปดู Van Helsing อีกรอบยังมันส์กว่าเลยนะ แต่ก็อย่าเชื่อผมมากครับ ลองพิสูจน์เองดีกว่า เพราะหลายๆ คนก็ชอบภาคนี้มากอยู่เหมือนกัน เฮ่อ ดูท่าว่าผมจะต่อมส่วนทางกับชาวบ้านแล้วล่ะครับ เห็นแย้งไปหมด แต่ผมว่าหนังมันจืดน่ะครับ แอ๊คชั่นไม่มีอะไร ดารานอกจากสองพระนางก็ไม่มีใครเด่นเท่าไหร่ แล้วไปๆ มาๆ ตัวพระเอกก็กลายเป็นตัวประกอบไปอีกต่างหาก เออ และฉากสู้กับมาร์คัสตอนท้ายก็ไม่ได้เร้าใจ ออกมาแบบธรรมดาเลยครับ ผมว่า Hellboy ยังดูโอเคกว่าเลยนะ

แต่ถ้าท่านดูแผ่นก็อีกเรื่องน่ะครับ คงไม่ถึงกับเสียดายตังค์หรอก ดูเอาเรื่อยๆ น่ะได้ แต่อย่าตั้งความหวังนะครับ นี่ขนาดผมไม่หวังยังออกจะเบื่อหนังเลยเนี่ย จุดที่ผมว่าคุ้มสุดๆ คือตัวนางเอกนี่แหละ โอย สวยนะครับ น่ารักเท่ห์ ครบเลย ถ้าจะคุ้มก็คงเป็นอันนี้แหละ

สองดาวครับ

(6/10)