รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

The Prophecy (1995) กองทัพเทวดา

the-prophecy1001

บางคนปฏิเสธพระเจ้าเพราะเห็นสวรรค์น้อยเกินไป… แต่บางคนก็ปฏิเสธพระเจ้า เพราะเห็นสวรรค์มากเกินไป

ประโยคพวกนี้เข้าท่านะครับ ได้จากหนังเรื่องนี้เลย แต่น่าสนยังไงไว้ค่อยพูดกัน มาพูดถึงหนังกันก่อนดีกว่า

โธมัส แด๊กเกท (Elias Koteas) ชายผู้เกือบจะอุทิศตนเพื่อเข้ารับใช้ศาสนา แต่ในระหว่างเข้าพิธีเป็นบาทหลวงเขาก็ได้เห็นบางสิ่ง สิ่งที่ทำให้ศรัทธาของเขาแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล

จากนั้นเขาก็ผันตัวมาเป็นตำรวจครับ (ไม่เป็นแล้วบาทหลวง) แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่อาจหนีจากเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพ้น เมื่อได้เกิดคดีการตายอย่างประหลาดหลายรายซ้อน แล้วยังมีบรรดาเทวฑูตที่ค่อยๆ ปรากฎบนโลกมนุษย์ทีละรายสองราย ไม่ว่าจะไซม่อน (Eric Stoltz) หรือเกเบรียล (Christopher Walken) ทั้งคู่มีเป้าหมายเดียวกัน แต่ต่างจุดประสงค์ และเป้าหมายที่ว่านี้ได้นำอันตรายมาสู่เด็กหญิงคนหนึ่ง นามว่าแมรี่ (Moriah ‘Shining Dove’ Snyder)

ด้วยเหตุนี้โธมัสจึงต้องยื่นมือเข้าขว้าง โดยร่วมมือกับแคทเธอรีน เฮนเล่ย์ (Virginia Madsen) ครูของแมรี่ในการป้องกันแมรี่ให้ห่างจากเหล่าเทวฑูต

หรืออีกนัยหนึ่ง กันเธอจากสงครามเทวดา

หนังเรื่องนี้มาเงียบๆ นะครับ ได้เข้าโรงบ้านเราด้วย แต่ก็ไม่ได้ดังอะไรมากมาย เพียงแต่ผมค่อนข้างชอบชื่อไทยของหนังเป็นพิเศษ มันฟังดูยิ่งใหญ่มากครับ “กองทัพเทวดา” สำหรับผมมันทำให้หนังน่าดูยังไงก็ไม่รู้สิ เหมือนกับเราจะได้เห็นเทวดามารวมตัวทำอะไรกัน คือใครชอบเรื่องราวเชิงอิทธิปาฏิหาริย์หรือเรื่องเทพยดาตามตำนานก็คงสนใจล่ะนะครับ

แต่เอาเข้าจริงตัวหนังมันเป็นในเชิงสืบสวนซ่อนปมครับ ซึ่งว่าตามจริงผมก็ชอบนะ แนวทางของหนังแนวนี้ก็คือจะให้ตัวเอกของเรื่องเข้ามาพัวพันกับสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายและเหนือธรรมชาติ เอาหลักวิทยาศาสตร์มาอธิบายไม่ได้ เลยต้องมีการตามสืบสวน ค่อยๆ เก็บข้อมูลไป ซึ่งมันจะสนุกตรงนี้แหละครับ ปมจะค่อยๆ เปิด มีการทิ้งปม ก่อนจะไปสรุปในตอนท้ายว่าความจริงของเรื่องราวทั้งหมด ภาพรวมทั้งหลายน่ะมันเป็นอย่างไร ถ้าตอนจบทำให้คนดูเชื่อและเร้าใจคนดูได้ล่ะฉลุยครับ

แต่พอดูหนังทั้งเรื่องแล้ว The Prophecy ก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้นน่ะครับ มันมีช่องโหว่เป็นระยะๆ ช่วงแรกมาดีมากครับ ทำท่าน่าสนใจจริงๆ แต่หนังดันทำพลาดตรงที่ครึ่งแรกดันเฉลยปมต่างๆ เร็วเกินไป จนทำให้ครึ่งหลังนี่ไม่มีอะไรดึงความสนใจคนดูอีกแล้ว ทีนี้ก็เสร็จครับ ช่วงท้ายเลยกลายเป็นนั่งรอว่าเมื่อไหร่หนังจะจบซักทีมากกว่า เพราะมันรู้หมดแล้วนี่ครับ แค่รอบทสรุปเรื่องราวเท่านั้นเอง

นี่เลยเป็นจุดที่หนังพลาดครับ ดันไม่กั๊กปริศนาให้คนดูอึ้งอย่างที่ควรจะเป็น จังหวะมันเลยเอื่อยๆ ในตอนท้ายและตอนท้ายตอนจบจริงๆ ก็ดันไม่มีอะไรพลิกไม่มีอะไรลุ้นอีกด้วย เลยนิ่งทางอารมณ์ไปเลยน่ะครับ

walken001

ลองมานั่งนึกๆ ดู ผมว่าถ้าหนังค่อยๆ คลายปมนะ แล้วก็เอาตำนานมาผูกมากๆ หนังสามารถไปในแนวทาง The Da Vinci Code ได้เลยนะเอ้า เพราะเล่นกับประเด็นปมทางตำนานน่ะครับ ถ้าใครรู้ก็จะสนุกกับการตามเรื่อง ซึ่งในเรื่องเหมือนกับเอาเทวดาหลายๆ องค์มายำกัน แล้วก็ตำนานนิดๆ หน่อยๆ ทั้งที่หนังสามารถผูกได้ใหญ่โตกว่านี้มาก แต่ก็ไม่รู้ว่าทุนจำกัดหรือเปล่าล่ะครับถึงไม่ผูกเรื่องให้มันใหญ่ โหย ถ้าผูกดีๆ หนังคงเป็นมหากาพย์สงครามเทวดาได้สบายๆ เลยนะครับ (แต่ตัวหนังเองก็มีภาคต่อทำตามมาครับ ซึ่งไม่ได้สานต่อเรื่องราวในทางสร้างสรรค์ซักเท่าไหร่เลย คือไม่ถึงกับแย่จนต้องเบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่ได้ช่วยเสริมความดังให้หนังชุดนี้น่ะครับ)

ที่บ่นไปคือโครงเรื่องและการเดินเรื่องน่ะนะครับที่ลงง่ายไปหน่อย ไม่เร้าเท่าที่ควรทั้งๆ ที่บทและแนวทางมาดีแล้วครับ อันนี้ก็ต้องทั้งชมและบ่นใส่ผู้กำกับนิดนึง เขาคือ Gregory Widen ชื่ออาจไม่คุ้นหู แต่งานเขียนบทของเขาต้องคุ้นตาแน่นอน เรื่องแรกคือ Highlander หรือล่าข้ามศตวรรษ ตามด้วย Backdraft (หนังนักดับเพลิงชั้นยอด) ส่วนนี่เป็นงานกำกับหนังใหญ่ครั้งแรกและครั้งเดียวของเขา จริงๆ ก็เสียดายครับ เพราะเม้เรื่องนี้จะไม่สุดยอด แต่ก็ไม่เลว มีทั้งส่วนที่เข้าท่าและยังต้องปรับปรุง แต่พอสรุปเหมารวมแล้วหนังไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด เป็นหนังซ่อนเงื่อนเหนือธรรมชาติที่ดูได้ แต่จะไปหลุดเอาช่วงท้าย แต่ก็ต้องขอบคุณเหล่าดาราที่เอาฝีมือมาใส่ในเรื่องครับ หนังเลยพอจะตลอดรอดฝั่งได้บ้าง (กล่าวคือครึ่งแรกดีที่บทครับ ครึ่งหลังบทอ่อนแต่ดาราช่วยชีวิตไว้ ไม่งั้นตายคาเรื่องไปแล้ว) แต่กับพี่ Gregory ก็มีแววดีเลยครับ แต่ยังจับต้นชนปลายไม่เนียนนัก บางช่วงก็เน้นความเขย่าขวัญมาก (โดยเฉพาะช่วงหลังๆ) จนลืมความเป็น Suspense ไปหมดเลย นี่ถ้าไปด้วยกันเรื่อยๆ คงดีล่ะครับ แต่ช่วงลึกลับเขาทำดีนะ อย่างตอนโธมัสไปฟังผลชันสูตรศพกับตอนที่พี่เขาไปหาหลักฐานที่บ้านผู้การอาร์โนลด์ (Pat McAllister) ทำได้น่าติดตามครับ แต่ฉากทำนองนี้นี่แหละที่ดันน้อยไปหน่อย

อย่างที่บอกล่ะครับ ว่าบทมีอ่อนมีแข็ง แต่ที่เจ๋งตลอดก็คือเหล่าดารา ที่นำกันมาทั้งนั้น เริ่มจาก Koteas พระเอกของเรื่องกับ Madsen นางเอกสองรายนี้ไม่เด่นนักนะครับ แต่ก็ทำหน้าที่ไม่เลว ทีเด็ดจะมาอยู่ที่เหล่าเทวฑูตมากกว่า คนที่เหนือกว่าใครคงไม่มีใครเกิน Walken ที่มาในอารมณ์ขี้เล่นแบบอำมหิต หน้าตาโรคจิตเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ พอมาสวมบทเทวดาโฉดก็ไปกันใหญ่ล่ะ หนังได้แกช่วยไว้มากจริงๆ ครับ, Stoltz ก็มาเป็นเทวฑูตไซม่อน แม้บทจะน้อยแต่ก็ดีครับ แต่คนที่น่าเสียดายสุดเห็นทีจะหนีไม่พ้น Viggo Mortensen ใช่ครับ พี่อารากอนของน้องๆ นั่นเอง ในเรื่องเขามาเป็นลูซิเฟอร์เลยนะครับ ทว่าพอเจอกลับออกจะน่าผิดหวังไปหน่อย เพราะมาดไม่เด็ดพอ การเปิดตัวก็ธรรมดาเหลือเกิน ไม่ได้รู้สึกว่าพี่แกเป็นจอมเทพจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ซักเท่าไหร่เลย

ก็นี่แหละครับหนัง มีดีบ้างไม่ดีบ้างคละๆ กันไป แต่ผมชอบประโยคที่ผมขึ้นไว้ข้างบนนะ บางคนปฏิเสธพระเจ้าพระไม่เห็นสวรรค์หรือเห็นน้อยเกินไป แต่บางคนก็อำลาเมื่อได้เห็นมากเกินไป ผมว่าเขาเปิดประเด็นมาได้ดีครับ แต่ไม่รู้ว่าผู้กำกับไม่กล้าเล่นแรงรึเปล่า เพราะถ้าเล่นขึ้นมาก็หนักล่ะครับ ท้าอำนาจสวรรค์กันเลยหนังอาจโดนต่อต้านก็ได้ใครจะรู้ ก็เลยเล่นเบาะๆ

แต่พอมาคิดๆ ดูบางทีก็หมั่นไส้มนุษย์น่ะครับ (หมั่นไส้ตัวเองด้วยแหละ) บางครั้งเราก็โทษฟ้าโทษดินนะ พออะไรไม่ได้อย่างใจ คือถ้าท่านจะโทษนิดหน่อยระบายอารมณ์ก็พอทำเนา แต่หากจะโยนความผิดทั้งหมดให้ฟ้ามันก็ไม่ถูกนะ คือเราก็ต้องเอาความผิดพลาดนั้นมาพิจารณาตัวเองด้วยครับ อย่างเวลาอะไรไม่ได้ดังใจก็หงุดหงิดโทษโน่น โทษนี่โทษนั่น โทษมันทุกอย่าง ทำมันทุกสิ่ง ไม่ทำเพียงอย่างเดียวครับ คือมองตัวเองแล้วคิดดูให้ดีว่าเหตุการณ์นั้นมันสอนอะไรเราบ้าง เรามีความผิดพลาดตรงไหนหรือไม่ ถ้ามีก็แก้ซะ

ผมเชื่อนะว่าทุกครั้งที่เกิดปัญหาน่ะ มันเหมือนเป็นกลไกอย่างหนึ่งจากธรรมชาติที่กำลังพยายามสื่อสารกับเราว่า “เฮ้ย นายยังมีจุดบกพร่องเรื่องนี้นะ” เช่นอุบัติเหตุเงี้ยครับ พอเกิดขึ้นมันก็บอกได้ว่าเราต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นนะ หรือการที่เราป่วยก็เป็นการบอกให้เราใส่ใจกับร่างกายให้มากขึ้น ระวังร่างกายให้มากขึ้น หรือพอเราทำงานแล้วเจ้านายเกิดไม่พอใจ นั่นแสดงว่าต้องมีอะไรที่เราควรคิดแล้ว เช่น เราทำเต็มที่หรือยัง หรือเราทำผิดตรงไหน เจ้านายไม่พอใจเราอย่างไรก็เคลียร์ซะ หรือหากเราทำงานไม่ไหวก็ค่อยเปลี่ยนงาน

ผมว่าธรรมชาติมันมีหนทางของมันครับ ถ้าสังเกตมันดีๆ มันบอกอะไรกับเราตลอด กับปัญหาชีวิตก็ด้วย ถ้าเกิดให้เราหาทางสงบสติอารมณ์นิดหนึ่งครับ จะโทษฟ้าก็ได้ แต่ต้องมีลิมิต ต้องรู้ว่าควรหยุดพิจารณาตนเองเมื่อไหร่ อย่างเรื่องทะเลาะกับแฟนเงี้ย ถ้าไม่เข้าใจกันแทนที่จะไปโทษว่าเราผิดหรือเขาผิด หรือโทษพรหมลิขิตขีดเขี่ย เราน่าจะลองมองซักนิดน่ะครับว่า มันเกิดจากความไม่พอดีบางประการหรือเปล่า ก็ลองว่าปัญหาเกิดมันย่อมเกิดความไม่สมดุลย์บางอย่างขึ้นล่ะครับ ทีนี้ถ้าเรามองเห็นทัน แก้ทันก็ดีไป แต่ถ้าเราหูอื้อตาลาย มัวแต่โทษทุกอย่างยกเว้นตนเอง สุดท้ายเราก็จะได้เสียมันไปจริงๆ ล่ะครับงานนี้น่ะ

นี่ผมไปของผมได้ยังไงวะเนี่ย มันเกี่ยวกันมั้ยหว่า

แต่ผมว่าเกี่ยวนะ (พูดเองตอบเอง ง่ายดี) นั่นคืออย่างมัวแต่โทษฟ้าเกินไปครับ หัดมองตัวเองบ้าง ไอ้เห็นสวรรค์มากไปหรือน้อยไปแล้วทำให้เราศรัทธาน้อยลงน่ะ มันเกิดเพราะความคิดของเราทั้งนั้นล่ะครับ ถ้าท่านมีจิตใจที่มั่นคง รู้จักมีสติ ทำความเข้าใจกับความจริงของโลก ของธรรมชาติหรืออาจจะของพระเจ้า หากทำได้ดังนั้น ไม่ว่าจะเห็นสวรรค์น้อยหรือมาก หรือเจอปาฏิหาริย์มากหรือน้อย ลองว่าใจท่านศรัทธาจริง มองทุกอย่างตามความจริงที่มันเป็น และไม่ไปผูกติดกับมันจนเกินไป (ปล่อยวางน่ะครับ) มองอย่างกลางๆ มันก็สั่นคลอนอะไรท่านไม่ได้หรอก เช่นเดียวกับทุกปัญหา หากมองมันโดยไม่เอาอารมณ์ความชอบไปผูกติด มันก็ทำอะไรท่านไม่ได้เช่นกันครับ

ออกจากการบรรยายธรรมดีกว่า (ต้องเข้าใจครับ ช่วงนี้ชีวิตมีอะไรพลิกผันบ่อยๆ) ตัวหนังก็นับว่าเหมาะกับคนที่สนหนังแนวสืบสวนปนเรื่องเหนือธรรมชาติบวกสยองนะครับ ดูได้แต่อย่างคาดหวังเกินไป เพราะมันเหมือนจะดีในตอนแรกครับ มาตอนท้ายดันพร่อง จุดที่ดีจริงๆ คือ Christopher Walken ที่แหละที่ทำให้หนังน่าดูขึ้น อีกอย่างที่เสียดายคือปมตอนแรกที่ว่าไป พวกปมเทวดา มาร สวรรค์ที่ผมว่ามันรีบเฉลยน่ะ ดันไม่ค่อยมีผลกับตอนจบเท่าไหร่ด้วย เล่นเปิดมายิ่งใหญ่แต่ลงเอยเป็น The Exorcist ไปดื้อๆ

แต่ขอบ่นนิดนึงช่วงนั้นมีเหมือนกันเจอคนบ่นว่าหนังไรวะ ไม่มันส์เลย โธ่ หนังมันซ่อนปมไม่ใช่แอ๊คชั่น ถ้าพี่อยากเห็นเกเบรียลออกแอ๊คชั่นกรุณาไปดู Van Helsing เลยครับ พี่เกเบรียลแกโหนเป็นสไปเดอร์แมนเลยไอ้ครึ่งท้ายน่ะ

หนังสืบสวนที่พอดูได้ครับ ถ้าชอบแนวนี้แนะนำให้ลองซักคำ แต่ถ้าไม่ชอบแนวสืบ แนวตามปมก็ผ่านไปได้ครับ ไม่ว่าอะไร

สองดาวพอได้ครับ

Star21

(6.5/10)