รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

The Devil Wears Prada (2006) นางมารสวมปราด้า

prada_00

ช่วงนี้ชีวีวุ่นวายดีแท้เลยครับท่านทั้งหลาย เหนื่อยนิดมีอะไรให้คิดตลอด จนแทบจะห่างเหินจากโรงหนังไปเลย จริงๆ ได้ไปดู Click มาด้วยครับ แต่ก็ไม่มีเวลาร่ายเขียนอย่างตอนก่อน ไม่รู้ทำไมชีวิตมันวุ่นวายขนาดนี้

รู้แค่ “ชีวิต” มันไม่เคยง่ายดายซักกะที

จริงๆ ผมร่ายบ่นๆ นะ ไม่รู้มันมาลงเอยเข้ากับเรื่องหนังได้ไง แต่มันก็เป็นนิยามสั้นๆ ของหนังเรื่องนี้ได้เหมือนกัน

สำหรับ Prada เรื่องนี้เล็งไว้นานแล้วว่ายังไงต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ต้องเจียดเวลาไปดูให้ได้ เพราะเอาแค่ชื่อดาราก็เกินพอครับ ป้า Meryl Streep นี่ระดับไหนแล้วล่ะ เล่นเรื่องไหนวิ่งเล่นบนเวทีออสการ์ทุกที แล้วยังมี Anne Hathaway สุดน่ารักสุดปลื้มของผมอีก แค่นี้ก็ไม่ดูไม่ได้แล้วล่ะครับ และแนวทางของเรื่องราวมันยังเข้าทางอีก เพราะมันเกี่ยวกับชีวิตของคนที่เดินตามความฝันของตนเอง แล้วก็ต้องเผชิญอุปสรรคขวากหนาม จนในที่สุดตอนท้ายเธอก็ได้เรียนรู้ถึงอะไรบางอย่าง ได้รู้ทั้งเรื่องของตนเอง เรื่องของงาน และทางเดินของชีวิต

ที่บอกว่าเข้าทางเพราะหนังอีหรอบนี้ ตัวละครเอกมักต้องได้เรียนรู้อะไรบางอย่างครับ และเมื่อเธอได้เรียนรู้อะไร ไอ้คนดูอย่างเราๆ นี่แหละก็จะได้ประโยชน์ ได้เรียนรู้ผ่านทางชีวิตของเธอไปด้วย จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ว่าคนทำจะทำหนังออกมาได้ดีแค่ไหน อร่อยลื่นเลิศรสหรือไม่

และกับเรื่องนี้ต้องบอกว่า โคตรอร่อยเลยครับท่านทั้งหลาย เป็นหนังชีวิตสุดมันส์แห่งปีจริงๆ นี่ผมไม่ได้พูดเล่นนะ เอ้า มาว่ากันเลยครับ

Prada เป็นเรื่องของแอนดี้ แซคส์ (Anne Hathaway) สาวน้อยที่ตั้งใจว่าซักวันเธอจะได้ไปทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์พวกคอลัมน์นิสต์อะไรทำนองนั้นนะครับ แต่การจะไปสู่ความฝันนั้น ก็ต้องผ่านความลำบากก่อนเป็นธรรมดา นั่นคือเธอต้องมาทำงานเป็นผู้ช่วยของมิแรนด้า พรีสลี่ย์ (Meryl Streep) บก. นิตยสาร Runway นิตยสารแฟชั่นชื่อดังได้รับความนิยมมหาศาลและทรงอิทธิพลสุดๆ ในวงการแฟชั่น ซึ่งก็แน่ล่ะว่างานที่แอนดี้ทำมันต้องหนักหนาไม่ใช่ย่อย

ไอ้งานหนักน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ปัญหาใหญ่มันมาจากมิแรนด้า เจ้านายจอมเรื่องมากระดับนางมารนี่แหละครับ ที่แอนดี้ต้องฝ่าฟันทนสู้ แม้จะโดนเล่นงานหรืออะไรมากมายแค่ไหน เธอก็ต้องฝืนทนเพื่อความสำเร็จและอนาคตในภายภาคหน้า

แต่ทว่า กว่าเธอจะไปถึงวันนั้น เธอจะยังคงเป็นแอนดี้ แซคส์คนเดิมอยู่ … หรือจะกลายเป็นมิแรนด้า พริสลี่ย์คนต่อไป

ดังนั้นถ้าอยากรู้บทลงเอย ก็ไปดูหนังกันเร้วๆ อิอิอิ (อย่าจริงจังกับอีโมไอค่อนผมเลยนะครับ เอาขำๆ เผอิญอารมณ์ดีกระทันหัน)

prada_02

ก็เป็นธรรมเนียมแล้วอ้ะนะครับ เรื่องไหนที่ผมบอกว่าดีหรือเห็นว่าควรดูอย่างยิ่งผมก็จะเอามาบอกตั้งแต่เนิ่นๆ เลย เผื่อคนไม่อยากอ่านยาวจะได้รู้ไวๆ หรือบางคนอาจกลัวสปอยล์จะได้อ่านแค่นี้แล้วผ่านไปเลยไม่ต้องอ่านข้างล่าง เพราะมีแนวโน้มจะสปอยล์สูงมาก แต่ที่สปอยล์นี่เพราะอยากพูดนะครับ ก็หนังมันมีอะไรน่าพูดถึงอยู่มากเหลือเกิน และเป็นในแง่ดีๆ ทั้งนั้นเลยด้วย แต่ไว้เราจะว่ากันทีหลัง เอาเป็นว่านี่คือหนังดีในดวงใจอันดับต้นๆ แห่งปีเลยล่ะครับ เป็นหนังชีวิตที่ดูสนุก มีความฮาแทรกอยู่ตลอด ดาราเล่นดีมาก ทุกส่วนผสมกันลงตัว สาระในเรื่องก็จัดว่าเยอะครับ เยอะจริงๆ มีอะไรบ้างเดี๋ยวอ่านต่อไปก็จะรู้เองแหละครับ ในความเป็นจริงผมก็อยากให้ท่านอ่านนะครับ เพราะแม้มันจะสปอยล์ แต่เอาเข้าจริงๆ ผมว่าท่านน่าจะเดาเรื่องราวออกอยู่แล้วล่ะ แนวทางมันชัดอ้ะ คนตามหาความฝันและพอถึงจุดหนึ่งก็ต้องเลือกระหว่างอนาคตดีแต่ชีวิตส่วนตัวอาจเสียหาย กับเลือกชีวิตที่สวยงามกับอนาคตที่ไม่แน่นอน แค่นี้ก็คงรู้แล้วล่ะครับว่ามันจะมาอีท่าไหน

ดังนั้นผมเลยอยากให้ลองอ่านแล้วหากท่านเข้าไปดูก็ลองไปเก็บรายละเอียดอีกที แล้วเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรแล้วค่อยมาว่ากันแตกแขนงความคิดคุยกันอย่างสร้างสรรค์ให้มันงอกเงยอะไรทำนองนั้น

เอาล่ะบ่นมามาก เสียพื้นที่เยอะ เข้ามาที่หนังเลยนะครับ

อ้า ใช่ ผมคงอคติในแง่บวกกับหนังครับเพราะผมชอบดังนั้นรู้ไว้ก่อนนะครับว่ามันอาจลำเอียงบ้างก็ได้ โอเค เริ่มนะครับ เรามาเริ่มที่ข้อเสียของหนังกันดีกว่า … คือ … ….

… คืองี้ครับ ผมหาไม่เจออ้ะ

(ลำเอียงโคตรๆ ไอ้หมื่นงวดนี้)

แต่โดยรวมๆ มันจริงนะครับ คือมันอาจจะมีจุดด้อย มันต้องมีน่ะ แต่ด้วยความดีความลื่นของหนังและอะไรต่างๆ มันลื่นปรื้ดจริงๆ มันเลยบดบังข้อด้อยของหนังไปซะเกือบหมด … อืมม์ แล้วมันดียังไง เด็ดตรงไหน มาครับ ได้เวลาเล่าแล้ว

จุดแรกเลยคือหนังเดินเรื่องอย่างฉับไว ฉับไว ณ. ที่นี้ไม่ใช่ฉับไวธรรมดา แต่ฉับไวแบบดูแล้วแทบจะเหนื่อยตาม เพราะมันเดินเรื่องไวมากๆ ครับ แต่ผมบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่การเดินเรื่องที่ไวเกินไป … เป็นที่ทราบกันว่าหนังหลายๆ แนวเดินเรื่องไวเกินไปย่อมทำให้อารมณ์หนังสะดุดลง เช่นหนังชีวิตหรือหนังรักบางแนวหากเดินเรื่องไวเกินไป เราก็จะไม่สามรถซึมซับซึ่งอารมณ์ของตัวละครได้เลย ทำให้พอเราดูหนังจบก็รู้สึกเพียงผิวเผิน ไม่สามารถลึกซึ้งไปกับเรื่องราวได้ ทำให้จริงๆ แล้วการเดินเรื่องอย่างฉับไวน่าจะเป็นข้อเสียตัวฉกาจของหนังซักเรื่อง เพราะจะทำให้หนังเรื่องนั้นๆ ขาดความลึกซึ้ง และทำให้คนดูไม่อิน

แต่กับเรื่องนี้ ประเด็นที่ว่ากลายมาเป็นจุดเด่นที่ต้องปรบมือครับ

เพราะมันทำให้เราทั้งอินและเข้าถึงอารมณ์ตัวละครทั้งหมดในเรื่อง

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ สถานที่เกิดเหตุทั้งหมดก็คือ วงการแฟชั่น พูดแค่นี้คงพอจะนึกออกนะครับ มันต้องไว เอาแค่ตอนดูคนเดินแบบก็น่าจะเก็ทแล้วครับ ตัดต่อพึ่บพั่บ เปลี่ยนมุมกล้อง มีซูมมีถอย เหมือนสื่อถึงการเคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวาอยู่ตลอดทุกย่างก้าว มี Move อยู่เสมอในวงการนี้ และหนังก็ทำสำเร็จในการพาเราเข้าไปสู่โลกที่ว่าครับ เพราะโลกในหนังมันต้องว่องไวเหมือนต้องหมุนตามกระแสโลกให้ทัน ทำให้ทุกตัวละครก็พลอยต้องวิ่งตามกระแสทั้งหลายไปด้วย

และที่ทำงานของแอนดี้คืออะไรครับ? คือนิตยสารแฟชั่นใช่มั้ยฮะ ดังนั้นก็เลยต้องวิ่งตามทุกอย่างเกาะติดกระแสแบบไม่ปล่อย เพราะหากจะไปช้ากว่าใครนี่ไม่ได้เลย เอาแค่สาวๆ แถวสยามที่ต้องตามกระแสแฟชั่นให้ทันนี่ก็ต้องตามแบบนาทีต่อนาที เหล่านิตยสารทั้งหลายก็ต้องเกาะติดแบบวินาทีต่อวินาทีไปเลยเชียวล่ะ มันต้องเร็วกว่าผู้บริโภค เพราะถ้าช้ากว่าย่อมหมายความถึงหนังสือเตรียมขายไม่ออกเช่นกัน

กล่าวให้ชัดคือต้องว่องครับ เราเลยจะเห็นภาพพนักงานบริษัททำสิ่งต่างๆ อย่างเร่งรีบ และเราจะได้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อแอนดี้ก้าวเข้าไปในโลกที่ว่า เพราะเธอก็เหมือนคนดูน่ะครับ ยังไม่รู้จักโลกนี่เท่าไหร่ แต่พอก้าวเข้าไปนี่ยังกะเดินเข้าม้าหมุนอ้ะ คนรอบข้างทำอะไรเร็วด่วนไปหมด และดูเหมือนทุกคนจะไม่มีใครใส่ใจใคร ไม่มีใครมีเวลาให้ผู้มาใหม่ทั้งสิ้น เพราะทุกคนต้องเอาตัวให้รอดเป็นอันดับแรก

ดังนั้นตอนดูแรกๆ ก็เหนื่อยนะ คือหนังมันไวจริงๆ ผมก็เลยพลอยรู้สึกเหมือนแอนดี้ครับ ดูแบบอึ้งๆ จะว่าตลกก็ใช่น่ะครับ มันจะไวมันจะเร่งอะไรขนาดนั้น ดังนั้นจะว่ามันเสียดสีก็พอได้อ้ะครับ เฮ่อ อย่าว่าแต่งานแฟชั่นเลย งานอื่นๆ หลายอันมันก็แบบนี้ไม่ใช่เร้อะ ต้องเร่งรีบ ทำเพื่อตัวเอง ทำๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เข้าไป โดยส่วนตัวผมเห็นว่ามันเสียดสีวงการธุรกิจทั้งหลายเลยล่ะครับไม่ใช่จำกัดวงแค่แฟชั่นหรอก แต่ไว้ค่อยมาว่ากันอีกทีนะครับ เป็นเรื่องๆ ไป

สรุปคือหนังมันฉับไว แล้วมันทำให้เราเข้าถึงเลยครับ ให้สัมผัสเลยว่าโลกที่ฉับไวน่ะมันเป็นอย่างไร มันอิน แล้วในหนังมันเดินไปแบบไม่หยุดยั้งอยู่พักหนึ่งครับ เพราะแอนดี้ต้องวิ่งตามโลกนี้ให้ทัน เราเองก็ยังกะวิ่งตามเธอไป ทำงานต้องเร็วๆๆๆๆๆๆ มิแรนด้าก็ใช้งานๆๆๆ เธอต้องไปซื้อของโน่นนี่ และอะไรอีกสารพัด ดูไปก็สงสารเลยล่ะ

และพอถึงจุดที่พอตัวละครเริ่มล้า คนดูที่ดูไปก็อดล้าตามไม่ได้ เพราะหนังเร่งอารมณ์คนดูตลอด ไม่ว่าจะด้วยภาพ เพลง มุมกล้อง และเรื่องราว

อีแบบนี้ผมถือว่าหนังทำสำเร็จครับ

prada_07

นี่ไงฮะ ผมถึงบอกว่าเป็นหนังชีวิตสุดมันส์ เพราะมันเป็นแนวชีวิตมั้ย? ก็ใช่อ้ะจริงมั้ยครับ แม้จะมีความฮาตีคู่ แต่เอาเข้าจริงๆ มันก็คือหนังชีวิตเชิงเสียดสีทำนองนั้นน่ะเอง แต่นี่ไม่ใช่แนวชีวิตที่อืดยืด ไม่น่าเบื่อ ไม่ได้ชวนซึ้ง มันเป็นหนังชีวิตที่ฉับไว สนุกสนาน เต็มไปด้วยบทพูดคมๆ แง่คิดเจ๋งๆ และสาระดีๆ ดูไปมันมันส์จริงๆ

นอกจากการเดินเรื่องรวดเร็วที่น่าชื่นชมแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็ถึงเครื่องครับ ไม่ว่าจะเครื่องแต่งกายที่สุดยอด คัดกันมาจริงๆ ทีมคอสตูมสุดยอดเหลือเกิน เสื้อผ้าหน้าผมตัวละครนี่เฉียบจริงๆ ครับ ดูแล้วมันล้ำแฟชั่นดีมากๆ เอาแค่ชุดเจ๊มิแรนด้าก็สุดๆ แล้วครับ แต่ละอัน หรือแม้แต่ตัวแอนดี้เองก็ตาม ตอนเฉิ่มก็เฉิ่มจริงๆ ครับ แต่พอแต่งสวยนี่เด็ดทุกเม็ด แล้วผมว่าชุดแต่ละอันมันบ่งบอกตัวเธอและพัฒนาการของตัวละครนี้อยู่เหมือนกันนะ อย่างตอนแรกๆ ที่เธอพยายามแต่งเอาใจมิแรนด้า มันจะสวย ล้ำ เฉี่ยว แต่ยังไม่ใช่เธอครับ มันเหมือนเธอทำไปแค่เอาใจนายจ้าง แต่พอหนังดำเนินไป ชุดที่เธอใส่มันก็จะเข้ากับเธอ เป็นตัวเธอมากขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้จากมีฉากหนึ่งครับ ที่เธฮพูดกับ ไนเจล (Stanley Tucci) เพื่อนที่ทำงานของเธอว่า “ฉันชอบชุดนี้จัง” นั่นก็บอกว่าเธอเริ่มเปลี่ยนไปแล้วล่ะครับ จากแต่งตัวไม่เป็นกลายเป็นเริ่มรู้แฟชั่น และรู้ว่าเธอเหมาะกับอะไร และชุดตอนท้ายที่เธอใส่ในปารีส ผมว่ามันเป็นชุดที่เหมาะกับเธอที่สุดจริงๆ (ขนาดไนเจลยังออกปากเลยล่ะครับ)

พูดถึงจุดนี้ผมว่ามันก็เป็นรายละเอียดที่น่าคิดเหมือนกันนะ เกี่ยวกับตัวแอนดี้เองนี่แหละ แต่เอาไว้พูดตอนท้ายครับ นี่เป็นส่วนสาระที่ผมเก็บได้ ไว้ว่าอีกที

เอาล่ะ เครื่องแต่งกายดี โลเกชั่นก็คัดมายอดสุดๆ ไอ้ตอนต้นนี่ผมว่าเหมาะเลยนะครับ สภาพบ้านของแอนดี้แล้วก็บ้านของมิแรนด้า มันบ่งบอกตัวตนเธอได้อ้ะ ในขณะที่ฉากตอนท้ายที่เรื่องไปสรุปกันที่ปารีส ก็โคตรสวยแบบโคตรๆๆๆๆ อ้ะท่าน แมร่งสวยจริงๆ วิวดี ยิ่งไอ้ฉากที่แอนดี้ไปเดินกับคริสเตียน (Simon Baker) นักเขียนหนุ่มเจ้าสำอางค์ที่มาจีบเธอนั่น บรรยากาศสุดยอด (ฉากนี้หนุ่มๆ ทุกคนน่าจะคิดเหมือนผมอ้ะ ถ้าได้ไปเดินกับแฟนในที่สวยๆ แบบนั้นล่ะได้เป็นสุขจนเกินจะกล่าวแน่ๆ)

แต่ที่เฉียบจนต้องปรบมือราวๆ ห้าสิบครั้งติดๆ กันก็คือ ดนตรีและเพลงประกอบ มันยอดดดดดดดดดดดดดดดดดด มากกกกกกกกกกกกกกกกก มันเกินไปอ้ะท่าน เพลงเพราะมาก แล้วดนตรีก็สุดยอด น่าหาซาวน์แทร็คมาเก็บอ้ะครับ ผมไม่ได้เจอหนังเรื่องไหนซาวน์แทร็คฉกาจฉกรรจ์แบบนี้มานานพอตัวแล้วนะ (ไม่นับหนังที่เจตนาเป็นหนังขายเพลงนะครับ) คอมโพเซอร์ผู้สร้างสรรค์งานนี้คือ Theodore Shapiro ซึ่งผมไม่เคยคุ้นเท่าไหร่ครับ แต่นับจากนี้ผมคงต้องจับตามองชื่อนี้ดีๆ เพราะดูท่าว่าจะตีคู่มากับพี่ Teddy ของผมแหงมๆ ไอ้เรื่องดนตรีเร้าอารมณ์ระดับเซียนเนี่ย แล้วดนตรีมันผสมทั้งอารมณ์แฟชั่น (สไตล์ประมาณเพลงเดินแบบอ้ะครับ ตึ่งๆๆๆๆ) บวกด้วยเพลงแบบหนังชีวิตตลก บวกด้วยอารมณ์ของฉากนั้นๆ อีก เอาเป็นว่าไปลองฟังกันดูครับ เชื่อเถอะว่าน่าจะติดหูท่านแน่ๆ

prada_10

เนี่ยครับ มันดีหมดอ้ะ ดนตรีดี เพลงดี โลเกชั่น ฉาก บทพูด การแสดง เสื้อผ้า ลีลาการเดินเรื่อง โทนสีก็มีผลครับ บางฉากสว่างแต่ความหมายมันไม่ได้สว่าง (อย่างทุกทีที่คริสเตียนเข้ามาใกล้แอนดี้เงี้ย) บางฉากภาพออกมืดๆ มีแสงเพียงริบหรี่รำไร แต่ความหมายไม่ใช่ว่าไร้ซึ่งความหวัง (อย่างทุกทีที่เน็ท แฟนของแอนดี้โผล่เข้ามาในฉาก)

น่าคิดนะ น่าคิดจริงๆ

ตกลงมันดีหมดอ้ะพี่ คือผมไม่ได้บอกว่าหนังไม่มีจุดเสียนะ แต่ผมมองไม่เห็นเองน่ะครับ ถ้าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้สมบูรณ์ล่ะไม่ใช่หรอกครับ มันยังไม่สุดๆ แต่ผมว่าข้อดีมันเต็มเปี่ยมจริงๆ คุณภาพคับแก้ว และนั่นคือส่วนของตัวหนังนะฮะ มันไปกันได้หมด อารมณ์พอเหมาะ ลงตัวจริงๆ

prada_011

เอาล่ะคัรบร่ายไปแล้วว่ามันดียังไง ชอบยังไง แต่ยังไม่หมดครับ เรายังไม่ได้เข้าถึงส่วนเรื่องราวเลย เอาล่ะไม่อยากทราบก้ตามเคยครับเลื่อนลงไปอ่านดาวตามสะดวก ก็บอกได้ว่าดูแล้วได้อะไรเยอะจริงๆ แบบที่ระยะหลังๆ นี่ไม่ค่อยเจอหนังอะไรขนาดนี้มานานแล้ว (หมายถึงหนังระดับเมเจอร์แบบนี้นะครับ เพราะพวกหนังเล็กๆ หนังอาร์ทน่ะมันก็มีประจำแหละ สาระเยอะแต่ทุนน้อยน่ะ) และมันทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น เพราะสาระมันมองได้หลายมุม ไม่ใช่เพียงด้านเดียว

ถ้าเริ่มจากมุมง่ายๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการสู้ชีวิตนั่นแหละครับ การที่สาวน้อยคนหนึ่งต้องฝ่าฟันเพื่อเดินทางไปสู่ความฝันของตัวเอง แล้วก็มักจะต้องมัอุปสรรคทุกที เหมือนคนเฒ่าคนแก่ชอบบอกว่ายิ่งเราเดินถูกทางมากมารผจญก็ยิ่งมาก หรือยิ่งใกล้ความสำเร็จเท่าไหร่ก็มีปัญหาเยอะเท่านั้น ก็เป็นการพูดเพื่อให้กำลังใจ บอกเราอย่าให้ย่อท้อน่ะแหละ ซึ่งมันก็คงจะจริงในระดับหนึ่งล่ะฮะ คนมากมายที่กว่าจะมีวันนี้ กว่าจะได้มีชื่อเสียงหรือฐานะส่วนมากก็ต้องก่อร่างสร้างตัวมาจากความไม่มีอะไรอยู่ดี พูดง่ายๆ คืออยากมั่งมีก็ต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นธรรมดา

หรือแม้แต่คนที่มีฐานะอยู่แล้วก็เถอะ ใช่ว่าจะสบายซะทีเดียวเมื่อไหร่ล่ะครับ อย่างพ่อแม่มีเงินมีทองมากองให้ แต่เอาเข้าจริงก็ต้องมานั่งหาทางพิทักษ์รักษาซึ่งทรัพย์สินที่บิดรมารดาให้มา บางคนก็มีชื่อเสียงมีเกียรติอะไรอีก ก็ถ้าไม่คิดจะรักษาหรือหาเพิ่ม ซักวันมันก็ต้องร่อยหร่อและหมดไปตามลำดับ

เฮ่อ สรุปว่าถ้าเกี่ยวกับความสำเร็จ ชื่อเสียง หรือเงินทองล่ะก็คงต้องมีคำว่าลำบากมาเจือปนไม่มากก็น้อย

แต่ในรายของแอนดี้อาจจะซวยมากหน่อยครับ เพราะเจอของแข็ง ดันมาเจอเจ้านายจอมเรื่องมากที่ทำว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เลยเจออุปสรรคขนานใหญ่เข้าให้จนปวดหัวไปซะตั้งครึ่งค่อนเรื่อง ทั้งโดนด่าโดนสั่งและใช้งานเยี่ยงทาส ถ้าเป็นคนอื่นแต่แรกล่ะคงบอกศาลายื่นใบลาออกไปนานแล้ว

แต่แอนดี้ไม่ใช่คนแบบนั้นครับ จริงๆ ก็เกือบอำลาเหมือนกันแหละ แต่เพราะด้วยแรงฮึดและได้กำลังใจ (แบบกึ่งประชด) จากไนเจล เธอเลยลองซักตั้งจนในที่สุดมิแรนด้ายังหันมายอมรับในตัวเธอ

ไอ้ตรงนี้มันก็ได้อะไรมาเหมือนกันนะ นั่นคือการปรับตัวเข้ากับที่ทำงาน แน่นอนครับคนส่วนมากเข้าที่ทำงานใหม่มันจะสบายที่ไหนล่ะ มันย่อมต้องมีจุดที่ยังไม่ชินหรือคนที่ยังเข้าด้วยไม่ได้ หรือการยังไม่เข้าใจในเนื้องาน และทุกครั้งที่เกิดปัญหาทำนองนี้ท่านมีทางเลือกหลักสองทางคือ จะทำให้มันได้ หรือไม่ทำมันก็ได้ เหมือนเวลาเราย้ายเข้าบ้านใหม่ วันแรกมาข้าวของมันต้องระเกะระกะ ไม่รู้กล่องไหนขนอะไรมาบ้าง มันก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ เพื่อแกะกล่องเอาของมาวางตามส่วนต่างๆ บางทีวางแล้วไม่เหมาะก็ต้องหาที่วางใหม่ให้มันเหมาะ เอาเข้าจริงๆ ย้ายบ้านมากกว่าจะลงล็อคก็ไม่ใช่จะทำได้ในวันสองวันและเช่นเดียวกัน การจะทำงานใดซักอย่าง แค่อาทิตย์หนึ่งมันยังสรุปผลลงเอยไม่ได้หรอก และยิ่งถ้าเราไม่ได้เต็มที่กับมัน ไม่ได้พยายามอย่างสุดฝีมือ แล้วจะบอกว่า “ทำไม่ได้” มันก็ไม่ใคร่จะถูกต้องนักหรอกนะครับ

และแอนดี้ของเราก็เลยตั้งหลักปักหมุดใหม่ เอาวะลองซักที ลองเปลี่ยนตัวเอง จากยายเพิ้งเป็นสาวสวยตามแฟชั่น ลองศึกษาและตามงานจนแม่นแยำ และผลที่ได้ก็คือแม้แต่มิแรนด้าจอมเฮี้ยบยังมองแบบเหลียวหลัง

ดังนั้นในเบื้องต้นมันได้ครับ แง่คิดง่ายๆ เรื่องการทำงานหรือการปรับตัวเข้ากับงานใหม่ ที่แม้เราๆ จะรู้กันอยู่แล้วแต่ก็ลืมมันอยู่ร่ำไป

ลองดูลองสู้ต่อไปครับ ไม่งั้นเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าความสามารถของเราน่ะมันจะไปได้ถึงขั้นไหน บางคนถอดใจยอมแพ้ก็เลยไปไม่ไกล เอาแต่คิดอย่างเดียวไม่ทำอะไร แต่บางคนสู้ยิบตาต่อไปจนได้อะไรกลับมาอย่างที่ใจตั้งเป้าไว้

ความฝันกับความจริงมันต่างกันแค่เพียง “การลงมือทำ” เท่านั้นเองแหละครับ

prada_11

แล้วพอจบมุมแรกแล้ว มุมที่สองก็ตามมาอย่างรวดเร็ว เมื่อแอนดี้เป็นภาพของคนที่กำลังไต่ไปสู่ความฝันแล้ว มิแรนด้าก็คือตัวแทนของคนที่ไปสู่จัดสูงสุดแห่งความฝัน

ในเรื่องเราจะได้พบเห็นว่ามิแรนด้านั้นเป็น Working Woman + Woman on the Top จริงๆ ครับ คือเธอทำงานแบบละเอียดรู้งานยิบ มั่นใจในตัวเอง คุมงานธุรกิจได้อยู่หมัด เรียกว่าเรื่องเชิงธุรกิจการงานของเธอล่ะไม่มีใครกินเธอลง แม้จะเขี้ยวลากดินแค่ไหน แต่เธอก็สามารถเขี้ยวยิ่งกว่าตอกหน้ากลับไปได้ มิหนำซ้ำยังมีหน้ามีตา ทุกคนในวงการแฟชั่นเวลาจะทำอะไรทีก็ต้องมองสีหน้าเธอ ส่วนเรื่องทรัพย์สินเงินมองล่ะไม่ต้องพูดถึงครับเอาแค่ชุดที่ใส่นี่ก็ไมรู้กี่หมื่นกี่แสนเหรียญแล้ว กล่าวคือเรื่องทางวัตถุ ทางชื่อเสียงเธอไปถึงจุดที่เหนือสุดๆ แล้วจริงๆ

แต่ก็เหมือนตลกร้ายครับ ใครไปสู่จุดสูงสุดของเรื่องทำนองนี้ มักจะต้องแลกมาซึ่งความสุขบางอย่างในชีวิตเสมอ อย่างที่ไนเจลบอกกับแอนดี้ว่า “ถ้าชีวิตส่วนตัวเธอพังเมื่อไหร่ล่ะบอกด้วยนะ เพราะนั่นแปลว่าเธอกำลังจะได้เลื่อนขั้นแล้ว”

ชีวิตของมิแรนด้าเองก็น่าจะเดาได้นะครับ ครอบครัวไม่ได้สุขสันต์เจอหน้ากันด้วยรอยยิ้มตลอดหรอก แล้วดีไม่ดีนอกจากแอนดี้ที่จริงใจต่อเธอแล้ว คนรอบตัวเธอดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจห่วงใยเธออย่างจริงจังซักคนเดียว

ยิ่งสูงยิ่งหนาว … จำกัดความได้สั้นๆ เลยครับ

ดูแล้วก็มีคำถามนะ ว่าเราได้เงินไปมากๆ มันสุขจริงเหรอ ได้ดังมากๆ มันดีจริงเหรอ มันได้มาโดยที่ไม่เสียอะไรเลยจริงๆ เหรอ และที่สำคัญที่สุด เราต้องการความสุขแบบนั้นจริงๆ เหรอ?

เรื่องแบบนี้พูดยากครับ ผมก็เคยเจอนะ คุยๆ กัน มีทั้งคนที่เห็นว่าความสุขพวกนี้เป็นเรื่องปลอมๆ ไม่ยั่งยืน แต่ก็มีคนอีกมากหลายต้องการมันเพราะเห็นว่ามันคือความสำเร็จ ทำให้ตนเองมีคุณค่าในสังคม ทำให้มีฐานะและที่ยืนในสังคม ถ้าพูดให้เปรียบก็คงประมาณจอกศักด์สิทธิ์ล่ะมั้งครับ ประมาณว่าต้องได้มาแม้ว่าจะเสียอะไรก็เถอะ แต่ถ้าได้มาฉันจะเป็นอมตะ

… อมตะจริงเหรอครับ สุดท้ายก็เห็นเป็นอาหารหนอนกันทุกรายไป เงินทองเหลือใช้ก็เอาไปไม่ได้

แต่ถ้ามองแบบสองอย่างที่ว่ามันอาจจะสุดโต่งเกินไปล่ะครับ เพราะเอาเข้าจริงเงินทองน่ะมันต้องใช้หากเรายังอยู่ในโลกนี้ ยังอยู่ในสังคมนี้อยู่ อยู่โดยไม่มีน่ะคงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นหากลองหาทางประนีประนอมให้ได้ทั้งเงินและชื่อโดยที่ไม่เสียความสุขส่วนตัวไปน่ะ มันน่าจะเข้าท่ากว่านะครับ คือจะหาเงินจะทำงานไปก็ไม่ว่าอะไร แต่อย่างน้อยเห็นใจคนรอบตัวบ้าง ใส่ใจคนที่บ้านบ้าง

เพราะจะว่าไป หากเราแก่ตัวไปอายุ 70 มีเงินถุงเงินถัง แต่เชื่อเถอะ เอาเข้าจริงเราไม่ได้ต้องการวัตถุหรอกครับ เราต้องการแค่ใครซักคนมานั่งคุยนั่งฟังเราตอนเราชราภาพ เราไม่อยากจะอยู่คนเดียวหรอก

และเท่าที่รู้มา รู้สึกว่าเงินมันจะพูดไม่ได้ครับ ดังนั้นมีเยอะแค่ไหนก็คุยกะเราตอนแก่ไม่ได้ หรือแม้จะซื้อหาจ้างคนมาคุยกับเราก็เถอะ แต่เงินมันซื้อได้เฉพาะคนครับ มันซื้อความเข้าใจไม่ได้หรอก แบบนั้นได้คนมาคุยก็ไม่ต่างจากนกแก้วนกขุนทอง เพราะจะสักแต่พูด ไม่ได้เข้าใจเราซักนิดเดียว

ดังนั้น ถนอมคนที่เข้าใจท่าน รักท่าน ห่วงใยท่านไว้ซักหน่อยก็ดีนะครับ หากคิดในแง่ดีหน่อยก็คือเพื่อให้เขาได้สบายใจ ให้เขาได้มีความสุขร่วมกับเรา ได้ก้าวเดินไปพร้อมเรา หรือหากคิดในแง่เห็นแก่ตัวหน่อยก็คือ เหลือคนที่เข้าใจเราจริงๆ ไว้คุยตอนแก่ตัวลงบ้าง

เพราะถ้าแก่ตัวลงแล้วสุขภาพกายดีอย่างเดียว แต่สุขภาพจิตดันแย่ ผมว่ามันก็ไม่ใคร่จะดีเท่าไหร่หรอกว่ามั้ยครับ

prada_14

และในบทสรุปของเรื่อง (เอ้ยๆๆๆ ปอยล์เว้ย ปอยล์ เว้ย ไม่อยากรู้หลบไปเร็วเว้ย 5555) ทางเลือกที่แอนดี้เห็น สิ่งที่เธอสัมผัสและเข้าใจคือ เธอกำลังจะกลายเป็นมิแรนด้าคนต่อไปครับ ตั้งแต่การฮึดงานจนไม่มีเวลาให้ เน็ท คนรักของเธอ จนเพื่อนๆ ตีจาก และเธอก็เริ่มมีการเหยียบบ่าเพื่อนร่วมงานไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น แม้เธอจะไม่ได้ตั้งใจแต่มันก็เป็นในทำนองนั้นแหละครับ และคำว่าไม่ได้ตั้งใจนี่แหละที่สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้ในต่อไปภายหน้าครับ เช่นครั้งนี้ไม่ได้ตั้งใจที่จะเหยียบบ่าใคร พอครั้งต่อไปถ้ามีอีกเธอก็สามารถบอกตัวเองได้อีกว่ามันจำเป็นต้องทำ แต่เธอไม่ได้ตั้งใจ และหากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เธอก็จะเห็นการเหยียบบ่าคนอื่นเป็นเรื่องปกติที่จำเป็นในกระบวนการก้าวสู่ความสำเร็จของเธอ

.. คำว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจ” นั้น บางที่เราก็ใช้บอกตัวเอง และบางทีเราก็ใช้หลอกตัวเองได้เหมือนกัน

นั่นแหละครับ พอถึงตอนท้ายพอถึงจุดเปลี่ยนที่เธอต้องเลือกว่าจะเดินตามรอยมิแรนด้าต่อไป หรือจะหยุดตรงนี้และกลับไปสู่ชีวิตที่ไม่รวยแต่มีความสุขแบบที่เธอต้องการ เธอจะเอาแบบไหนผมคงไม่ต้องบอกหรอกนะครับ

ส่วนในโลกความจริง เราอาจไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ครับ ผมว่ามันน่าจะพอมีทางนะ ทางที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ และขณะเดียวกันก็ไม่เสียความสุขในชีวิตไปด้วย แต่เราต้องรู้ตัวเองครับ ต้องตระหนักรู้ตัว สำรวจใจตัวเองอยู่เสมอ เปรียบใจเหมือนกระจก หากมีจุดหมองมัวก็ต้องมานั่งขัดถูให้มันสว่างกระจ่างชัด อย่าปล่อยให้ใจเรามัวครับ เพราะมันจะนำเราไปสู่ “มัวเมา” ได้ไม่ยากเย็น

จงเป็นนายของอารมณ์ จงเป็นนายของความสำเร็จครับ อย่าให้มันมาเป็นนายเรา อย่าให้มันมาสั่งเราว่าควรมีเวลาให้ครอบครัวแค่นี้พอ เพราะเราเกิดมาหนึ่งชาติ ก็มีเวลาให้ครอบครัวหรือคนที่เรารักได้เพียงหนึ่งชีวิตเท่านั้น หากหมดแล้วก็หมดกัน ชาติหน้าต่อไปใครจะไปจำได้ อีกอย่างถ้าชาตินี้ทำให้ดีไม่ได้ จะไปหวังชาติหน้าหาพระแสงอะไร

แหม … ผมว่าประเด็นมันเจ๋งพอๆ กับ Click เลยล่ะครับดีจังช่วงนี้ได้ดูหนังทำนองนี้เยอะดี ชอบๆ

ฮ่า ครับ ตกลงมันมีสองมุมแล้วนะ มองให้สู้ก็ได้ จะมองให้คิดก็ได้ และสำหรับผม ผมมองในมุมหลังหนักสุด นั่นคือมองให้ปลงครับ ปลงว่าโลกนี้มันวุ่นวายเป็นวังวนตลอด เหมือนเวลาเราไปให้อาหารปลาตามวัด แล้วพอเราโยนเศษขนมปังลงไปก็มีปลานับร้อยเข้ามาพัวพันตอดอาหารกันยั้วเยี้ย มันเบียดเสียดกันแก่งแย่งไล่กินอาหาร เอาตัวชนกันบางก็เจ็บบ้างก็เซ

เราเองก็คิดว่าเป็นสัตว์ประเสริฐเหนือกว่าพวกปลานั่น แต่เอาเข้าจริงเศษขนมปังก็ไม่ต่างจากเงินทอง เกียรติยศที่มีคนโปรยลงมาหรอกครับ แล้วเราก็ไปไล่งับไล่ชิง เดินเหยียบบ่าคนอื่นบ้าง หาทางปีนป่ายบ้าง … เอาเข้าจริงมันก็ครือๆ กันน่ะแหละ เพียงแต่เหตุผลจของคนเรามันสวยหรูมากกว่า และปลาพวกนั้นมันก็เถียงคนอย่างเราๆ ไม่ได้ด้วย เพราะพูดกันไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

อย่าลืมสำรวจตนเองครับว่ากำลังเป็นปลาอยู่หรือเปล่า ผมสรุปบอกได้แค่นี้

prada_15

นี่แหละครับหนังเรื่องนี้ จะมองให้สู้ก็ได้ จะมองให้มันปลงก็ได้ แล้วแต่คนละเลือกมองครับ ผมถึงมองว่ามันได้หมดนะ ท่านจะมองแบบไหนก็สุดแท้แต่ แต่มันชวนให้ท่านมองได้ทั้งสองด้าน และนี่คือเป็นเหตุหลักที่ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้ด้วยน่ะครับ มันหลากหลาย มองแบบไหนแล้วแต่เราจะอยากรับรู้อย่างไร แต่มันน่าคิดทุกมุมมองจริงๆ

ในเรื่องของดารานั้น มันก้เหนือจะกล่าวอยู่แล้วล่ะครับ คนที่เด่นสุดๆ หนีไม่พ้นสองตัวนำหลัก ซึ่งตีคู่กันมาอย่างดี อันนี้ผมก็อดทึ่ง Anne Hathaway ไม่ได้นะ คือเธอตีคู่ไปกับ Meryl Streep ถือว่าไม่ธรรมดานะครับ ความเด่นและส่วนต่างๆ มันลงล็อคกันมาก ซึ่งก็ต้องชมเรื่องบทและการกำกับด้วย แต่ถึงยังไงก็เหอะ ถ้า Hathaway ไม่แน่หนังคงไม่ลงตัวขนาดนี้หรอกครับ

Hathaway ดูเหมาะโคตรๆ กับบทแอนดี้นะฮะ จะว่าไปแนวทางก็เหมือนๆ ใน The Princess Diaries น่ะแหละครบั เปิดมาดูโทรมๆ แต่งตัวไม่เป็น แต่พอเช้งนี่สุดยอด และน่ารักมากๆ ไม่เปลี่ยนแปลง ไอ้พวกหน้าตลกนี่ยอมรับว่าเธอทำได้จริงๆ ครับ หรือตอนอ้อนนี่ก็สุดตีน อย่างตอนอ้อนกับแฟนหนุ่มในห้องแล้วก็ถามว่าชอบชุดมั้ย โอ้ย แม่เจ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา คือใครไม่หลงเสน่ห์หรือไม่ให้อภัยเธอก็เกินไปล่ะครับ และเธอยังทำให้ตัวละครตัวนี้มีมิติ ไม่ได้ฮาอย่างเดียว คือมีทั้งอารมณ์ความรู้สึก มีอ่อนแอและเข้มแข็ง อย่างตอนเจอหน้าเจ้าคริสเตียนนั่นก็แสดงชัดออกมาเลยครับว่ากำลังสับสนและปลื้มชายคนนี้อยู่

แต่จุดที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับตัวแอนดี้คือ เธอรู้ตัวเองอยู่เกือบตลอด อย่างที่มิแรนด้าว่านั่นแหละครับว่าที่จ้างเธอเพราะเะอไม่เหมือนใคร เธอไม่ใช่แม่สาวไซส์ 4 ที่เอาแต่ตามแฟชั่นและไร้ความคิด ไม่ใช่คนยอมแพ้และเหนืออื่นใดคือเธอไม่หลงระเริงไปกับอะไรง่ายๆ … โอเค ช่วงที่หลงน่ะมีครับ แต่เธอก็มีสติเพียงพอที่จะดึงตัวเองกลับมาทัน อย่างการแต่งกายที่ผมเกริ่นไปข้างต้นนะฮะ ตอนแรกเธอก็พยายามตามแฟชั่น แต่พอทำๆ ไปเธอก็เริ่มมิกซ์แอนด์แมทช์ในแบบของตัวเองขึ้นมา คือเธอไม่ได้ดูแห่เฮโลตามกระแสแบบสาวคนอื่นๆ ครับ ที่พอเห็นชุดนี้แล้วเขาฮิตกันก็ตามใส่ แต่กับแอนดี้เธอใส่เพราะเธอชอบและเห็นว่าเหมาะกับตนเอง และเธอไม่ตามแบบใครด้วย มันเลยทำให้ผมเชื่อในการตัดสินใจของเธอไงครับ เมื่อเธอรู้ว่าตนกำลังหลงทาง ก็เลยรีบดึงตัวเองกลับมาอย่างเร็วที่สุด

คนแบบนี้น่าเอาใจช่วยครับ สำหรับผมน่ะนะ และใช่ครับ เธอสวยน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก คนบ้าอะไรฟะ ขาวสวยหน้าใส ดูมีเลือดฝาดได้ปานฉะนั้น (จริงๆ อยากแสดงอาการปลื้มมากกว่านี้ครับ แต่อาจโดนบางคนกระทืบได้หากอ่านเจอ 555)

prada_01

แต่แน่นอนครับ แม้ Hathaway จะแสดงได้ดี แต่หากหนังเรื่องนี้ไม่มี Meryl Streep ความยอดเยี่ยมต้องหายไปกว่าครึ่ง โอย รายนี้เจ้าแม่จริงๆ ครับ เล่นเรื่องไหนหายห่วง ในเรื่องนี่ใช่อ้ะ คือผมเคยมองบทมิแรนด้านะครับ แล้วนึกภาพว่าใครเหมาะจะเล่นบ้าง ก็มีหน้าป้าแกเด้งขึ้นมาพร้อมๆ กับ Glenn Close แต่พอมานึกๆ ผมว่าป้า Meryl เหมาะกว่ามาก เพราะถ้าพูดถึงแววตาเย็นชาแบบจิกล่ะต้องเจ้านี้ครับ ในขณะที่ ป้า Glenn จะออกแนวดุมากกว่า และก็นั่นครับ เธอทำให้มิแรนด้าเป็นตัวละครที่ทั้งร้าย ทั้งน่าหมั่นไส้ และน่าสงสารได้หมด และยังทำให้ฮาได้ด้วย เอาแค่ตอนมองแอนดี้หลังจากแปลงโฉมใหม่แบบเหลียวหลังนี่ก็สุดตีนแล้วอ้ะครับ เนียนมากๆ

และจุดที่ยอดเยี่ยมคือ ป้าแกทำได้ ที่ทำให้ตัวละครมิแรนด้า มีมิติความลึกอย่างมากมาย เพราะหากสังเกตดีๆ จะพบว่าตัวละครนี้ไม่ได้มีแค่พฤติกรรมร้ายเท่านั้นครับ แต่ยังมีจุดเด่นอีกหลายอย่าง และจุดเด่นแต่ละอย่างนี่ทำให้ผมเชื่อเลยว่าผู้หญิงแบบมิแรนด้า พรีสต์ลีย์คนนี้เป็นหญิงแกร่งนักทำงานอย่างแท้จริง กล่าวคือหากท่านจะเป็นหนึ่งในเรื่องเชิงธุรกิจหรืองาน ท่านก็ต้องมีลักษณะเหล่านี้เอาไว้บ้าง

ไม่ว่าจะความเด็ดขาด เฉียบคม พูดตรงไม่อ้อมค้อม พูดอย่างไรก็อย่างนั้น หูตากว้างขวาง รู้จักเช็คข่าว ตามโลกให้ทัน รู้เรื่องที่ตนทำงานอย่างลึกซึ้งและจริงจัง รู้จักเก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ ไม่เผยไต๋ก่อนเวลาอันควร และเหนืออื่นใดคือ สังเกตคนรอบข้างกับทุกอย่างรอบตัวแบบไม่มีขาดตก

จุดนี้เป็นจุดที่ผมว่าเป็นหนึ่งในจุดดีที่มิแรนด้าเคยมีตอนยังสาวนะครับ คือในเรื่องเราจะเห็นว่ามิแรนด้าว่าคนตรงจุด ด่าคนโดนที่ใจแบบจี้ใจดำ และถ้าดูแววตาเธอจะพบว่าเธอมองทุกคนสังเกตอาการตลอด คือถ้าตอนเธอสาวๆ เธอคงใส่ใจคนอื่นมากล่ะครับ แต่พอทำงานมากๆ เหยียบบ่าคนมากๆ จากการเอาใจใส่ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นการสังเกตเพื่อประโยชน์ของตน จะว่าเป็นวิวัฒนาการเพื่อการอยู่รอดก็ได้น่ะครับ หากจะอยู่รอดในวงการนี้ก็ต้องปรับจากการเอาใจใส่ มาเป็นการใส่ใจแต่ไม่ใช่เพื่อเป็นห่วงใครนอกจากเอาใจใส่และเข้าใจคน เพื่อเอาข้อมูลเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์แก่ตนเอง

และผมว่าเธอคงมองเห็นตัวเธอตอนสาวๆ ในตัวแอนดี้ล่ะครับ เธอเลยรู้สึกสะดุดตาสาวคนนี้เป็นพิเศษ และหากสังเกตดีๆ เธอยังแสดงความอ่อนโยนกับอ่อนแอให้แอนดี้ให้ในหลายๆ ครั้ง

ก็แหงล่ะครับ เราย่อมแสดงความเป็นตัวเองได้อย่างเปิดเผยที่สุด ตอนได้คุยกับคนที่มีลักษณะบางอย่างคล้ายกับเรา

 

แต่จุดที่ต่างกันของเธอกับแอนดี้ ไม่ใช่แค่เรื่องอายุ แต่เป็นตรงการตัดสินใจ ดังนั้นหนทางอนาคตของแอนดี้กับมิแรนด้าจึงเดินไปคนละเส้นทาง

ฉากที่เล่นเอาผมน้ำตาซึมเห็นทีจะหนีไม่พ้นตอนจบ ที่แอนดี้โบกมือให้มิแรนด้าขณะกำลังจะขึ้นรถ แต่มิแรนด้าก็ทำเป็นไม่สนใจรีบก้าวฉับๆ ขึ้นรถไป แอนดี้ก็เลยเดินต่อทำท่าประมารณว่า “ว่าแล้วล่ะ ว่าเธอต้องไม่ทักเราตอบ” แต่ตอนนั้นลึกๆ แอนดี้ก็รู้สึกว่ามิแรนด้าไม่ได้ไม่สนใจเธอหรอก แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะมิแรนด้าเมื่ออยู่ในรถ เธอก็มองแอนดี้ที่เดินไปตามถนน หรืออีกนัยหนึ่ง มองคนที่เหมือนเธอตอนสาวๆ กำลังเดินตามทางที่เธอเลือกเอง … แล้วมิแรนด้าก็ยิ้ม

ได้เห็นคนสองคน เข้าใจกัน แม้จะไม่ได้พูดกัน … มันบอกไม่ถูกจริงๆ และผมก็น้ำตาซึมเอาจริงๆ ด้วยครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เห็นทีต้องไปสำรวจตัวเองแล้ว แต่บอกได้ว่ามันกินใจในความรู้สึกผมจริงๆ

บอกได้อีกอย่างว่าสองคนนี้ เล่นได้ดีเหนือจะกล่าวจริงๆ พาคนดูไปได้ครบทุกอารมณ์ ไม่ว่าจะฮา ชีวิต เศร้า หรือซึ้ง … หนังแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ ครับ

ส่วนดาราสมทบก็ช่วยเพิ่มสีมันอย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะ Emily Blunt ในบทเอมิลี่ ผู้ช่วยเบอร์หนึ่งของมิแรนด้าที่ตัวสั่นงันงกทุกทีที่เจ้านายมางานก่อนเวลา รายนี้ก็ฮาได้มากครับ จริงๆ ผมว่าตัวละครนี้ยังสามารถเล่นอะไรได้อีกไม่น้อย แต่เอาเข้าใจหากมากกว่านี้มันก็จะไม่กลมกล่อมครับ ประมาณนี้แหละเหมาะแล้ว แต่ในรายที่พอดีพอเหมาะต้องยกให้ Stanley Tucci โคตรฮาครับ ท่าทางมาดเนี๊ยบเฉียบนิ้ง ในบทไนเจล ที่ไปๆ มาๆ กลายเป็นคนเดียวที่คอยให้กำลังใจแอนดี้ตลอด ซึ่งมันก็บ่งบอกอยู่ล่ะครับว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนที่พยายามจะไต่บันไดดาวเพื่อความสำเร็จ และในบางครั้งก็ต้องมีการหลอกตัวเองเพื่อก้าวเดินในธุรกิจนี้ต่อไป (ดังที่เห็นในตอนจบน่ะครับ)

แล้วก็ยังมีอีกสองหนุ่ม รายแรกคือ Adrian Grenier พระเอกจาก Drive me Crazy ที่มาเป็นเน็ท แฟนหนุ่มของแอนดี้ ว่าตามจริงผมว่าท่าทางแกเหมาะดีแหละครับ แต่บทและการแสดงอาจจะชืดไปบ้าง ยังไม่จี๊ดน่ะ แต่ก็ดีครับ ผมว่าเขาเข้ากับ Hathaway ได้ไม่เลว ส่วน Simon Baker ในบทคริสเตียนนั้นก็ต้องบอกว่าเท่ห์ เจ้าเสน่ห์สมบทมากๆ สาวใดไม่ตกหลุมรักเห็นทีจะยากล่ะครับ

นี่ก็เป็นงานกำกับของ David Frankel นะครับ รายนี้ทำหนังใหญ่น้อย ส่วนมากจะไปทำหนังทีวีมากกว่า อย่างบางตอนในปีหลังๆ ของ Sex and The City ส่วนหนังใหญ่ก็เคยทำ Miami Rhapsody หนังสไตล์ชีวิตบวกฮาบวกโรแมนติกที่ดูได้แบบเรื่อยๆ ครับ ไม่เด่นอะไรนัก แต่พอมาเรื่องนี้ต้องบอกว่าฝีมือแกเข้าฝักแล้วล่ะ ทำหนังได้ลื่นมาก สนุกและน่าติดตาม อีกทั้งหนังไม่ยาวเกินไปครับ แต่เต็มอิ่ม ไม่ต้องการมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ ดูแล้วจบออกมายิ้มได้ไม่เสียดายตังคื เพราะจะเอาความบันเทิงก็มี เอาสาระก็มี เอาอะไรมีให้หมดแม้แต่เพลงเพราะๆ ก็ยังมี

ผมอาจชอบหนังเรื่องนี้ออกหน้าออกตานะครับ แต่เชื่อเถอะ มันมีดีอ้ะ ไม่งั้นผมคงไม่พล่ามอะไรตั้งหลายหน้ากระดาษแบบนี้หรอก มีทั้งความสนุกและทุกอย่าง เอาเป็นว่าคุ้มค่าตั๋วแน่ๆ ครับ และผมคงต้องซื้อเก็บแน่ๆ นี่ยังอยากไปดูซ้ำเลยเนี่ย เพราะรู้สึกว่าหนังยังมีอะไรให้เราเก็บไปคิดได้อีกเยอะครับ … หมายถึงในกรณีที่ท่านอยากจะเก็บไปคิดน่ะนะครับ

คุ้มดีแบบนี้ ไม่ให้สามดาวคงไม่ได้แล้วล่ะครับ

Star31

(8/10)