บทสรุปของไตรภาค (แต่ยังไม่ใช่ตอนสุดท้าย) ของหนังชุดโจรสลัดที่ดังที่สุดในโลกน่ะนะครับ เมื่อเหล่าโจรสลัดที่นำโดย กัปตันเฮคเตอร์ บาร์บอสซ่า (Geoffrey Rush), วิลล์ เทอร์เนอร์ (Orlando Bloom) และ อลิซาเบธ สวอนน์ (Keira Knightley) ต้องเดินทางไปยังสุดขอบโลกเพื่อช่วยกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ (Johnny Depp) กลับมาจากโลกแห่งความตาย
แล้วจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ต้องผนึกกำลังกันรับมือกับลอร์ดคัตเลอร์ แบ็คเก็ตต์ (Tom Hollander) ตัวแทนแห่งบริษัท อีสต์ อินเดีย เทรดดิ้ง ที่หมายจะควบคุมทั้ง 7 คาบมหาสมุทรไว้ในกำมือ
ผมว่าภาคนี้เครื่องเยอะมากนะครับ ของน่าสนใจจัดว่าเยอะจนล้นเลยก็ว่าได้ เริ่มจากนักแสดงที่กลับมากันแบบครบทีม พร้อมตัวละครใหม่อย่างเซาเฟง (โจวเหวินฟะ) จอมโจรสลัดแห่งสิงคโปร์ แล้วก็หน้าเดิมอย่าง เดวี่ โจนส์ (Bill Nighy) ปีศาจเจ้าแห่งเรือฟลายอิ้ง ดัชแมน, ท่านข้าหลวงสวอนน์ (Jonathan Pryce) พ่อของอลิซาเบธ, บู๊ทสแตร็ป บิลล์ (Stellan Skarsgård) พ่อของวิลล์, ผู้การนอร์ริงตัน (Jack Davenport) ที่ยังรักปักใจในตัวอลิซาเบธไม่เสื่อมคลาย, พินเทล (Lee Arenberg) กับ เร็กเก็ตตี้ (Mackenzie Crook) คู่หูคู่ฮาโจรสลัดหลายนกหลายหัว, เทีย ดัลม่า (Naomie Harris) สตรีกลางสายน้ำที่เหมือนจะกุมความลับบางอย่างเอาไว้ และที่ขาดไม่ได้คือ ไอ้คุณกิ๊บส์ (Kevin McNally) มือขวาคู่ใจที่แสนซื่อสัตย์ของกัปตันแจ็ค
ตัวละครเยอะมากครับ เนื้อเรื่องก็เยอะพอกัน ไหนจะต้องไปช่วยกัปตันแจ็คกลับมา แล้วก็มาหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างพวกอีสต์ อินเดียน เทรดดิ้งกับเหล่าโจรสลัด และในตอนสุดท้ายทั้ง 2 ฝ่ายก็ต้องมาสู้กันกลางมหาสมุทรที่บ้าคลั่ง
อยากขอชมทีมงานครับ โดยเฉพาะผู้กำกับ Gore Verbinski ที่ยังเอาหนังเรื่องนี้อยู่ แม้จะไม่ถึงกับยอดเยี่ยมลงตัวมากๆ (เพราะเครื่องเยอะของแยะน่ะครับ จะพยายามยำขนาดไหนก็รวมเครื่องเป็นเนื้อเดียวไม่ไหวเหมือนกัน) แต่อย่างน้อยก็ยังดูสนุกและสามารถรักษาเนื้อเรื่องให้มีทิศทาง ทำให้มันมาขมวดปมกันได้
จะว่าไปเครื่องในหนังมันเยอะจนอาจดูเลอะ ตัวละครอาจมากจนแบ่งบทไม่ลง บางตัวละครก็บทน้อยแบบคาดไม่ถึงอย่างผู้การนอร์ริงตัน หรือสัตว์ประหลาดที่ผมชอบมากๆ จากภาคก่อนอย่างเจ้าคราเก้นก็โดนตัดบทออกไปแบบง่ายๆ หรือแม้แต่เซาเฟงที่เหมือนจะมีอะไรเยอะ แต่ไปๆ มาๆ บทก็น้อยเกินคาด แต่หากพิจารณาจากตัวละครล้นๆ และเนื้อเรื่องหลายพล็อตแล้ว ทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีแล้วล่ะครับ
โดยส่วนตัวผมชอบภาคนี้นะครับ ถ้าตัดเอาความรู้สึกว่า “มันล้น” ต่างๆ ออกไป แล้วดูแบบไม่คิดอะไรมาก ผมว่าภาคนี้มันส์ โม้ เว่อร์ เล่น Effect กันสะใจ แอ็กชัน ผจญภัยกันแบบสารพัดแนวทาง ฉากสู้กันตอนท้ายก็ยิ่งใหญ่อลังการสาแก่ใจดี ที่สำคัญคือหนังไม่มั่วครับ ยังพอดูรู้เรื่อง แม้บางอย่างอาจเล่าไวจนดูไม่ทัน โดยเฉพาะเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับเทีย ดัลม่า หรือปมระหว่างเทีย ดัลม่ากับเดวี่ โจนส์ที่เล่าเร็วเคลมเร็วจนอาจทำให้เรางงด่วน ไหนจะเรื่องคาลิปโซ่อีก ต้องฟังแบบเก็บรายละเอียดล่ะครับถึงจะพอเห็นภาพรวมทั้งหมดได้
การที่หนังเนื้อหาล้นแบบนี้ยังออกมาอร่อยได้ก็ด้วยของดีทั้งหลายนั่นแหละครับ ดาราก็เล่นได้ลื่นทุกคน แต่ละฉากที่ใส่ลงมาก็ล้วนเป็นฉากที่ “มีอะไรให้ติดตาม” เกือบทั้งหมด พวกฉากเยิ่นเย้อแทบไม่มีเลยครับ แต่ละฉากถ้าไม่อุดมไปด้วยแอ็กชันมันส์ๆ ก็ต้องมีประเด็นเนื้อเรื่องบอกเล่าลงไป พวกนี้จึงเป็นพลังที่สำคัญที่ทำให้หนังเพลินครับ
ที่ผมชอบอีกอย่างคือฉากน่าสนใจที่แสดงถึงจินตนาการของทีมงานครับ โดยเฉพาะฉากที่มีแจ็คเป็นสิบๆ คนหรือปูหินเหล่านั้น ช่างคิดจริงๆ ครับ ไหนจะฉากประจัญบานตอนท้ายอีก ถ้าคนทำมือไม่แม่นมันย่อมต้องออกมามั่วซั่วอย่างแรงครับแน่ๆ ครับ
เป็นภาคที่เขียนถึงลำบากดีครับ เพราะมันออกมาสนุก ผมดูแล้วชอบแต่ก็ยากจะบรรยายแบบเต็มๆ ว่าเราชอบเพราะอะไร บอกได้แค่ว่ามันดูเพลิน มันสนุกดี
Pirates of the Caribbean 3 ภาคแรกถือว่าเป็นอะไรที่ดูสนุกจริงๆ ครับ ยอมรับว่าพอเอามาเปิดดูต่อกันแล้ว มันอดไม่ได้ที่จะตามดูจนครบไตรภาค มันมีรายละเอียด มันมีความฮา มันมีตัวละครที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ อ้า ใช่ครับ ตัวละครนี่อาจเป็นอีกจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกชอบ เพราะทุกตัวไม่ว่าจะบทใหญ่บทเล็กก็จะมีความเด่นให้เราจำได้ มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง ขนาดตัวร้ายอย่างลอร์ดคัตเลอร์ แบ็กเก็ตต์ก็ยังดูองอาจ เท่ห์ อาจไม่ใช่ตัวร้ายระดับตำนานแต่ก็ถือเป็นตัวร้ายที่มีระดับ มีปัญญา และแผนสูงมากๆ คนหนึ่ง ฉากสุดท้ายของพี่แกเนี่ยเท่ห์ระดับเทพจริงๆ ครับ สรุปคือในหนังชุดนี้ (3 ภาคแรกนะครับ) ผมชอบทุกตัวละครและสนุกไปกับทุกคาแรคเตอร์จริงๆโดยเฉพาะแจ็คครับ ป๋า Depp แสดงได้สุดติ่งจริงๆ
อีกอย่างที่ผมนับถือคือการทำให้เรารู้สึกสนุกที่จะเอาใจช่วยเหล่าโจรสลัดที่แม้พวกเขาจะไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ในแง่หนึ่งพวกเขาก็ปล้นชิงตามมีตามเกิด ในขณะที่พวกอีสต์ อินเดีย เทรดดิ้งนั้นพยายามจะคุมทุกสิ่ง ครองทุกอย่าง และฆ่าทุกคนที่ขวางทาง ทั้งหมดก็เพื่อคำว่า “ธุรกิจ” ที่ไปๆ มาๆ แม้จะฟังดูดีกว่าคำว่าโจรสลัด แต่กลับโหดเหี้ยมน่ากลัวกว่ากันมาก เพราะพี่แกเล่นจะผูกขาดทุกอย่างมาไว้ในกำมือ
บางมุมของเรื่องก็จิกกัดคำว่า “ธุรกิจ” ได้เจ็บพอสมควรครับ เพราะทุกวันนี้การผูกขาดทางธุรกิจของนายทุนใหญ่ๆ ก็มีส่วนกระทบต่อโลกเหมือนกัน เชื่อว่าคนทำธุรกิจรายย่อยน่าจะเข้าใจความหมายและรสชาติของมันดีในระดับหนึ่งนะครับ
สรุปว่าภาคนี้มันส์ไม่ผิดหวัง แม้จะยาวตั้งเกือบ 3 ชั่วโมงแต่ก็อร่อยเพลินใช่เล่น
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Fantasy