ลุง John Carpenter ของผม ผู้ให้กำเนิด Halloween นั้นได้ตั้งใจที่จะจบเรื่องของไมเคิล ไมเยอร์สไว้ที่ภาคสองนะครับ แล้วเขาก็มีความคิดที่จะทำหนังแฟรนไชส์เรื่อง Halloween ต่อไป โดยเขาจะสร้างออกมาปีละหนึ่งตอน โดยแต่ละตอนก็จะเล่าเรื่องสยองของวันฮัลโลวีนต่างๆ กันไป และผลก็ออกมาเป็นอันนี้นี่แหละ
ดังนั้นเรื่องในตอนนี้ไม่เกี่ยวใดๆ กับไมเคิล, ลอรี่ สโตรด หรือดร.ลูมิสนะครับ มันขึ้นเรื่องใหม่เลย ซึ่งเป็นเรื่องของคุณหมอแดเนี่ยล ชาลิส (Tom Atkins) ที่รับคนไข้ชื่อแฮร์รี่ (Al Berry) ไว้ในความดูแล ซึ่งคนไข้รายนี้มีอาการคลุ้มคลั่งอย่างมาก และต่อมาไม่นานเขาก็โดนฆ่าตาย และไอ้คนที่ฆ่าเขาก็ดันมาถูกระเบิดตายต่อหน้าหมอชาลิสซะอีกด้วย
จากการสืบสวนทำให้แดเนี่ยลได้พบกับเอลลี่ (Stacy Nelkin) ลูกสาวของแฮร์รี่ ทั้งสองเลยร่วมมือกันค้นหาความจริง ก็พบว่าพ่อของเธอไปรู้อะไรที่ไม่ควรเข้า อันนำทั้งคู่ไปพบกับคอเนล คอชแรนน์ (Dan O’Herlihy) เจ้าของโรงงานผลิตหน้ากากรายใหญ่ ผู้ซึ่งมีแผนนรกกับหน้ากากที่เขาทำออกมาต้อนรับวันฮัลโลวีน
ร่วมด้วย Ralph Strait, Jadeen Barbor และ Bradley Schachter ในบทสามพ่อแม่ลุกกระกูลคัปเปอร์ผู้ตกเป็นเหยื่อของแผนนรกนี่โดยไม่รู้ตัว และ Michael Currie เป็นแรทเฟอร์ตี้ เจ้าของโรงแรมของเมืองซานตามิร่าที่ที่โรงงานตั้งอยู่
ครับ หนังใช้ชื่อแฟรนไชส์ของ Halloween ตามเจตนาของลุง John เขา ซึ่งในเรื่องก็มีการแซวหนังต้นฉบับด้วย ตอนที่แดเนี่ยลกำลังดื่มเหล้าในบาร์ เขาก็นั่งดูทีวี ซึ่งฉายโฆษณาหนังตัวอย่าง Halloween ภาคแรกไปด้วย แล้วช็อตถัดมาหากสังเกตดีๆ ท่านจะได้เห็นเงาของหน้ากากไมเคิลมาโผล่ตรงเคาน์เตอร์ของบาร์ด้วยนะครับ นอกจากนี้เสียงของโอเปอร์เรเตอร์ที่แดเนี่ยลโทรไปเมืองซาตามิร่านั้น ก็ไม่ใช่ใคร เป็นเสียงของ Jamie Lee Curtis นั่นเอง
ตัวหนังโดนบ่นแหลกครับ เพราะเนื้อหาอะไรมันไม่เกี่ยวกับหนังสองภาคก่อนนี่หน่า มันเป็นตำนานใหม่ ซึ่งรอบแรกที่ผมดูก็เฉยๆ นะครับ ออกจะหงุดหงิดด้วยว่าทำไมเป็นแบบนี้หว่า แต่พอมาดูอีกรอบโดยทำใจรับนิดนึงก็โอเคอ้ะ หนังมันก็พอดูได้ครับ สไตล์เรื่องราวเหมือนนิยายแนวสยองลึกลับของอเมริกาเขา ตรงที่เปิดเรื่องมาตัวเอกก็พัวพันกับเหตุลึกลับโดยไม่รู้ตัว แล้วเขาก็สืบจนพบความจริง แล้วในที่สุดเขาก็ต้องลงมือยับนั่งแผนนี้ด้วยตนเอง
หนังเขียนบทและกำกับโดย Tommy Lee Wallace (ที่มาทำหนังเรื่อง Stephen king’s IT ในเวลาต่อมาไงครับ) ซึ่งนี่เป็นงานเรื่องแรกของเขา อะไรๆ ก็ยังไม่ลงล็อคนักหรอกครับ แต่ความแหวะและความน่ากลัวก็พอมีบ้าง ช่วงต้นทำได้ดีครับ น่าสงสัยดี แต่พอกลางๆ มันอืดไปหน่อย จะมามันส์ก็ตอนท้ายนั่นแหละ แต่มันส์ที่ว่านี่ก็แค่พอสนุกขึ้นมาเท่านั้นล่ะครับ ไม่ได้ถึงกับช่วยหนังทั้งเรื่องหรอก
ดาราส่วนมากก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีครับ Atkins กับ Nelkin ก็โอเค แต่คนที่เด่นผมว่าเป็น O’Herlihy เจ้าของบทตัวร้ายของเรื่อง (เขาเล่น Robocop สองภาคแรกด้วยครับ ในบทเจ้าของบริษัท OCP) เขาดูเป็นชายชราใจดีครับ แต่ใบหน้าเขาจะแฝงอะไรบางอย่างไว้ ยิ้มก็ดูมีเลศนัยมากๆ ส่วนครอบครัวคัฟเฟอร์ก็น่าสงสารไม่น้อย ผิดคาดเหมือนกัน คือกะแล้วครับว่าต้องมีเรื่องกับครอบครัวนี้ แต่ไม่นึกว่ามันจะเป็นแบบเนี้ยน่ะสิ
หนังโดยรวมถ้าเราไม่เอามาตรฐาน Halloween ตอนก่อนๆ มาใช้หนังก็พอดูได้ครับ แต่ถ้าเทียบก็คงต้องบอกว่าหนังไม่สนุกเท่าเหล่า Halloween ที่มีพี่ไมเคิลมาเดินเล่นหรอก แม้ดนตรีของ John Carpenter กับ Alan Howarth จะยังให้บรรยากาศดีอยู่ก็ตาม
และเท่าที่ดูหนังก็พยายามเชื่อมเรื่องราวเข้ากับ Halloween ตอนก่อนเหมือนกัน เพราะชื่อของลัทธิที่คอชแรนน์บูชานั้น มันคือชื่อที่ถูกเขียนด้วยเลือดโดยไมเคิลในหนังภาค 2 นะครับ ก็ไม่แน่ว่าลุง John แกอาจจะคิดสร้างตำนานอะไรสักอย่างขึ้นมาก็ได้
แต่ทว่า แฟรนไชส์ที่ลุง John วางไว้ก็เป็นอันต้องพับเก็บเข้าที่ไป เพราะหนังภาคนี้รายได้ไม่ดีเท่าไหร่ (14.4 ล้านครับ น้อยกว่าสองภาคก่อนอย่างมาก) แต่ก็ไม่ถึงกับขาดทุนนะ เพราะหนังลงทุนแค่ 2.5 ล้านเอง แต่ยังงั้นก็เถอะ ทางผู้สร้างก็มองว่า การทำหนัง Halloween ที่ปราศจากพี่ไมเคิลย่อมไม่มีความคิดที่ดีแน่นอน ทำให้ภาคต่อมาพี่ไมเคิลเลยได้กลับมาอีกจนได้
ครับ กับภาคนี้ก็พอดูได้สำหรับคอหนังลึกลับสยองขวัญน่ะนะครับ อย่างน้อยฉากจบก็เขย่าขวัญดี แต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนครับว่ามันไม่ได้ดูเพลินตลอดหรอก มีช่วงน่าเบื่อด้วย ไม่น้อยเลยล่ะครับ นี่บอกให้เตรียมใจไว้ก่อนแล้วกันครับ
เกือบสองดาวน่ะครับ
(5/10)
++ ด้านล่างนี้คือรีวิวเพิ่มเติมที่ผมเขียนไว้ลงใน Movie Time ครับ ++
ภาคสามของ Halloween ถูกประกาศสร้างออกมาท่ามกลางความงง เพราะ Carpenter ให้สัมภาษณ์กับใครๆ ว่าไมเคิลตายแน่นอนในภาคสอง แล้วภาคสามมันจะออกมาอีท่าไหน นักดูหนังพากันสงสัยเป็นการใหญ่
แล้วคำตอบก็เฉลยครับ Carpenter กับ Hill แท็คทีมกันมาทำหนังเรื่องนี้พร้อมขอทุนจากสองผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ (Yablans กับ Akkad) เป็นจำนวนเงิน $2.5 ล้าน พวกเขาได้แนวคิดอยากจะทำหนังใหญ่ที่เป็นตอนเดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวกันแบบซีรี่ส์ The Twilight Zone กับ Night Gallery ดังนั้นเหตุการณ์ในหนัง Halloween III จึงไม่เกี่ยวกับภาคก่อนๆ เป็นตอนแยกออกมา ว่าด้วยเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับลัทธิปีศาจและแม่มด
ตัวเอกคือ คุณหมอแดเนี่ยล ชาลิส (Tom Atkins) ที่เจอเรื่องประหลาด เมื่อคนไข้เสียสติคนหนึ่งของเขาโดนฆ่าตายกลางโรงพยาบาล เขาก็เห็นเจ้าฆาตกรเลยวิ่งล่าไปหมายจะจับตัวมัน แต่มันก็ดันระเบิดตัวเองตายซะอีก คุณหมอก็เลยออกโรงสืบหาความจริง จนพบเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวกับโรงงานของเล่นที่อาจจะผลิตของอันตรายออกมา เพื่อสร้างฝันสยองนองเลือดในวันฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึงนี้ เขาก็ต้องขัดขวางตามสูตรล่ะครับ
หนังเหมือนตอนหนึ่งของ The Twilight Zone จริงๆ (ออกแนว The X-Files ด้วยน่ะครับ) ตัวเอกพบปริศนาเลยลองสืบ แล้วก็พบความจริงเหนือธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัว ครั้งนี้ Carpenter ยืนกรานให้ Wallace ทีมงานจอมขยันเจ้าเก่าลงมือกำกับและเขียนบทด้วยตัวเองเลยครับ ผลตอบรับนับว่าไม่ดีเอามากๆ ครับ โดนถล่มยับจากทั่วสารทิศ ตั้งแต่เหล่าสาวก Halloween ที่ด่าพร้อมถามว่า “ไมเคิลกรูอยู่ไหน” ตามด้วยการยกตำแหน่ง “หนัง Halloween ที่น่าผิดหวังที่สุด” ให้ไปครอง คอหนังสยองก็โก่งคอบอกเป็นเสียงเดียวว่าหนังไม่น่าติดตาม แม้ปมแม้พล็อตจะโอเค แต่มันเหมาะจะใช้เวลาเล่าแค่ 40 นาทีมากกว่าจะยืดตั้งชั่วโมงครึ่งแบบนี้
ส่วนรายได้ก็หยุดอยู่แถวๆ $14.4 ล้าน แม้จะไม่ขาดทุนแต่ชื่อเสียงแฟรนไชส์ชุด Halloween ก็โดนด่าซะพรุน จนเหล่าผู้สร้างพากันพับโปรเจคท์ที่เตรียมไว้กลับลงกล่องแทบไม่ทัน เพราะ Carpenter กับ Hill หมายมั่นไว้ว่าจะทำ Halloween ลักษณะแบบนี้ออกมาปีละหนึ่งเรื่อง ให้เป็นหนังประจำเทศกาลไปเลย แล้วแต่ละปีก็จะมีเรื่องสยองใหม่ๆ มานำเสนอ แต่ทำไงได้ครับ แค่งานแรกก็ล้มซะแล้ว ผู้สร้างอย่าง Yablans กับ Akkad เลยรีบชักเท้ากลับไม่อยากลงเงินไปเสี่ยงอีก เช่นเดียวกับ Carpenter ที่หันไปทำโปรเจคท์อื่นเช่นกัน
ตำนาน Halloween ทำท่าจะอวสานลงแค่สามภาคครับ แต่อะไรในโลกก็ไม่แน่นอน ยิ่งเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องผลประโยชน์นี่มองข้ามกันยาก … 6 ปีต่อมา ก็มีคนคิดจะปลุกชีพไมเคิลขึ้นมาอีกครั้ง …
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror