สารภาพแบบไม่รู้อายเลยนะครับ ว่าที่ผมอยากดูหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะแนวเรื่อง ไม่ใช่เพราะผู้กำกับหรือใครทั้งสิ้น ผมอยากดูเพราะนางเอกครับ
นางเอกคนที่ว่าเธอชื่อ Camilla Belle ซึ่งหลายท่านอาจไม่รู้จักครับ แต่เธอคนนี้ผ่านงานหนังมาหลายเรื่องแล้วตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ นะฮะ อย่างใน The Lost World: Jurassic Park เธอก็เล่นเป็นเด็กสาวที่โดนเจ้าไดโนเสาร์ตัวจิ๋วรุมโจมตีตอนต้นเรื่อง, เล่นเป็นลูกสาวพี่ Steven Seagal ใน The Patriot, เป็นแซนดร้า บูลล็อคตอนเด็กใน Practical Magic แล้วก็ยังโผล่ใน The Invisible Circus ก่อนจะประกบกับ Daniel Day-Lewis ใน The Ballad of Jack and Rose
ซึ่งน้อง Camilla นี่น่ารักหน้าคมมาตั้งแต่เด็กครับ จนตอนนี้เป็นสาวแล้ว และยังน่ารัก หน้าตาสวยวันสวยคืนอีกต่างหาก จนไปๆ มาๆ น้องเขาก็เริ่มเข้ามาอยู่ในทำเนียบคนน่ารักในใจผมจนได้ อิอิอิ
และเรื่องนี้เธอก็นำเดียวเป็นเรื่องแรก ซึ่งนำเดียวจริงๆ เพราะในเรื่องเธอต้องแสดงกะโทรศัพท์ตลอด
ส่วนเนื้อเรื่องนี่สั้นๆ เลยครับ น้อง Camilla ของผมรับบทจิลล์ จอห์นสัน สาวน้อยที่รับจ็อบเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับลูกของดร.แมนดาคิส (Derek de Lint) คุณหมอผู้ร่ำรวยซึ่งต้องไปร่วมงานเลี้ยงนอกบ้าน
ตอนแรกก็โอเคครับ จิลล์เฝ้าบ้านเฝ้าเด็กไปตามเรื่อง ไม่น่ายากนี่ครับงานนี้ อีกอย่างเด็กๆ ก็นอนหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่รอพ่อแม่เด็กกลับมาบ้านเท่านั้นเอง … แต่คืนที่ว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเมื่อจู่ๆ มีใครก็ไม่รู้โทรเข้ามาก่อกวนกับจิลล์อยู่ตลอด จนดูท่าว่าไอ้คนที่โทรมานี่ต้องมีเจตนาชั่วร้ายแน่ๆ
แล้วจิลล์จะทำอย่างไร ไอ้บ้านี่ต้องการอะไรกันแน่!!!! ตื่นเต้นเหลือเกิน
เฮ่อ … ให้ตายเถอะท่านผู้ชม แล้วผมก็ดูจนจบครับ ว่าตามจริงถ้าไม่ใช่เพราะน้อง Camilla ผมคงไม่เช่าดูตั้งแต่วันแรกๆ ที่มันออกหรอก เพราะจากเนื้อหามันตามสูตรอ้ะ เป็นแนวฆาตกรโรคจิตมาก่อกวนชีวิตพี่เลี้ยงเด็กคนหนึ่ง (Halloween ไงครับ) และเหตุเกิดในที่เดียวนั่นคือบ้านของคุณหมอแมนดาคิสที่ใหญ่ครับ ใหญ่มาก ซึ่งทั้งเรื่องมันก็วิ่งบ้างเดินบ้างในบ้านนี่แหละ
ดังนั้นกับคำถามที่ว่าแล้วหนังมันต่างจากพวก Halloween ตรงไหน คำตอบคือต่างครับ ต่างตรงที่มันไม่สนุกเท่าน่ะสิ
หนังมันลงล็อคจริงๆ นะครับ เปิดเรื่องมาแนะนำตัวละครนิดนึง ก่อนจะให้นางเอกเข้ามานั่งๆ นอนๆ ในบ้าน ตอนแรกก็ดูสงบดี แต่อยู่ๆ ไปเริ่มมีอะไรไม่น่าวางใจ ไอ้คนที่โทรมาก็โทรมาอยู่ได้ จนนางเอกต้องเดินสำรวจรอบบ้านครับ และตามสูตร ไอ้บ้านั่นมันจะซ่อน ไม่รู้ซ่อนหาพ่อหาแม่มันน่ะนะครับ เอ็งมาฆ่าเขาไม่ใช่เหรอ เอ็งจะรอดูฤกษ์เก้าโมงเก้านาทีหรืออย่างไร ปล่อยให้เจ๊แกเดินรอบบ้านนานสองนาน แต่ก็นั่นแหละครับว่าไม่ได้ ฆาตกรมันโรคจิตอ้ะ สงสัยชอบดูนางเอกตกใจครับ เลยให้นางเอกตกใจมากๆ ก่อนครับ เหมือนดูโชว์น่ะก่อนจะลงมือ และพอมันลงมือจริงๆ ก็อีกแล้วครับ นางเอกคนเดียวผู้หญิงตัวเล็กๆ มันก็ทำอะไรไม่ได้ ให้หนีบ้างล่ะ พลาดล้มเองบ้างล่ะ … เฮ้ย
ไอ้ไร้น้ำยา
เนี่ยครับมันลงสูตรจริงๆ ไม่มีอะไรพลิกความคาดหมายทั้งสิ้น หนังแนวนี้ชอบจบแบบไหนมันก็จบแบบนั้นครับ ไม่มีอะไรพลิกให้เราอึ้งให้เรางง สรุปคือเราเอาเวลาไปดู Halloween หรือ Scream ซ้ำอีกซักทีสองทีมันจะมีคุณค่ามากกว่านะครับ
จริงๆ หนังแนวนี้น่ะ ต้องทำสองสิ่งให้สำเร็จ อย่างแรกคือต้องทำให้คนดูเชื่อครับ เชื่อว่ามันเกิดได้ เชื่อว่ามันเป็นไปได้ และต้องทำให้คนดูกลัวชนิดที่เหมือนกับตัวเองไปอยู่ในหนังเองเลย นั่นมันต้องอย่างนั้น แล้วความลุ้นความตื่นเต้นมันจะไหลมาเทมาเอง ไม่ต้องห่วงหรอก
และหนังมันทำสำเร็จนะครับ … สำเร็จในฉากแรก 5 นาทีแรกของหนัง
คืออย่างนี้ครับ ตอนเปิดเรื่องมาหนังมันจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่พี่เลี้ยงเด็กโดนฆ่าในเมืองอื่นครับ เล่าเรื่องโดยฉายภาพให้เราเห็นงานในสวนสนุก แล้วก็มีเสียงครับ เสียงคุยโทรศัพท์ระหว่างพี่เลี้ยงกับฆาตกรให้เราได้ยินตลอดเป็นการอุ่นเครื่อง
จากนั้นหนังตัดมาเช้าครับ ตำรวจยกกองมาตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งฉากที่ได้ใจมากๆ คือตอนที่สารวัตรเดินมาดูสภาพศพในห้อง ปรากฎว่าหนังสามารถทำให้คนดูผวา ขนลุกโดยที่ไม่ได้เห็นศพ ไม่ได้เห็นเลือดแม้แต่หยดเดียว
แค่สารวัตรมองในห้อง แล้วเอามือปิดปากแบบอึ้งๆ กับดนตรีเครื่องสีที่ดังจนน่าขนลุก ซึ่งทั้งหมดนี้เล่นกับอารมณ์และจินตนาการของคนดูล้วนๆ
ก่อนจะตัดฉากต่อมา เป็นฉากที่เจ้าหน้าที่แบกถุงศพออกมา แล้วก็เป็นอีกครั้งที่แค่เห็นถุงศพเราก็พะอืดพะอมแล้ว
เพราะถุงศพมันบ่งบอกชัดเจนว่า สภาพศพต้องเป็นชิ้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะมันมีทั้งถุงใหญ่และถุงเล็กที่เล็กจนไม่น่าจะใส่ศพคนได้ … แสดงว่าในนั้นมันต้องเป็นชิ้นส่วน หรือแย่กว่านั้น … นั่นคือเด็ก!
ยอมรับครับว่าตอนแรกของหนังทำได้ดีมาก จนทำให้คนดูคิดไปเลยว่าไอ้ฆาตกรนี้ต้องวิปริตแหงมๆ และฆาตกรรายนี้ต้องน่ากลัวอย่างแน่นอน
แต่เอาเข้าจริง หนังอีก 80 กว่านาทีที่เหลือ (หนังแค่ 90 นาทีครับ) ความน่ากลัวกลับไม่ได้มากมายอะไรเลยครับ ไม่ว่าจะการที่ไอ้ฆาตกรนี่โทรมาเพื่อทำให้จิลล์กล้ว แต่มันไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวอ้ะ เหมือนแค่คนโรคจิตโทรมามากกว่า มันไม่เซ้นส์เลยว่าไอ้ฆาตกรนี้กำลังอยู่ใกล้ๆ ตัวจิลล์ แต่ที่เรารู้สึกว่าฆาตกรมันอยู่ในบ้านมันเนื่องมาจากคนดูอย่างเราๆ เดาได้มากกว่าครับ ดังนั้นจุดนี้นับว่าพร่องไปแล้วล่ะ เพราะคนดูเริ่มไม่เชื่อแล้วว่าไอ้ฆาตกรนี้อยู่ใกล้ตัวจิลล์ ทีนี้ความกดดันไม่ว่าจะทางไหนเลยไม่เกิดครับ เพราะดูๆ ไปมันเหมือนดูคนคุยกับโทรศัพท์โรคจิตมากกว่าที่จะคุยกับฆาตกรแบบใน Scream
พูดให้ชัดๆ คือ ตอนดูนี่แทบจะไม่รู้สึกน่ะครับว่าจิลล์กำลังอยู่ในอันตรายถึงชีวิต
ลองเป็นแบบนี้แล้วมันจะเหลืออะไรล่ะครับ เหมือนดูคนคุยโทรศัพท์โรคจิตกันมากกว่า ส่วนบรรยากาศในบ้านนั้นเห็นๆได้ชัดเลยว่าพยายามทำให้น่ากลัว เพราะบ้านหลังเท่าวังครับแต่ดันเปิดไฟเป็นหย่อมๆ โอเคตอนแรกๆ ที่จิลล์ไม่คิดว่มมีอันตรายเลยเปิดเป็นจุดๆ ก็พอเข้าใจ เป็นการประหยัดไฟที่ดีครับ ช่วยชาติ แต่ขอโทษเถอะเจ๊ ไอ้ตอนที่เจ๊เริ่มรู้ตัวว่ามีใครก็ไม่รู้อยู่ในบ้านน่ะ เจ๊เจือกเดินรอบบ้าน สำรวจตามจุดที่มืดๆ โดยไม่คิดจะเปิดไฟเลยเหรอครับ คือเจ๊ไม่เข้าใจเหรอครับว่ามุมมืดๆ น่ะอาจมีคนซ่อนอยู่ได้ เจ๊ไม่เปิดไฟหน่อยล่ะครับ ให้มันสว่างน่ะนะ แต่นี่มืดยังไงก็ให้มืดอย่างนั้น โธ่ๆๆๆ บอกตามตรงตอนดูนี่ถ้าผมทำได้ ผมวิ่งเข้าไปเปิดไฟให้เจ๊แกแล้ว กลัวชนโต๊ะจริงๆ
แล้วฉากที่ไม่นึกว่าจะมีก็ยังมีอีก นั่นคือ เจ๊เดินรอบบ้านโดยไม่ถืออาวุธ!
โอเค จริงๆ จิลล์เธอถือครับ ถือเหล็กเขี่ยตาผิงไว้ตอนเดินตรวจบ้าน ตอนแรกผมก็คิดว่า เออ ดี ฉลาดดีครับ รอบคอบมากนางเอกของผม แต่ซักพักพอถึงฉากหนึ่ง เกิดความผิดปกติขึ้น เธอเลยตกใจทำที่เขี่ยหล่น เราก็เอาล่ะเว้ย มันมีอะไรอยุ่ที่มุมนั้นของบ้าน ผมรู้ครับว่าเจ๊ต้องเดินไปดู
แต่เจ๊แกเจือกทิ้งที่เขี่ยไว้ตรงนั้นอ้ะ
คือ ผมอยากจะบอกว่าไอ้ที่เจ๊ถือมาตอนแรกน่ะดีแล้วครับ และจุดที่เจ๊กำลังจะเดินไปนั้นคือจุดที่เจ๊ควรจะถือไปด้วยที่สุดนะครับ แต่ดันไม่ถือ โธ่ๆๆๆ
ครับ ผมเข้าใจท่านอาจเห็นว่าเธอตกใจอ้ะ เลยทำอะไรไม่ถูก แต่ถ้าดูดีๆ จะเห็นว่าเธอมีสติตลอดนะครับ ผมเลยงงเหมือนกันว่าบทมันเขียนไม่ดีหรือเธอเล่นไม่ดีกันแน่ เพราะท่าทางที่จิลล์เป้นดูเป็นหญิงแกร่งครับ ไม่กลัวอะไรง่ายๆ เป็นนักวิ่งด้วยร่างกายเฟิร์มมาก แล้วพอจับได้ว่าแฟนนอกใจเธอก็เด็ดเดี่ยวอีก เออ หญิงแกร่งนะเนี่ย
แต่ตอนดูเหมือนเธอเดี๋ยวแกร่งเดี๋ยวแกร่งเดี๋ยวอ่อนอ้ะ บางคนอาจบอกว่าก็ผู้หญิงนี่หน่าต้องมีช่วงอ่อนแอบ้าง ผมก็ไม่เถียง แต่การอ่อนแอที่ว่านี่มันไม่ธรรมชาติอ้ะดิ มันเป็นการอ่อนแอที่พอดีกับจังหวะหนังเกินไป ถ้าดูบทดีๆ นี่จะพบว่าจิลล์เลือกที่จะอ่อนแอในฉากที่สามารถสร้างความลุ้นให้คนดูน่ะครับนึกออกมั้ยฮะ ถ้าฉากปกตินี่แข็งแกร่งดี แต่ฉากไหนที่ต้องให้นางเอกอ่อนแอก่อน หนังมันถึงลุ้น เจ๊แกก็จะดูอ่อนแอแบบสั่งได้ในทันที
สรุปตอนท้ายเลยกลายเป็นว่าจิลล์มีสองบุคลิกไปเลย และเป็นสองบุคลิกที่เกิดอย่างไม่แน่นอนอีกต่างหากเออ เอาเข้าไป
นี่ผมขี้บ่นมากไปนะเนี่ย รู้ตัวเลย
แต่ทำไงได้ครับ มันงั้นจริงๆ อ้ะ ส่วนความตื่นเต้นมันน้อยน่ะครับ สถานการณ์เดาได้ เรารู้เลยครับไว้ไอ้เสียงตึงตอนต้นมันต้องไม่ใช่ฆาตกรแน่ๆ เพราะฆาตกรไม่มีทางโผล่มาก่อนหนังจบเด็ดขาด เราเลยไม่รู้จะลุ้นอ้ะ แค่เห็นนางเอกเดินไปรอบๆ เท่านั้น
ส่วนตอนท้ายพอฆาตกรออกมาก็ไม่มีอะไรเกินคาดครับ วิ่งมาราธอนอย่างเดียวเลย แล้สวที่กะไว้ว่าฆาตกรต้องแน่ ปรากฎพี่แกกระจอกมากครับ ไม่ได้น่ากลัวเลย คือที่อุตส่าห์วาดฝันไว้ตอนต้นนี่มลายหายสิ้น คือนี่ถ้าผมไม่ได้ดูต้นเรื่องแล้วมาดูตอนจบเลยคงนึกว่าไอ้นี่เมาเหล้ามาจากร้านลาบข้างบ้านแล้วเดินผ่านมาขอเข้าห้องน้ำน่ะครับ พิษสงไม่ประทับใจเลยจริงๆ
ครับ นั่นแหละที่ผมคิด มันไม่มีอะไรใหม่ ถ้าท่านไม่เคยดูหนังแนวนี้มาเลยนะครับ แล้วลองดูอาจจะสนุก แต่ถ้าผ่านหนังอย่าง Halloween, Scream หรือศุกร์ 13 มาแล้วคงจะเฉยกับเรื่องนี้แน่ๆ
Camilla Belle สุดสวยของผมแสดงก็ดีอ้ะคับ แต่ยังขาดๆ บ้างไม่รู้เป็นที่บทหรืออะไรนะ ไอ้การอ่อนแอไร้ทางสู้แบบจงใจน่ะครับ แต่น่ารักครับ น่ารักมากๆ อยากจะบอกว่าถ้าท่านชอบเธอโปรดเตรียมรอดู The Quiet ได้เลยฮะ ในเรื่องนี่เธอมีเสน่ห์สุดๆ จริงๆ
ส่วนนักแสดงเจ้าอื่นก็เสมอตัว ไม่มีอะไรให้ชมหรือว่า เพราะหลักๆ ความเด่นมาอยู่ที่น้องนางเอกของผมคนเดียว
ผู้กำกับ Simon West ลงมือทำครับเรื่องนี้ พี่แกก็ผ่านงานอย่าง Con Air, The General’s Daughter และ Lara Croft: Tomb Raider กับเรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นงานที่อ่อนสุดน่ะแหละ จริงๆ ก็งงนะครับเพราะถ้าจะบอกว่าแกทำหนังเขย่าขวัญไม่ได้ก็ไม่ใช่น่ะฮะ เพราะอย่าง The General’s Daughter มันก็กดดันพอตัว แต่มาคิดอีกทีหนังแบบนี้ก็ทำยากน่ะ ไหนจะพื้นที่จำกัดแล้วปมก็โดนหนังเรื่องอื่นใช้ไปหมดแล้วด้วย ก็เข้าใจครับ แต่มันออกมายังไงต้องว่าอย่างนั้นน่ะนะครับ
หนังนั้นได้รีเมคมาจากหนังชื่อเดียวกันนี้มีปี 1979 ครับ ซึ่งโครงต่างๆ คล้ายกันมาก แต่ดูท่าว่าของเก่าจะดีกว่า ได้คำชมมากกว่าเยอะ แล้วยังมีการสร้างภาคต่อมาอีกในปี 1993 ซึ่งผมก็ยังไม่ได้ดูครับ แต่ถ้าดูจากตัวอย่างและคลิปกับภาพ ผมว่าของเก่าต้องสั่นประสาทดีกว่านี้แน่ๆ
ว่าคร่าวๆ คือ ถ้าท่านไม่เคยผ่านสังเวียนหนังสยองมาก่อน และตกใจง่ายก็ลองได้ครับ แต่ถ้าผ่านมาเยอะผมว่าก็ผ่านเรื่องนี้ไปก็ได้ไม่ว่ากัน
ออ กะอีกจำพวกหนึ่งที่ควรดูคือคนที่ชอบน้องนางเอกฮะ อันนี้ดูได้ เพราะต่อให้หนังไม่มีอะไรแค่ไหน แต่เราก็ยังแฮ้ปปี้ได้ จริงมั้ยพวกเรา
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Slasher Movies, Thrillers