ระดมโพสต์กันเลยนะครับ หนังสยองเก็บไว้ก่อน พักไว้หน่อยครับ ปีใหม่แล้วจะมาดูหนังสยองให้สะดุ้งจิตไปใย เอาหนังเริงรื่นชื่นใจมาดูกันดีกว่านะฮะ ผมก็จะเอาหนังคริสต์มาสมาว่าต่อไปน่ะแหละ แต่ช่วงนี้คงเอาแต่หนังธรรมดามาครับ ไว้พรุ่งนี้มะรืนนี้จะเอาหนังที่ท่านควรดูมาว่ากันบ้าง
ครับ มาอันนี้ก็ยังป้วนเปี้ยนเกี่ยวกับช่วงคริสต์มาสแม้จะไม่ได้เกี่ยวโดนตรง ไม่ได้มีซานตาคลอสก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์คริสต์มาสเหมือนกัน
อ้า ใช่ แล้วอย่าเอาชื่อไปสับสนกับหนังสยองเกรดบีที่ผมเคยเอาบ่นนะครับ คนละเรื่องอย่างร้ายแรง อันนั้นมันสยองแบบอะไรของมันก็ไม่ทราบ
เรื่องราวของ Jack Frost นี้นะครับ ก็ว่าด้วยพระเอกของเราที่ชื่อว่า แจ๊ค ฟร้อสท์นี่แหละ (Michael Keaton) เขามีภรรยาที่น่ารัก (Kelly Preston) แล้วก็ลูกชายทำกำลังโตอย่าง ชาร์ลี (Joseph Cross) แจ๊คนั้นเขามีอาชีพเป็นนักดนตรีเล่นตระเวนไปน่ะครับ เลยทำให้มีเวลาอยู่บ้านน้อยมาก จนลูกก็แทบจะน้อยใจพ่ออยู่แล้ว แต่เขาก็สัญญาครับว่าวันคริสต์มาสนี้เขาจะกลับมาอยู่กับสองแม่ลูกให้พร้อมหน้าพร้อมตา มานั่งทานอาหารและแกะของขวัญใต้ต้นคริสต์มาสกัน
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นครับ เมื่อแจ๊คประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างขับกลับบ้าน เขาเสียชีวิตทันที แต่ไม่รู้ว่าด้วยเพราะปาฏิหาริย์วันคริสต์มาสหรือสวรรค์ให้โอกาสเขา ทำให้เขาได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในร่างของตุ๊กตาหิมะ
แล้วเขาก็ตัดสินใจครับ แม้ตัวจะเป็นตุ๊กตาหิมะก็เถอะ แต่เขาก็หวังจะได้ใช้เวลาช่วงที่เหลืออยู่นี้กับลูกชายของเขา ก่อนจะต้องแยกจากกันไปตลอดกาล
… เนื้อเรื่องซึ้งนะครับ
คือบทหนังกับโครงเรื่องมันดีนะ มันนอนมาเลยล่ะครับว่านี่ต้องเป็นหนังอบอุ่นมากๆ แน่นอน แล้วผมนี่มันพวกแพ้ทางหนังพ่อๆ ลูกๆ ด้วย ก็เลยคิดว่ามันต้องออกมาดีล่ะครับ แล้วในใจก็แอบเชียร์หนังเรื่องนี้ด้วย หมายถึงตอนมันเข้าโรงน่ะนะครับ เพราะพี่ Keaton อดีตแบทแมนของผมพอหลังจากการอำลาบทแบทแมนมา ก็ไม่มีงานเด่นดังอีกเลย มาเรื่องนี้ก็อยากให้เขากลับมาล่ะครับ แล้วไหนจะนี่เป็นหนังของค่าย Warner Bros. ที่ปีที่มันฉายเนี่ยเป็นช่วงฉลอบงครบรอบ 75 ปีของบริษัทพอดี แต่เชื่อมั้ยครับ ปีที่ว่านี่หนังจากค่ายนี้เจ๊งเป็นว่าเล่น อย่าง The Avengers, Sphere หรือจะ The Postman กับ Mad City อีก โอย ผมล่ะเสียวเป็นบ้าเลยว่าพี่แกจะลากสังขารต่อไปไม่ไหวน่ะปีนั้นน่ะ แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ครับ
ทว่าหนังเรื่องนี้ก็ไม่ได้ดังหรอกนะครับ
สาเหตุที่ชัดเจนที่สุดก็หนีไม่พ้นว่า หนังไม่ได้ดีขนาดนั้นน่ะสิครับ
โอเค ผมเขียนเนื้อเรื่องให้อ่านข้างบน มันดีใช่มั้ยครับ ซึ่งมันก็จริงน่ะ บทดั้งเดิมที่พี่ Mark Steven Johnson ก็คือโครงเองหลักๆ ที่ผมว่านั่นแหละ มันดีครับ เอื้อให้คนดูกินใจจนอาจจะน้ำตาไหลในตอนท้าย (เพราะเราคงเดาตอนจบได้ใช่มั้ยครับ ว่าสุดท้ายแล้วแจ๊คจะต้องลงเอยอย่างไร เมื่อฤดูหนาวหมดไป) และพี่ Johnson ท่านนี้ผมก็ว่าเป็นคนมีฝีมือมากในงานหนังเชิงดราม่านะครับ อย่าง Grumpy Old Men ทั้งสองภาคแล้วก็ Simon Birch ด้วย (แม้ Daredevil จะไม่เด่นนัก แต่ก็พอทำเนาครับ)
แต่ดูท่าว่าบทที่น่าจะดีมันคงจะมาเป๋เมื่อโดนคนเขียนบทอีก 3 คนมาเกลาจนหนังมันออกมาเบาไปเลยครับ (เป็นเรื่องปกติของฮอลลีวู้ดอย่างหนึ่งครับ ยิ่งคนเขียนบทเยอะ มันจะยิ่งโหว่หนักขึ้น ) เพราะรายละเอียดต่างๆ กลับออกมาไม่ใคร่จะประทับใจนัก ออกมาธรรมดาน่ะครับ เหมือนเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่เร้าอารมณ์พอ ซึ่งก็เป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่งของหนังฟากโน้นเขาล่ะครับ เรื่องอารมณ์มันไม่หนักเท่าเอเซียเรา ยังบีบยังคั้นได้ไม่ถึง
ช่วงต้นเรื่องตามมาจนถึงกลางๆ ก็ไม่ค่อยเด่นน่ะครับ คืองาน Effect ผมว่าพอใช้นะ เพราะบางอย่างมันเหมือนกับดูหนังทีวียังไงก็ไม่รู้สิ อย่างตอนแจ๊คค่อยๆ กลับมาคืนร่างในตุ๊กตาหิมะครั้งแรกนั่น มันเหมือนกับถ่ายในสตูดิโอแบบชัดมากๆ ครับ ก็ไม่อยากจะว่าอะไรนัก ทุนสร้างมันราวๆ 50 ล้านครับ ได้ประมาณนี้ก็โอเคล่ะน่า แล้วจริงๆ ถ้าหนังมันชวนซึ้งแบบได้ผล พวกเรื่อง Effect เราคงพอจะมองข้ามไปได้ไม่ยากเย็น แต่เนื่องด้วยมันไม่ซึ้งเท่าที่ควร ดังนั้นอะไรๆ ที่โหว่ในหนังเราจึงสามารถเห็นได้ชัดเจนสุดๆ ล่ะครับ
แต่ถึงกระนั้น หนังก็ไม่ได้เลวร้ายนะครับ โปรดสังเกตว่าผมใช้คำว่าธรรมดา นั่นคือ ดูแบบเรื่อยๆ ดีฉากีดบ้าง ฉากเน่าบ้าง แต่ก็ดูได้ไม่ถึงกับเสียดายเงินทอง (ไม่รู้สิครับ ผมนึกๆ ดู ตอนดูเรื่องนี้ยังให้ความรู้สึกว่าหนังมันคุ้มกว่า Eragon ซะอีก) เพราะแม้มันจะธรรมดา แต่อย่างน้อยครับ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในหนังที่มันดีๆ และสื่อความหมายมันก็ยังพอมีอยู่
ที่ผมประทับใจที่สุดก็หนีไม่พ้นเรื่องของตัวละครตัวหนึ่งซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แล้วครับ แต่ที่แน่ๆ คือบทพี่แกเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของชาร์ลี แล้วก็ชอบรังแกชาร์ลีทุกวี่วัน หาเรื่องเป็นอันธพาลน่ะครับว่างั้นเถอะ ซึ่งเจ้าคนนี้ก็รังแกชาร์ลีทั้งเรื่อง จนกระทั่งมาพบว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายที่ชาร์ลีจะได้อยู่กับพ่อ เพราะพ่อตายไปแล้วและกลับมาเป็นมนุษย์หิมะ ถ้าหากเป็นหนังทั่วๆ ไปอาจจะกำหนดให้ตัวละครตัวนี้กลายเป็นตัวร้ายคอยแกล้งและขัดขวางความสุขของสองพ่อลูก แต่เปล่าเลยครับ หนังกลับเลือกอีกทางโดยสิ้นเชิง ซึ่งถือเป็นการเลือกที่เด็ดมาก เพราะมันทำให้หนังที่ดูเหมือนจะราบเรื่อยมาตลอด มีกลิ่นอายความอบอุ่นขึ้นมาแบบทันควัน นั่นคือ เจ้าตัวอันธพาลน้อยคนนี้ก็เปิดปมออกมาให้คนดูรู้เลยครับ ว่าเขาก็เสียพ่อไปเหมือนกัน เลยส่งผลให้เขากลายเป็นเด็กอันธพาลแบบนี้ แล้วทีนี้พอเขารู้ว่าพ่อตุ๊กตาหิมะของชาร์ลีกำลังจะละลาย เขาเลยช่วยทุกวิถีทางที่จะทำให้พ่อของชาร์ลีได้อยู่กับชาร์ลีให้นานที่สุด จุดนี้เล่นเอาผมจุกอกไปเหมือนกันครับ คือมันเรื่อยๆ มาตลอดไง หนังมันเหมือนหนังทีวีครอบครัวธรรมดา แค่พ่อๆ ลูกๆ เหมือนเล่นกัน แกล้งกัน พ่อก็ช่วยสอนลูกในช่วงสุดท้ายไป จริงๆ ผมเล่าแล้วมันดูดีนะครับ แต่หากท่านไปดูในหนังจะพบว่าหนังสื่อสารอะไรเหล่านี้ได้จืดมาก จนทำให้อารมณ์เรานิ่งสนิทไป แต่พอถึงฉากนี้เท่านั้นล่ะครับพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย มีเฮือก คือไอ้ตัวร้ายตัวน้อยนี่บวกทันที แล้วเรื่องมันก็กลายเป็นหนังลุ้นแบบเล็กๆ ขึ้นมาทันทีเหมือนกัน ว่าพวกเขาจะช่วยพ่อของชาร์ลีได้สำเร็จหรือไม่
บางคนอาจบอกว่าผมโรคจิต … ทำไมผมต้องวี๊ดว๊าดกระตู้ฮูตอนที่หนังซักเรื่องมีฉากซึ้งๆ ขึ้นมา แล้วบางฉากที่ว่านี่อาจจะดูยัดเยียดด้วยซ้ำ ซึ่งผมก็ยอมรับล่ะครับ อาจจะโรคจิต แต่มันชอบ มันเหมือนกับเวลาผมนั่งอยู่บนรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแล้วก็เห็นคนแก่เดินมา ผมก็ลุกให้นั่ง คือภาพนั้นมันอาจดูเหมือนว่าผมนี่ทำเป็นมีน้ำใจ ทำเป็นแมน ยืนให้คนแก่นั่ง แต่ขอโทษเถอะครับ ไอ้พวกที่คิดกันแบบนั้นน่ะเอ็งยืนให้หรือเปล่า แม้จะเป็นแค่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้มีค่าทางเงินตราอะไร แต่น้ำใจน่ะครับ น้ำใจมันชุ่มจิตทั้งผู้ให้และผู้รับนะครับ ผมเชื่อว่าท่านใดเคยให้น้ำใจใครล่ะต้องเคยได้สัมผัสความชุ่มจิตบางประการแน่ๆ
ดังนั้นมันเลยเป็นเหมือนโรคประจำตัวครับ เวลาเห็นใครมีน้ำใจล่ะมันอดดีใจเล็กๆ ไม่ได้ ไม่ว่าจะในหนังหรือในชีวิตจริงก็เถอะ เหมือนเป็นความหวังน่ะครับว่าโลกนี้ยังไม่สิ้นไร้ความมีน้ำใจหรอก
ไม่สิ้นไร้ แค่หายากเท่านั้นเอง
ครับ นี่จึงเป็นส่วนที่ผมประทับใจหนังที่สุดน่ะนะครับ แต่ส่วนอื่นๆ มันออกมาแบบธรรมดาครับ ไม่เด่นหนักไม่ทำให้เราร้องไห้ได้ คือมันก็พอซึ้งน่ะครับ แต่ไม่มาก น่าจะมากกว่านี้ พอเขียนๆ ไปก็นึกถึงนะ ถ้าหากเป็นหนังเกาหลีผมว่ามันต้องออกมาน้ำตาเป็นเผาเต่าแน่ๆ
ดารานั้น ผมว่าก็เรื่อยๆ นะ ยังไม่ถึงกับเด่นเท่าไหร่ พี่ Michael Keaton ของผมก็เรื่อยๆ เท่านั้น
คัรบ ก็แนะนำกันไปนะครับ แม้จะไม่ยอดเยี่ยม แต่หนังก็ไม่เลวหรอกครับ ผมอาจจะบ่นๆ เยอะ แต่หนังมันก็พอดูได้นะครับ เพลินๆ จบแล้วอย่างน้อยก็อาจจะได้ความรู้สึกดีๆ ได้ข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิตบ้าง อย่างการเอาใจใส่คนที่เรารักไงครับ เอาใจใส่ไปเถอะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าเราจะต้องจากเขาไปหรือเขาจะต้องจากเราไปเร็วหรือช้าแค่ไหน ดังนั้น ถนอมเวลาที่มีตอนนี้ให้ดีที่สุดดีกว่านะครับ
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Christmas Movies, Drama, Family