ภาคที่แล้วเป็นตอนสุดท้ายที่ได้ฉายในโรงครับ เพราะทีมงานกะจะไม่ทำอีกแล้ว และเรื่องราวมันก็จบลงไปจริงๆ แล้วด้วย แต่ก็คงเพราะเงินน่ะครับ ภาค 5 เลยโผล่มาอีก

โดยภาค 5 นี่ก็เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบันครับ กล่องยังคงเวียนว่ายอยู่ในโลกและนายตำรวจโจเซฟ โทรน (Craig Sheffer) ได้ไปเปิดมันเข้า เขาจึงต้องเผชิญกับนรกและพี่พินเฮด (Doug Bradley) ตามบทบัญญัติมาตรา 7 (เอ้ย ไม่เกี่ยว )

….เอาล่ะ ผมว่าแฟนพันธุ์แท้ Hell อาจรับภาคนี้ไม่ได้ครับ เพราะมันไม่โหด และมันดันกลายเป็นหนังจิตวิทยา คือ ตามปกติภาคก่อนๆ เปิดกล่องมาปุ๊บ คนเปิดนี่ตายทั้งเป็นทันทีครับ จะมีทั้งลวดทั้งโซ่จะมาเกี่ยวตัวเต็มไปหมด เลือดสาดไปเลย แต่กับภาคนี้ เปิดกล่องแล้ว ….ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มันจะทำให้ผู้เปิดบ้าตาย เพราะมันจะมีเรื่องแปลกๆ มารบกวนจิตใจผู้เปิดเต็มไปหมด พูดง่ายๆ คือ ทำร้ายที่จิตใจและสมองครับ ให้คนเปิดงงว่าตกลงอันไหนเป็นเหตุการณ์จริง อันไหนหลอกวะเนี่ย แล้วทีนี้ผู้เปิดก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นไป – เป็นการตีความนรกไปในอีกแนวทางหนึ่ง

…โอเค แม้มันจะเข้าคอนเซปต์เปิดแล้วเจอนรกก็ตาม แต่มันไม่ใช่ Hellllllllllllll นี่หว่า เฮ่อ พี่พินเฮดแกไปเรียนจิตวิทยามาเมื่อไหร่ ผมก็ไม่ทราบนะครับ เฮ่อ ไม่ใช่พี่พินเฮดที่ผมรู้จักเล้ย แล้วพี่แกยังมีการมาสอนทางธรรมให้พระเอกด้วยนะครับ เออ เอาเข้าไป …นี่ปีหน้าแกจะบรรจุมาเป็นครูมั้ยเนี่ย สอนเก่งเหลือเกิน

แต่ถ้าเราล้างสมอง ล้างภาพของ Hell ภาคก่อนๆ ไปซะ แล้วก็มาดูภาคนี้ในฐานะหนังลึกลับเรื่องนึง… อืมม์… ผมก็ว่ามันสนุกไม่เลวนะ

มันลึกลับครับ เพราะเราไม่รู้เลยว่า มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกับพระเอก และมันจะเกิดบ้าบออะไรต่อไปอีก หนังแบบนี้ผมก็ชอบครับ มันน่าติดตามดี ซ่อนเงื่อนดี มันคือความหลอนแบบกึ่งตื่นกึ่งฝัน แต่คนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ Hell ต้องปรับนึดนึงครับ อย่างที่ผมทำเนี่ยแหละ พอปรับใจสักหน่อยแล้วจะรู้สึกว่าหนังมันก็ใช้ได้

แม้หนังจะไม่โหด แต่ก็ทำได้ถึงในแนวทางของมันครับ กึ่งหลอนก็สืบสวน – ตีความนรกในมิติใหม่ – ไม่เหมือนภาคก่อน อย่างภาคก่อนที่ผมบ่นก็เพราะมันเปลี่ยนแนวด้วย และทำได้ไม่ถึงขีดด้วยนะครับ แต่กับภาคนี้แม้จะเปลี่ยนแนว แต่อย่างน้อยมันก็ทำได้ดี น่าติดตามและบรรยากาศก็มืดๆ ดี ฉากหลอนๆ ก็มีเยอะครับ หนังกำกับโดย Scott Derrickson คนที่ทำ The Exorcism of Emily Rose แล้วก็ Doctor Strange ในเวลาต่อมา กับเรื่องนี้ผมว่าไม่เลวครับ

เหตุผลหนึ่งที่หนังภาคนี้ดูไม่เป็น Hell แบบเดิมๆ ก็เพราะหนังเรื่องนี้ถูกสร้างจากบทภาพยนตร์ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ Hellraiser เลยครับ แต่เป็นบทหนังสยองขวัญเรื่องหนึ่งที่ค่าย Dimension ได้มา แล้วก็มีการเอามารีไรท์ใหม่โดยเขียนพี่พินเฮดใส่ลงไป – เพราะแบบนี้แหละครับ องค์ประกอบโดยรอบจึงดูไม่ใช่ Hell แบบดั้งเดิม

เอาล่ะ ปรับสมองแล้ว ดูเฉพาะตัวหนัง ก็ดีครับ สนุกกว่าภาค 4 อีกนะจะว่าไป มันอาจจะไม่ใช่หนัง Hell ที่ดีในฐานะหนังโหดเลือดสาด แต่สำหรับแนวทางของมัน (หนังลึกลับสืบสวน) มันทำได้ถึงดีครับ

สองดาวกว่าๆ บวกๆ ครับ

(6.5/10)