กล่องรูบิคมันไม่ยอมสงบครับ ภาค 2 นี่น่าจะสยบกล่องไปได้แล้วนะ แต่มันยังหน้าด้านกลับมาได้อีก
ซึ่งในครั้งนี้คนที่ต้องเจอกับกล่องและพี่พินเฮด (Doug Bradley) คือ นักข่าวสาวโจอี้ ซอมเมอร์สกิล (Terry Farrell) โดยที่ในครั้งนี้พินเฮดและพลพรรคของเขาต้องการจะทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นนรก โอ้ งานนี้งานใหญ่ครับ โจอี้เลยต้องสืบหาความจริงเกี่ยวกับพินเฮดเพื่อใช้ในการหยุดยั้งมันก่อนจะสายเกินไป
สำหรับผม Hellraiser จบบริบูรณ์ไปในภาค 2 แล้วครับ ภาคนี้ถือว่าดันทุรังทำออกมา แต่ก็ยังพอมีความเกี่ยวเนื่องกับ 2 ภาคก่อน ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นภาคผนวกก็พอไหว ซึ่งช่วงต้นๆ ออกจะอืดและน่าเบื่อไปหน่อย แต่ก็พอจะมีฉากโหดๆ ให้หายง่วงขึ้นมามั่ง แต่พอพี่พินเฮดแกโผล่มานี่ หนังน่าดูขึ้นมาเลยครับ เพราะพี่พินเฮดนี่แหละ
จุดที่ทำให้หนังตอนนี้สนุกขึ้นมาก็เนื่องมาจากตัวพินเฮดมีความซับซ้อนขึ้น อย่างนี้ครับจริงๆ แล้วพี่พินเฮดนี่ก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่เพราะไปเปิดไอ้กล่องนี่เขาเลยโดนทำให้กลายเป็นซีโนไบท์ไป แล้วทีนี้ตอนนี้ก็เป็นการต่อสู้ระหว่างพินเฮดสุดชั่วกับเอลเลียต สเปนเซอร์ ผู้ที่เป็นร่างมนุษย์ของพินเฮดนั่นแหละ (เหมือนพระเจ้ากับพิคโคโล่ ใน DragonBall นั่นแหละครับ) หนังเลยทวีความสนุกมากยิ่งขิ้นครับ เพราะเล่นกับตัวพินเฮด ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉลาดมากเลยครับ เพราะหนังแนวเดียวกับเรื่องอื่นๆ จะไม่ค่อยทำอะไรกับปีศาจประจำเรื่องเท่าไหร่ แต่ในหนังชุด Hellraiser นี้จะกลายเป็นว่าเราได้ติดตามพัฒนาการของปีศาจพินเฮดไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังนะครับ
ส่วนฉากฆ่าก็โหดมากครับ ยิ่งตอนฆ่าล้างบาร์นี่สยองมากๆ ผมว่าคนที่ไปเที่ยวเทค หากดูฉากที่ว่าคงสยองล่ะครับ มันฆ่ากันโหดมากจริงๆ
แล้วพอมาช่วงท้ายหนังจึงมีลุ้นอยู่พอสมควร ตอนตีกับพี่พินเฮดก็ทำได้ไม่เลวเลยทีเดียวครับ แล้วซีโนไบท์ภาคนี้ก็มีเพิ่มอีกเพียบด้วย (แต่เสียดายที่ไม่ค่อยมีบทบาทมากเท่าไหร่)
ภาคนี้ก็ได้ Peter Atkins (คนเขียนบทจากภาคสอง) มาคิดเรื่อง จริงๆ เขาจะได้กำกับนะครับ แต่เผอิญหนังตกเป็นลิขสิทธิ์ของ Dimension Films (และนี่ก็เป็นหนังเรื่องแรกของค่ายนี้ด้วยนะครับผม) และทางผู้ใหญ่ของบริษัทเห็นว่า Atkins ยังไม่มีประสบการณ์เพียงพอ ในขณะที่ผู้กำกับ Tony Randel ที่ทำภาค 2 ตอนแรกก็มีการทาบทามให้มาทำ แต่ต่อมาทางผู้สร้างรู้สึกไม่มั่นใจในวิสัยทัศน์บางประการของเขา ทางผู้สร้างก็เลยเป็นฝ่ายบอกปัดไป
นอกจากนี้ยังมีการทาบทาม Peter Jackson ที่สมัยนั้นสร้างชื่อมาจากหนังสยองปนตลกเรื่อง Bad Taste แต่เพราะเขาตระหนักว่าตัวเองถนัดทำหนังสยองปนตลกมากกว่าจะเป็นหนังสยองจริงจัง เขาเคยบอกว่า ถ้าเขากำกับหนังเรื่องนี้ เขาคงจะทำฉากประเภทว่าพินเฮดโดนตะปูที่หัวตัวเองทิ่มใส่ แล้วก็ใส่มุกฮาๆ ลงไปแทน ดังนั้นเขาเลยบอกปัดไปครับ
สุดท้ายโอกาสก็เลยตกมาสู่ Anthony Hickox ที่ดังมาจาก Waxwork แต่คนแรกที่ยกมือค้านคือ Barker ครับ เขาคิดว่า Hickox ไม่น่าจะเหมาะ เพราะผลงานก่อนหน้าของเขาส่วนใหญ่จะเป็นหนังตลกผสมอารมณ์ขันและที่สำคัญคือ Barker ไม่ค่อยชอบหนังเหล่านั้นสักเท่าไร แต่ Hickox ก็ออกตัวครับว่าเขาเป็นแฟนของหนังชุดนี้ และยินดีรับฟังความเห็นของ Barker พอทั้ง 2 ได้พบกัน เจรจากัน ก็เลยได้ข้อสรุปว่า Hickox ได้กำกับครับ
โดยรวมๆ ก็นับว่าโอเคนะครับ ยังพอไหว ไม่เด็ดเท่า 2 ภาคแรก แต่ก็ยังไม่ถือว่าน่าผิดหวังครับ ยังสนุกและดูได้ดีอยู่ ก็เอามาดูต่อกับสองภาคแรกก็ไม่เลวครับ ผมชอบเอามาดูต่อกันสามตอนเสมอๆ น่ะ มันติดลมน่ะครับหนังชุดสยองที่ทำได้ต่อเนื่องและเนื้อเรื่องดีมันหาไม่ได้บ่อยหรอกนะครับ
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror