พูดได้เต็มปากว่าชอบภาคนี้สุดๆ จนออกจะชอบมากกว่าภาคแรกที่ผมเคยยกให้เป็นภาคที่เจ๋งสุดของหนังชุดนี้น่ะนะครับ
สำหรับ 3 ภาคก่อนหน้าของหนังชุดนี้ แต่ละภาคมีของดีต่างกันไป อย่างภาคแรกคือหนังสายลับแบบเน้นความกดดัน เฉือนคม มีการหักหลังหักมุมใช้สมอง และมีฉากจารกรรมที่น่าตื่นเต้นโดยไม่ต้องระเบิดอะไรให้มาก แค่ห้องที่ต้องเงียบแค่นั้นก็ทำเอาเราเหงื่อตกได้
ภาค 2 แม้เนื้อหาจะอ่อน แต่อย่างน้อยคิวบู๊ ช็อตมุมกว้าง อีกทั้งการไล่ล่าก็ยังถือว่าเร้าใจ (มีสโลว์และนกพิราบอีกต่างหาก 555)
ครั้นถึงภาค 3 หนังมาพร้อมบทที่เข้มข้น ปฏิบัติการที่ทำให้เราเห็นการทำงานเป็นทีมมากขึ้น และการเดินเรื่องสไตล์สายลับจริงจังที่ไม่เน้นเท่ห์ ไม่เน้นอลัง เพราะภารกิจมีได้ทุกที่ตั้งแต่วิหารโอ่อ่าไปจนถึงบ้านเล็กๆ ในเมืองจีน เรียกว่ากว่างานจะเสร็จคนก็โทรมกันถ้วนหน้า
ทั้ง 3 ภาคมีจุดดีจุดด้อยต่างกันไป แต่สำหรับภาคนี้แล้วถือว่าสามารถยำจุดดีของแต่ละภาคมารวมไว้ แล้วจัดเต็มในส่วนอื่นๆ เพิ่มลงไป ทั้งปฏิบัติการที่เร้าใจขึ้น ฉากไล่ล่าที่พอถึงเวลาจะลุ้นก็กระหน่ำรัวจนแทบลืมหายใจ และที่ประทับใจมากคือการใช้โลเกชั่นที่โดนและน่าจดจำ ตั้งแต่พระราชวังเครมลินและจัตุรัสแดงในรัสเซีย ไปถึงตึกระฟ้าในดูไบ ก่อนจะไปสรุปเรื่องกันที่แดนโรตียุคดิจิตอลอย่างอินเดีย
ด้านเนื้อหาเอาเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ได้ถึงกับแปลกใหม่อะไรนักครับ อีธาน ฮันต์ (Tom Cruise) กับทีมงานต้องรับ “ปฏิบัติการที่เป็นไปไม่ได้” ในการยับยั้งแผนจุดชนวนสงครามโลกของเคิร์ท เฮนดริกส์ (Michael Nyqvist) ชายที่เชื่อว่าสงครามคือส่วนหนึ่งที่จะผลักดันให้โลกเกิดการวิวัฒน์ขึ้น โดยมีข้อแม้เล็กๆ คือปฏิบัติการของพวกเขาต้องทำอย่างเงียบที่สุด อีกทั้งไร้ทีมสนับสนุนใดๆ เนื่องจากท่านประธานาธิบดีแห่งสหรัฐได้ออกคำสั่งปฏิบัติการไร้เงา (ซึ่งปกติพวกเขาก็ต้องทำงานแบบไร้เงาอยู่แล้วน่ะนะครับ 555)
โดยพล็อตอาจไม่ใหม่ แต่ผลที่ได้จัดว่ามันส์ครับ เพราะพล็อตเดิมๆ ได้ถูกปรุงด้วยเครื่องรสเด็ด ทั้งฉากแอ็กชันมันส์ สะใจ ยิ่งใหญ่ (อย่างตอนระเบิดที่รัสเซียหรือไล่ล่ากลางพายุทะเลทรายที่ดูไป) แถมด้วยความลุ้นสุดๆ (ทั้งตอนเข้าไปในเครมลิน ไต่ตึกที่ดูไบ และไล่จับกันบนลานจอดรถสุดไฮเทคในอินเดีย) ดังนั้นแม้โดยโครงจะเดิมๆ แต่ผู้กำกับ Brad Bird สามารถเติมความมันส์ลงไปได้ในทุกช่วง แม้จะไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แต่ก็พอจะยกให้ M:I ภาคนี้เป็นภาคที่ดีที่สุดได้
พูดถึง Bird แล้วก็อยากขอชมพี่แกจริงๆ ผมดูหนังเขามา 3 เรื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาก็ทำแต่การ์ตูนน่ะนะครับ เริ่มด้วย The Iron Giant ต่อด้วย The Incredibles และปิดท้ายด้วย Ratatouille ซึ่งไม่มีเรื่องไหนที่ผมให้แกต่ำกว่า 3 ดาวเลยครับ มีดีตลอด
จำได้ตอนดูผลงานเรื่องแรกของเขาอย่าง The Iron Giant ซึ่งผมชอบนะครับ มันเรียบง่ายได้อบอุ่นได้ใจน้องๆ การ์ตูน Ghibli ทีเดียว แต่รายได้น้อยจนน่าใจหาย (ลงทุนไป 48 ล้านเหรียญ ได้มา 23 ล้านในอเมริกา หากรวมทั่วโลกก็ประมาณ 80 ล้าน ก็ยังติดตัวแดงหน่อยๆ) สมัยนั้นก็แอบกลับว่าเขาจะถอดใจไหม แต่ดีครับที่ Pixar เห็นของดีในตัวและเรียกเขาไปทำหนัง จนในที่สุดเขาก็มีวันนี้… ดีใจแทนจริงๆ ครับ
จุดเด่นอีกอย่างของภาคนี้คือ ได้เห็นการทำงานเป็นทีมแบบชัดๆ ยอมรับเลยครับว่าทีมชุดนี้ฝีมือแน่จริงๆ มีอีธานคอยนำ มีเจน คาร์เตอร์ (Paula Patton) คอยประสานและเป็นนางนกต่อ, เบนจี้ ดันน์ (Simon Pegg) คอยคุมเทคโนโลยีแล้วเรายังได้เห็นฝีมือในด้านอื่นๆ ของพี่แกอีก ไม่นับที่ทำให้เราฮากันในหลายวาระน่ะนะครับ แล้วก็วิลเลี่ยม แบรนท์ (Jeremy Renner) ผู้มีฝีมือมากพอๆ กับความลับบางอย่าง (แต่ตอนฮาก็ฮาได้ที่เหมือนกัน)
ปฏิบัติการในภาคนี้ทำงานสอดประสานกันมากๆ ครับ ลื่นไหลแต่ก็ยังเปี่ยมความลุ้นเพราะอุปสรรคก็เยอะตาม มีความผิดพลาดเกิดขึ้นให้คอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเรื่อยๆ หนังเลยดูเพลินชวนติดตามตลอดตั้งแต่ต้นจนจบครับ มีพักบ้างเบรคบ้างแต่ช่วงพักที่ว่าก็ยังไม่วายมีปมน่าสนใจเผยออกมา หรือไม่ก็เป็นช่วงเปิดโอกาสสร้างอารมณ์ให้เราผูกพันกับเหล่าตัวละครในเรื่อง เรียกว่าแม้จะมีช่วงพักที่ไร้แอ็กชัน แต่ก็ยังมีของดีที่น่าสนใจแฝงอยู่ในนั้นตลอดๆ
แน่นอนครับว่าดาราก็ต้องเฉียบพอ ซึ่งคนที่เฉียบมากสุดก็ยังเป็น Cruise ที่แม้หน้าตาและท่าทางจะบ่งบอกถึงความอายุเยอะแล้วก็ตาม แต่เขาก็เก่งพอที่จะผันความสูงวัยมาเป็น “ความเก๋า” ทำให้ฮันท์ในภาคนี้ดูฉลาด คิดเร็ว และเป็นผู้นำมากที่สุด จนไม่แปลกใจเลยครับที่ท่านรัฐมนตรี (Tom Wilkinson) จะบอกว่าฮันท์คือมือดีที่สุด
คนอื่นๆ ในทีมก็เล่นกันได้ดีครับ Patton อาจจะไม่ได้เด่นในตอนแรก แต่พอถึงช่วงท้ายตอนเป็นนางนกต่อเธอก็พลิกกลับมาเด่นได้เข้าท่าครับ ส่วน Renner ก็ถือว่าเด่นเรื่อยๆ แต่ Pegg นี่หาเรื่องขโมยซีนชาวบ้านได้เรื่อยๆ จนแกออกจะเด่นเกินหน้าคนอื่นๆ อยู่พอตัวครับ (เด่นแบบบทสมทบน่ะนะครับ)
ผมชอบ Nyqvist ในบทเคิร์ท เฮนดริกซ์นะครับ แสดงได้ดีมาก แล้วแนวคิดของเฮนดริกซ์เองจริงๆ ก็ฟังดูมีเหตุผลในแบบของเขาเหมือนกัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้ง วิกฤติทำให้เกิดวิวัฒน์ ปัญหาก็ทำให้เกิดปัญญา ได้เหมือนกัน แต่มันคงจะเป็นอะไรที่สร้างสรรค์กว่าหากเราสามารถเรียนรู้ที่จะวัวัฒน์โดยไม่ต้องใช้ความวิบัติเป็นค่าแป๊ะเจี๊ย ว่าง่ายๆ คือ “ล้อมคอกก่อนวัวหาย” จะดีกว่า
Mission: Impossible ภาคนี้เปรียบได้กับเค้กก้อนโตที่จัดวางเครื่องได้สวย หวือหวา สีสันฉูดฉาด แม้จะไม่ได้จัดแบบแปลกใหม่อะไรมากมาย แต่ก็จัดออกมาได้พอเหมาะ รู้จักดันของดีที่มีให้เด่นจนกระทบตากระทบใจผู้ลิ้มลอง พอทานแล้วก็ทานอร่อยทานมัน ทานแล้วก็โอเคที่จะทานอีก
อย่างที่ผมมักบอกบ่อยๆ ครับหลังจากดูหนังแนวนี้มาเยอะ บางครั้งเราก็ไม่ต้องการอะไรใหม่ๆ หรอก แค่เอาของเดิมๆ มาตีเครื่องให้มันดี ดันรสที่คนชอบให้มันกลมกล่อมมากขึ้น แค่นี้ก็ได้ผลงานดีๆ มาประดับโลกภาพยนตร์และสร้างความสุขให้กับผู้ชมได้แล้ว
สามดาวครับ
(8/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Thrillers