เรื่องราวมันก็เกี่ยวกับอนาคตปี 2020 ที่ลอนดอนครับ เมื่อมีบุรุษลึกลับที่เรียกตัวเองว่า V (Hugo Weaving) โดยเขาผู้นี้ประกาศเจตนารมย์ชัดเจนว่าต้องการจะต่อต้านรัฐบาลเผด็จการที่ปกครองโดย อดัม ซัทเลอร์ (John Hurt) แล้วเขายังดำเนินแผนการสังหารบุคคลสำคัญของรัฐไปมากมาย จนซัทเลอร์สั่งให้ ลูกน้องของเขาทั้งหลายตามเล่นงานเจ้า V ให้จงได้
นอกจากเรื่องการต่อต้านรัฐของ V แล้ว ก็ยังมีเรื่องระหว่าง V กับ อีวี่ (Natalie Portman) สาวน้อยที่เขาได้ช่วยไว้จากการโดนลวนลามด้วยนะครับผม ซึ่งพวกเขาจะสัมพันธ์กันในแบบไหน, แต่ละคนมีปมชีวิตอะไรบ้าง และ V จะต่อต้านพวกเผด็จการจอมวายร้ายได้หรือไม่ อันนี้บอกไม่ได้ครับ ตามไปดูเองดีกว่า เพราะรายละเอียดพวกนี้เป็นอะไรที่น่าติดตามมากทีเดียวล่ะครับ
เฮ่อ ห่างหายจากการเข้าโรงหนังไปนาน แต่พอเข้าทีก็บอกได้อย่างเต็มปากว่าคุ้มครับ (สำหรับผมนะครับ) หนังทำออกมาได้ดีทีเดียว แต่ไม่ได้เป็นไปในแบบที่ผมคาดไว้
ตอนแรกผมก็เดาๆ เอาน่ะครับ เพราะได้ข่าวว่ามันสร้างจากการ์ตูน ว่าแนวทางมันเหมือนจะเป็นแนวซูเปอร์ฮีโร่ แล้วยังได้คุณสองพี่น้องตระกูล Wachowski แห่ง The Matrix มาเขียนบทอีก ก็เลยคาดว่าหนังคงโชว์ Effect อะไรพอสมควร แล้วก็น่าจะมีแอ๊คชั่นตามสไตล์นั่นแหละครับ แต่พอดูแล้วมันกลับไม่เชิงเป็นเช่นนั้นซะทีเดียว
สังเกตนะครับว่าผมจะขึ้นตรงแนวหนังว่าสืบสวนก่อน เพราะหนังมันจะไปในเชิงนั้นเป็นตัวนำมากกว่า ส่วนฉากบู๊แอ๊คชั่นนั้นก็มีแต่พองาม แต่พองามที่ว่านี่ก็เข้าข่ายน้อยแต่แน่นนะครับ น่าพอใจเอาเรื่อง แต่ที่ต้องบอกไว้ก่อนก็เพราะว่าหากท่านคิดว่าจะได้เข้าไปนั่งดูหนังแอ๊คชั่นบู๊เต็มคราบแบบ The Matrix ล่ะก็ ไม่ใช่หรอกนะครับ นี่ก็บอกไว้ก่อนไม่ให้หวังจนเกินไปน่ะครับ
แล้วหนังเรื่องนี้มันมีอะไร … ก็คือว่าในช่วงต้นเรื่องนะครับ หนังเปิดตัว V ออกมาได้แจ๋วครับ และนี่ถือเป็นฮีโร่ในสไตล์ที่แหวกแนวชาวบ้านอย่างมาก เพราะฮีโร่คนอื่นตอนสวมหน้ากากนี่จะพูดน้อยมากหรือไม่ก็เงียบไปเลย แต่กับ V นี่พี่แกเข้าข่ายบ้าน้ำลายมากครับ พล่ามตลอดพล่ามยาว พล่ามไปไหนของแกก็ไม่รู้ ซึ่งอันนี้แม้จะสวมหน้ากากปิดหน้าไว้ตลอดทั้งเรื่อง แต่หน้าพี่ Hugo Weaving ผู้รับบทนี้มันโผล่พรวดขึ้นมาเต็มๆ สำเนียงนี่ใช่เลยครับ (ก็พี่ที่เล่นเป็นเอเย่นต์สมิธใน The Matrix ไงครับ)
อันนี้ผมยอมรับเลยนะครับว่าพี่ Hugo แกแน่มาก เพราะแม้ทั้งเรื่องต้องใส่หน้ากาก แต่พี่แกกลับสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านออกมาทางน้ำเสียงและท่าทางได้ เออ นี่ไม่ง่ายเลยนะฮะเนี่ย เพราะแววตานี่ตัดออก สีหน้านี่ไม่มีทางแสดงได้เลย ต้องมาเล่นกันที่น้ำเสียงอย่างเดียว และพี่แกก็ทำได้อย่างเท่ห์มากๆ ด้วยครับ นอกจากนี้คำพูดที่ออกมาจากปากเขา แม้จะดูเหมือนเพ้อเจ้อ แต่ก็หลายครั้งเลยครับที่แฝงอะไรคมๆ ไว้เยอะพอดู เอาแค่ตอนเปิดตัวนี่แหละ แกพล่ามๆๆ ไป แต่ที่พูดออกมานั้นมันสื่อถึงตัวเขาอย่างดีครับ ว่าแกมีอารมณ์ขัน สุนทรีย์ และมีวาทศิลป์ แต่เวลาพี่แกพูดจากับผู้ร้ายนี่ เขากลับมีน้ำเสียงเชิงเย้ยหยันปนกับความแค้นแฝงเข้าไปอีกด้วย
บอกได้แต่ตัวอักษรครับ นี่ผมพยายามแล้วนะเนี่ย (และท่าทางผมชักจะติดโรคพล่ามจากแกแล้วล่ะ) เอาเป็นว่า v ในเรื่องเขามีเสน่ห์ในแบบของ จารชนผสมกับสุภาพชนได้อย่างลงตัวดีเลยล่ะครับ
เจ๋งครับ พี่ Hugo
ช่วงต้นก็เป็นการแนะนำพี่ V นะครับ แล้วก็แนะนำอีวี่ด้วย ซึ่ง Portman ก็เล่นได้ดีมากเหมือนกันครับ ตอนแรกก็ดูสวย แต่พอตอนโทรมนี่ก็โทรมแบบถึงใจเลยครับ ตอนระเบิดอารมณ์ก็สุดๆ อย่างฉากที่หลบใต้เตียงแล้วต้องกลั้นร้องไห้นั่นดูแล้วสงสารจับใจจริงๆ
ถ้าให้ว่ากันแล้ว ดาราทุกรายเล่นได้ดีกันหมดเลยนะครับ Stephen Rea ที่มารับบทเป็นหัวหน้าสายสืบฟินช์ ก็นิ่งแบบมีหัวคิดตามสไตล์แกนั่นแหละ (แกชอบเล่นบทประมาณนี้ครับ เก็บความรู้สึกแต่ฉลาดลึก ไม่เชื่อลองไปดู Michael Collins หรือ The End of The Affair มาดูได้ครับ) และตัวร้ายอย่าง John Hurt ในบทซัทเลอร์ที่สวมมาดเป็นจอมเผด็จการได้สมจริงมากๆ อีกคนก็ Tim Pigott-Smith ในบทครีดดี้ มือขวาของซัทเลอร์ ขานี้ก็ชั่วแบบน่ารังเกียจพอกัน
นักแสดงเขามืออาชีพครับ ส่วนการเดินเรื่องนั้น ช่วงต้นอาจจะต้องอดทนหน่อยนะครับ เพราะหนังมันจะพูดๆๆ กันมากหน่อย … จริงๆ มันพูดกันตลอดนั่นแหละ เพียงแต่ช่วงแรกมันจะเนิ่บหน่อย แต่ความเข้มข้นมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ เพราะช่วงท้ายปมทั้งหลายจะค่อยๆ เฉลย รวมไปถึงสิ่งที่อีวี่ต้องเผชิญนั่นก็กดดันเอามากๆ ทีนี้พอทุกอย่างลงล็อคก็เข้าสู่ไคลแม็กซ์พอดี ซึ่งเป็นไคลแม็กซ์ที่ยิ่งใหญ่เอาเรื่องเลยครับในความรู้สึกผมนะ แม้จะไม่ได้ตีกันมากมายอะไร แต่ภาพมันสื่อได้อย่างดีจริงๆ ว่า V เป็นฮีโร่ของทุกคนในลอนดอนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขียนถึงหนังเรื่องนี้ก็ลำบากไม่ใช่เล่นนะครับ เพราะผมรู้สึกเลยว่าตัวเองออกจะชอบหนังมากอยู่เหมือนกัน เลยเขียนอะไรในเชิงเชียร์ๆ อยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าหนังจะไม่มีที่ติครับ ก็มีบ้างในบางช่วงที่มันอาจจะอืด แต่บางช่วงกลับกระชับไป อย่างในตอนกลางเรื่องน่ะครับ ตอนที่ปมเริ่มคลาย ช่วงนั้นหนังค่อนข้างเล่าเรื่องแบบเร่งรีบไปหน่อย เลยไม่ค่อยได้ซึมซับอารมณ์สะเทือนใจเท่าที่ควร และตอนท้าย ในฉากการปราบเหล่าทรราชย์ที่มันน่าจะยิ่งใหญ่กว่านี้นิดนึง และเจ้าทรราชย์ก็พบจุดจบง่ายไปหน่อยด้วยครับ แม้ฉากสู้รอบสุดท้ายนั่นจะเด็ดและเล่น Effect กันกระจายก็ตาม แต่ก็น่าจะเพิ่มอีกหน่อยน่ะครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ แต่ที่บอกนี่ก็เป็นส่วนน้อยน่ะครับ
… ไม่รู้สิ เพราะตอนดูมันรู้สึกได้นะว่าหนังมันขาดตรงนี้นิด เกินตรงนี้หน่อย แต่พอดูจบแล้วมานึกเรียงลำดับอีกทีมันก็ไปกันได้น่ะครับ ลงตัวในระดับหนึ่ง ตามแบบของมันน่ะนะครับ
พล่ามมายาวแล้วครับ (ผมว่าผมติดจากพี่ V แกจริงๆ แล้วล่ะครับ เริ่มเพ้อเจ้อแล้ว) เอาเป็นว่าหนังคุ้มมั้ย ผมว่าคุ้มครับ เอาแค่ตอนแรกที่ V วางระเบิดตึกแล้วมีเพลงคลาสสิคกระจายออกลำโพงเป็น Background นี่ก็เจ๋งมากแล้วครับ พลังดาราก็ช่วยให้หนังน่าติดตามไปพร้อมๆ กับเนื้อเรื่องที่เข้มข้น อันนี้ก็ชมสองพี่น้อง Wachowski ด้วยล่ะครับ เพราะพวกเขาคิดบทหนังเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ก่อน The Matrix แล้วล่ะครับ พี่น้องคู่นี้ช่างคิดดีจริง อีกรายที่ต้องชมก็คือ James McTeigue ขานี้ทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับให้ Dark City, Star Wars: Episode II แล้วก็ The Matrix น่ะนะครับ เรื่องนี้ก็ทำออกมาดีครับ เรื่องอารมณ์และจังหวะอาจจะยังไม่ถึงกับลงซะทั้งหมด แต่เพราะได้ดาราดี บทดีด้วยล่ะครับมันเลยไปลื่น
จริงๆ แล้วหนังมันมีแง่มุมโดยตรงในการโจมตีรัฐบาลเผด็จการนะครับ ประมาณว่าพวกโกงกินแล้วก็ทำชั่วโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ กดขี่ประชาชน แล้วก็ใช้สื่อเสนอข่าวตามใจตนเอง ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันบังเอิญหรือไม่อย่างไรล่ะนะฮะ เพราะตอนนั้นบ้านเมืองเราก็ดันอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายกันอยู่เนี่ย ก็อยากจะบอกว่าดูแล้วใจเย็นๆ แล้วกันนะครับผม
สามดาวครับ
(8/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Thrillers