นี่ก็เป็นงานรีเมคหนังเก่าปี 1976 ของ Richard Donner เรื่องที่ว่าด้วยโรเบิร์ต ธอร์น (Liev Schreiber) นักการเมืองหนุ่มชาวอเมริกันที่ต้องมารับรู้ข่าวร้ายว่าลูกชายคนแรกของเขาเสียชีวิตขณะคลอด โดยที่แคทเธอร์รีน (Julia Stiles) ภรรยาของเขายังไม่ทราบเรื่อง
ในขณะที่เขาตั้งใจจะบอกความจริงกับเธอ บาทหลวงสปิเลตโต้ (Giovanni Lombardo) ได้มอบข้อเสนอให้เขารับเลี้ยงเด็กชายที่เพิ่งคลอดคนหนึ่ง แต่แม่ของเด็กก็เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน และด้วยความรักที่โรเบิร์ตมีต่อเธอ เขาจึงตัดสินใจเลี้ยงเด็กคนนี้เหมือนลูกในไส้และให้ชื่อว่า เดเมี่ยน
ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดี จนกระทั่งเดเมี่ยนอายุ 5 ขวบ ความสยองก็เริ่มต้นขึ้น คนมากมายรอบตัวของเดเมี่ยนต้องมาล้มตายลงอย่างสยดสยอง และเดเมี่ยนเองก็มีพฤติกรรมแปลกๆ เช่น กรีดร้องตอนเข้าใกล้โบสถ์หรือมองผู้คนด้วยสายตาเย็นชา
เมื่อเรื่องเกิดขึ้นมากมาย โรเบิร์ตก็ได้รับคำเตือนจากบาทหลวงเบรนเนน (Pete Postlethwaite) ว่าให้ระวังเด็กคนนี้ให้ดี เพราะเขาไม่ใช่ลูกมนุษย์ธรรมดา!
แล้วเดเมี่ยนเป็นใคร ใครคือแม่ของเขา เขามาเพื่ออะไร ใครรู้แล้วก็รู้ไปครับ แต่ผมคงเล่าแค่นี้แหละ คนไม่รู้จะได้ไม่รู้ต่อไป 5555 ไปหาคำตอบในหนังแล้วกันนะครับผม
เอาล่ะแล้วก็มาถึงจุดสำคัญซะที ท่านคงไม่ได้มาฟังแค่ผมเล่าเรื่องหรอกจริงมั้ยล่ะครับ เอ้าผมคิดกับหนังเรื่องนี้อย่างนี้ครับ
ด้วยเหตุว่านี่เป็นหนังแนวสยองน่ะนะครับ ถ้าถามว่ามันสยองมั้ย ก็ต้องตอบว่า ไม่ค่อยหรอกครับ บอกไว้ก่อนเลยว่าท่านใดที่จำกัดความว่าหนังสยองต้องมีศพมากๆ เลือดเยอะๆ ตับไตไส้พุงกระจุยล่ะก็ เตรียมอำลาหนังเรื่องนี้ได้ ไม่ใช่เลยครับหนังเรื่องนี้ไม่ได้สยองแหวะแบบนั้น หนังมันจะสยองในเชิงบรรยากาศมากกว่า พวกความกดดันอะไรทำนองนั้น แต่มันก็สยองถึงบ้างไม่ถึงบ้างครับ บางฉากก็ดี บางฉากก็อย่างนั้นๆ แต่มันเป็นความสยองที่เล่นกับความเชื่อมากกว่า ประมาณว่าถ้าท่านเชื่อเรื่องซาตานและอำนาจปีศาจล่ะก็หนังอาจจะทำให้ท่านขวัญลุกหน่อยๆ ก็ได้ เพราะถ้าท่านเชื่อก็จะทำทำให้ท่านไปกับหนังได้ดีครับ
ที่ต้องบอกอย่างนี้ก็เพราะคนมากมายตั้งคำถามว่า The Exorcist มันสยองตรงไหน (นอกจากฉากไต่บันไดแล้วน่ะ) ซึ่งผมก็ต้องบอกว่ามันสยองตรงความเชื่อครับ เพราะมันเล่นกับเรื่องศาสนาและพระคริสต์กันตรงๆ เอารูปพระแม่มารี เอาไม้กางเขนมาทำอะไรแบบนั้น และอาการผีเข้าแบบที่เราเห็นในหนังก็ยังเป็นเรื่องที่ “ฝั่งตะวันตก” เขาเล่าให้ลูกหลานฟังกันมานานแสนนานจนความกลัวฝังลึกลงไปสู่ระดับรากหญ้าโดยปริยาย
แต่ถ้าคนไทยเราจะเฉยๆ ก็อาจจะไม่กลัวเพราะไม่ได้ถูกปลูกฝังเรื่องทำนองนี้มาเท่าไหร่ ทำนองเดียวกับหนังผีญี่ปุ่นที่เราฮากันนั่นแหละ ดูไปก็ฮา บอกว่าผีตลกเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมคนญี่ปุ่นเขาถึงกลัวกัน? นั่นก็เพราะเขาเล่ากันมาไงครับ ไอ้พวกตำนานตามโรงเรียน ฮานาโกะ นางปางฉีกอะไรเงี้ย ถ้าท่านเติบโตมากับตำนานเหล่านั้นก็ต้องมีความกลัวเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย อย่างผมนี่ก็กลัวนะบอกตรงๆ เลย เพราะผีญี่ปุ่นจะเด่นมากในเรื่องความแค้นครับ ลองว่าแค้นนี่ตามไปได้ทุกทีทำได้ทุกอย่าง ชนิดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังทำตาปริบๆ เลยล่ะ เขาเชื่อกันแบบนั้นน่ะนะครับ
ดังนั้นการที่เราไม่กลัวตำนานหรือความเชื่อของชาติอื่นเท่าไหร่ ก็เปรียบได้ง่ายๆ ครับ เหมือนฝรั่งมังค่าไม่รู้จักผีปอบน่ะแหละ ลองไปถามเขาเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี บางคนยังตีความว่าคนที่โดนปอบสิงเป็นคนมีอาการทางจิตต่างหาก
ที่เกริ่นก็เพื่อปูพื้นครับ ว่าความสยองนั้นไม่ได้มาจากภาพสยดสยองเพียงอย่างเดียว แต่มันยังสามารถมาได้จากทางความคิด ความเชื่อ และจินตนาการของคนได้อีกด้วย
ไปไหนแล้วเนี่ยผม
มาเรื่องหนังเถอะครับ อย่างที่บอก หนังไม่ไ่ด้เน้นสยองเชิงแหวะครับ มีบ้างก็นิดหน่อย แต่มันจะเล่นกันทางจิตวิทยาผสมกับบรรยากาศ อย่างฉากมืดๆ หรือภาพแบบแว่บไปแว่บมา ที่ถือว่าโอเคครับ พอสร้างอารมณ์ผวาได้ แต่ก็ยังไม่มากเต็มที่นัก
ทีมดารานั้นจะว่าไปจัดว่าเป็นยอดฝีมือนะ ทั้ง Schreiber และ Stiles ก็โอเค แต่ถ้าให้ว่าตามจริงผมว่าบทมันน่าจะเป็นคนสูงอายุกว่านี้นะ ยอมรับว่าฉบับเก่าเหมาะกว่าครับ (ของเก่าแสดงโดย Gregory Peck และ Lee Remick) แต่ถ้าไม่ติดเรื่องอายุ การแสดงของทั้งสองก็ถือว่าดี Stiles นี่โอเคมากครับ ท่าทางตอนกลัวตอนตระหนกนี่ทำได้ดี Schreiber เองก็ดูนิ่งเหมาะเป็นนักการเมืองเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่บอกน่ะแหละ แม้จะแสดงดีแต่มันก็อดขัดใจไม่ได้อยู่ดี เพราะมาดและท่าทางของ 2 นักแสดงเดิมยังติดตาอยู่
รายอื่นอย่าง Postlethwaite ก็เรื่อยๆ ออกมาแบบน่าจะเด่นกว่านี้หน่อย ผมว่าบทคุณพ่อเบรนเนนต้องดูโทรมและไร้ทางออกมากกว่านี้ครับ (อย่างฉบับเก่านี่ใช่เลย) พี่ท่านเลยออกมาแบบเรื่อยๆ ไม่น่าจดจำ อีกรายก็ Michael Gambon ผู้รับบทศจ.ดัมเลิบดอร์ใหนนัง Harry สองภาคหลังก็มาเป็น บูเกนเฮเก้น ศาสตราจารย์โบราณคดีที่คลี่คลายปริศนาของเดเมี่ยนให้โรเบิร์ตได้ทราบ รายนี้ก็ดูเสียจริตมากไปหน่อยเหมือนกัน
ไปๆ มาๆ ดาราฝีมือดี แต่บทมันไม่ใคร่จะเหมาะกับหน้าตาเท่าไหร่ครับ อารมณ์เลยยั้งๆ ไม่สุดอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนกับตอนดูแล้วมันก็คล้อยๆ ตามน่ะครับ แต่พอเห็นหน้าดาราแล้วมันสะดุดทุกที
ส่วนเด็กเดเมี่ยน ที่แสดงโดย Seamus Davey-Fitzpatrick ก็ไปเรื่อยๆ ครับ ยอมรับว่าท่าทางตอนฮึดฮัดทำได้ดี แต่ท่าทางของเขาออกจะชั่วร้ายมากจนเกินไปหน่อย คือมันจงใจน่ะครับ แต่ก็นั่นแหละ ฉบับเก่ามันทำแบบให้คนดูสงสัย แต่กับฉบับใหม่นี่คงทำแบบประกาศตัวเลยน่ะครับว่าไอ้เด็กนี่ไม่ธรรมดาแน่
สุดท้ายรายที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ต้องยกให้ Mia Farrow ผู้รับบท มิสซิสเบย์ล็อค พี่เลี้ยงที่มารับหน้าที่ดูแลเดเมี่ยน เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่ยอดเยี่ยมครับ แววตาแฝงไว้ทั้งความอ่อนโยนและความลับจริงๆ (และถ้าใครเคยดู Rosemary’s Baby มาก่อนคงฮาครับ ยิ่งตอนที่เจ๊แกพูดว่า “เขาช่างน่ารักจริงๆ” นึกถึงตอนสุดท้ายของหนังเรื่องนั้นจริงๆ) กับ David Thewlis ในบท คีธ เจนนิ่งส์ ตากล้องที่คอยตามข่าวตระกูลธอร์นมาตลอดจนไปๆ มาๆ เขาก็ต้องมาติดร่างแหมรณะเข้าด้วยอีกคน ท่าทางยอดมากครับ มาดให้
อีกจุดหนึ่งที่แพ้ของเก่าคือ ดนตรีประกอบครับ ฉบับนี้เป็นฝีมือของ Marco Beltrami (คอมโพเซอร์ขาประจำหนังสยองของ Dimension Films) ซึ่งก็ไม่เลว แต่ถ้าเทียบกับดนตรีสุดหลอนของ Jerry Goldsmith ที่ยอดเยี่ยมถึงขนาดได้รางวัลออสการ์ไปครองแล้วก็ยังห่างกันหลายช่วงตัวครับ เพราะของเก่ามันจะมีจุดแข็งอยู่ตรงที่มีคอรัสคลอดนตรีไปด้วย ลักษณะเหมือนเสียงสวดครับ ทำให้ดนตรีขลังและน่ากลัวไปโดยปริยาย (ซึ่งดนตรีธีมของหนังฉบับเดิมก็มีให้เราได้ยินเหมือนกันครับ ในตอน End Credits โน่นเลย … ไม่มีใครนั่งฟังหรอหรอกครับรับรองเลย มีแต่ผมนี่แหละนั่งช่วยเขาปิดโรงเนี่ย)
อืมม์ ว่าไปเยอะแล้วนะ ถ้าดูที่ตัวหนังก็มีจุดพร่องเยอะครับ ตั้งแต่ดาราที่ฝีมือดีแต่ไม่เหมาะกับบทนัก ดนตรีไม่สุดๆ ถ้าเทียบกันในเรื่องพวกนี้ของเก่ามันดีกว่าเยอะครับ …
… แต่คุณเชื่อมั้ยครับ ผมดันชอบหนังเรื่องนี้แฮะ
อ้า งงล่ะสิ มาครับผมจะไขข้อข้องใจให้ คือแม้ว่ามันจะมีความบกพร่อง มีจุดที่สู้ของเก่าไม่ได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะดาราหรือดนตรี แต่ขณะเดียวกันหนังเองก็มีจุดเด่นครับ ในเรื่องของบท ซึ่ง David Seltzer กลับมาเขียนให้อีกครั้ง (ฉบับเก่าเขาก็เขียนครับ) และบทในหนังฉบับนี้ต้องถือว่าสมบูรณ์กว่าฉบับดั้งเดิมนัก
เริ่มตั้งแต่แบ็คกราวน์ของเรื่องราวที่เขียนโยงได้อย่างดีเยี่ยม ตั้งแต่ฉากเปิดเลยครับ เรื่องดาวหางเรียงตัว เรื่องคำทำนาย “เมื่อเทพองค์ที่หนึ่งเป่าแตร …” แล้วก็เล่าเหตุการณ์กับภาพที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องตึกเวิร์ลเทรดถล่มหรือแม้แต่ซึนามิที่โดนบ้านเราไปเต็มๆ จุดนี้ถือว่ายอดมากในการเชื่อมกับเหตุการณ์ปัจจุบันครับ เป็นการค่อยๆ ดึงเราจมลงสู่โลกของหนังโดยปริยาย
ประเด็นต่อมาคือเรื่องของโรเบิร์ต ที่ตัดสินใจรับลูกใครก็ไม่รู้มาเลี้ยง ซึ่งมันไม่ได้เป็นไปอย่างไร้เหตุผลครับ มันเป็นเพราะบาทหลวงสปิเลตโต้กล่าวหว่านล้อมโดยอ้างคำถึง “พระเจ้า” … “วิถีของพระเจ้า” … พระเจ้าต้องการเช่นนั้น พระเจ้าต้องการเช่นนี้
… กระบวนการล่อหลอกที่เล่นกับความอ่อนแอของจิตมนุษย์นี่แหละคือวิถีของซาตานล่ะ
แล้วที่โรเบิร์ตยอมก็ไม่ใช่เพราะอะไร .. เพราะเขารักเมียครับ (จุดนี้ต้องชม Schreiber เหมือนกันครับ แกดูรักเมียดี)
แล้วต่อมาหนังก็เล่าถึงความสุขสันต์ของครอบครัวธอร์น เล่าให้เห็นภาพว่าครอบครัวนี่มีความสุขกันแค่ไหน … ที่เล่าแบบนี้ก็ดีครับ เพราะเราสัมผัสได้เต็มๆ ถึงความแตกต่างและแตกแยกของครอบครัวนี้ หลังจากงานวันเกิดปีที่ 5 ของเดเมี่ยน
และจุดที่ผมเห็นว่ายอดเต็มๆ คือ ตัวแคทเธอรีน ธอร์น นี่แหละที่เขียนออกมาได้สมบูรณ์กว่าต้นฉบับ เพราะได้แง่มุมทางจิตวิทยามาค่อนข้างครบ เหตุผลนี่ไล่เรียงกันมาลงตัวมากเลย
อย่างที่เห็นกันครับว่าแคทเธอรีนเธอรักลูก ทีนี้พอเดเมี่ยนเริ่มทำตัวแปลกๆ เริ่มมองเธอแบบแปลกๆ เธอก็เริ่มรู้สึกแปลกต่อเด็กคนนี้เช่นกัน จนไปๆ มาๆ จากแค่แปลกก็เริ่มกลายเป็นความเกลียดและรำคาญ … แต่ขณะเดียวกันใจเธอก็สับสัน เพราะลูกคนนี้เธอรอมานานและเธอรักเขามาก การที่เธอรู้สึกเกลียดเขานี่แหละที่ทำให้เธอสับสนในตัวเองมากขึ้น ประมาณว่า “นี่ลูกเธอนะ … เธอเป็นแม่ประสาอะไรถึงเกลียดลูกตัวเองน่ะ” … ทั้งรัก ทั้งเกลียด เกลียดรัก รักเกลียด … จุดนี้ก็เป็นความขัดแย้งในตัวแคทเธอรีนที่เห็นกันชัดมากกว่าฉบับก่อนครับ ที่ของเก่าดูจะเล่าแบบเผินๆ เท่านั้น แต่อันนี้บอกรายละเอียดเต็มๆ เราเลยเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้หวาดผวาและสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลต่อสภาพจิตใจเธอในที่สุด
… แล้วยังไม่รวมภาพลางร้ายมากมายที่เธอเห็นอีกนะ … สิ่งเหล่านี้หลอนจิตเธอจนแตกสลายไปหมด
ยังมีประเด็นการตีความคำทำนายว่าเดเมี่ยนจะขึ้นครองอำนาจอย่างไร อีกจุดนี้ทำให้การตายของคนมากมายในหนังมันเป็นไปอย่างมีเหตุมีผลมากขึ้น
+++ ประโยคตรงนี้อาจสปอยล์นะครับ ข้ามไปอ่านข้างล่างเร้ว +++
… หนังหลายเรื่องคนตายเพราะอยากให้คนดูสะใจและสยอง แต่กับเรื่องนี้มีเหตุผลในตัวเองครับ นั่นคือทุกคนที่ตาย ล้วนเป็นการตายเพื่อเป็นการกรุยทางให้เดเมี่ยนได้ทุกอย่างในตระกูลธอร์น นั่นเอง รวมไปถึงการอธิบายว่า เดเมี่ยนจะครองทุกอย่างในโลกโดยการไต่อำนาจทางการเมือง … จุดนี้ผมว่ามันอุดรูรั่วของฉบับเดิมได้ดีนะครับ ของเดิม (โดยเฉพาะภาค 2 และ 3) จะละทิ้งประเด็นนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เหมือนกับคนตายก็ตายไปอย่างงั้นเท่านั้นเอง แต่การที่หนังเล่าอะไรแบบนี้ทำให้รู้สึกทึ่งในการวางแผนของซาตานจริงๆ
++++++++++++++++++++++++
นี่จึงเป็นจุดที่ผมประทับใจสำหรับภาคนี้ครับ มันเล่าได้ครบองค์ประชุม ในขณะที่ของเก่าจะไม่ละเอียดเท่านี้น่ะครับ ผมถึงบอกไงว่าภาคนี้แม้จะไม่เด็ดเท่าของเก่า แต่ดูแล้วเข้าใจที่มาที่ไปต่างๆ มากขึ้นพอสมควรทีเดียว
เฮ่อ ร่ายยาวหน่อย แต่ก็เพื่อจะบอกที่คิดให้ครบๆ น่ะครับ
สรุปนะครับ สำหรับท่านๆ ที่อยากดูหนังสยองแหวะ ไม่ใช่เรื่องนี้นะครับ มันสยองในระดับหนึ่งในเรื่องบรรยากาศและฉากที่จัดออกมาได้ดี แต่ถ้าว่ากันตรงๆ โดยรวมๆ รสชาติอาจยังไม่กลมกล่อม ไม่ลงตัวนัก ดารายังขาดๆ เกินๆ บ้าง แต่ผลออกมาก็ไม่ถึงกับน่าผิดหวัง เหมาะสำหรับคนชอบหนังซาตานน่ะครับว่างั้นเถอะ
แต่สำหรับความเห็นส่วนตัวแล้ว หนังมีความเข้มข้นมากในเนื้อเรื่อง การตามปม แม้ผมจะรู้ปมหมดแล้วก็เถอะ แต่มันก็ยังน่าติดตามอยู่ดี ซึ่งเผอิญผมดูหนังฉบับเดิมครบทั้งสามภาค ตามด้วยการอ่านนิยายอีก 5 ภาคนะครับ รู้รายละเอียดมันทุกเหลี่ยมคู ดูเรื่องนี้ความรู้สึกผมก็คือ เหมือนได้เห็นตัวนิยายออกมาโลดแล่นแบบครบถ้วนน่ะครับ นิยายนั้นจะเล่าถึงเรื่องอารมณ์ของตัวละครได้เยอะ แต่หนังก็ตามเก็บมาได้แบบครบ
และอีกจุดที่อยากให้สังเกตคือ สีครับ โทนสีในหนังคือ ดำ ขาว แดง โดยเฉพาะสีแดงที่จะสื่อความหมายมรณะแบบตลอดเวลา ไม่ว่าจะชุดที่แคทเธอรีนใส่ ผ้าห่มของเธอตอนโรงพยาบาล สีของดอกไม้ หรือแม้แต่กระบอกรดน้ำต้นไม้ที่เธอถือ มันสื่อลางมรณะตลอดเวลา ช่วงต้นๆ นี่สีแดงจะโผล่มาอยู่รอบตัวเธอตลอดเวลา ในขณะที่โรเบิร์ตจะยังไม่ค่อยโดนสีแดงล้อมซักเท่าไหร่ …แต่พอมาช่วงท้าย พอโรเบิร์ตเริ่มตามหาความจริง ก็จะมีของสีแดงๆ โผล่มาเพียบ เหมือนสื่อว่า อำนาจซาตานคอยเล่นงานเขาอยู่ตลอดเวลา ตอนที่เขายังไม่คิดเล่นงานมัน มันก็ยังนิ่งๆ แต่พอเขารู้ความจริง … เขาต้องตาย!
พอมาช่วงท้าย โปรดสังเกตเช่นกัน สีฟ้าจะเริ่มปรากฏครับ เป็นเหมือนตัวแทนแห่งความดีและขณะเดียวกันก็สื่อถึงอารมณ์หม่นเศร้าท้อแท้ได้ด้วย (Blues ไงล่ะครับ) มันจะเริ่มโผล่ตอนที่โรเบิร์ตเริ่มสิ้นหวัง โทนมันจะฟ้าขึ้นมาเลย แต่อันที่ผมชอบที่สุดคือฉากที่โรเบิร์ตไปหาเจนนิ่งส์ที่ห้อง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราจะได้เห็นซีกซ้ายที่โรเบิร์ตคุยกับเจนนิ่งส์นั้นเป็นโทนสีฟ้า สีฟ้าที่ริบหรี่เหลือเกิน … ในขณะที่ซีกขวา ท่านจะได้เห็นแสงสีแดงที่ปกคลุมความมืดอยู่อย่างโชติช่วง มันแบ่งครึ่งกันชัดเลยครับว่าความดีและความชั่วกำลังก่อสงครามกันอยู่
ฉากมรณะ กับกลีบกุหลาบ … สีแดง
งานด้านภาพ และ โทนสีก็เป็นอีกจุดที่ผมชื่นชอบมากในหนังเรื่องนี้ครับ ซึ่งก็ต้องชมผู้กำกับ John Moore (Behind Enemy Lines) อดีตผู้กำกับหนังโฆษณาที่มีฝีมือพอตัวกับงานถ่ายภาพนะครับ หนังเลยเด่นด้วยงานด้านภาพและโทนสี บทก็แน่นด้วยฝีมือของ Seltzer แต่ก็อย่างที่บอก หนังมีจุดเด่นที่อุดจุดด้อยของฉบับเก่าได้ดี แต่ขณะเดียวกันจุดที่ดีอยู่แล้วของฉบับเก่า หนังฉบับ 2006 นี้ก็ยังไม่สามารถทำให้เทียบเท่าได้
ดังนั้นถ้าเอาจุดดีของสองฉบับมาบวกกัน มันต้องสุดยอด
ลึกๆ แล้วอยากให้หนังมีตอนต่อครับ เพราะอยากจะบอกว่าเรื่องราว (ตามนิยาย) ของภาค 2 – 3 นั้นเข้มข้นสุดๆ ครับ เป็นการไต่บัลลังก์อำนาจของเดเมี่ยนที่น่าติดตามสุดๆ ถ้าหากหนังภาคต่อสามารถคงความเข้มข้นแบบภาคนี้ได้ ภาคสองของหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังภาคต่อที่ดีกว่าตอนแรกแน่นอน
โดยรวมๆ เข้าข่ายชอบครับ เป็นหนังซาตานที่เข้าท่าเข้าทางอีกเรื่องหนึ่ง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณๆ แล้วนะครับว่าจะดูไหม หนังมันมีอืดๆ บ้าง ไม่ได้สยองสุดๆ แต่สำหรับผมมันมีงานด้านภาพและโทนสีมาดึงความสนใจตลอด ตามด้วยบทและปม … เผอิญผมชอบรายละเอียดที่หนังใส่มาน่ะครับเลยสนุกไปตลอด แต่ผมไม่อาจบอกได้นะครับว่าท่านจะชอบหรือไม่ เพราะดูแนวโน้มแล้วก็รู้สึกจะมีคนชอบน้อยเหลือเกิน ฉะนั้นอย่าเอาผมมาเป็นบรรทัดฐานครับ คิดซะว่าผมแค่เอามาเล่าสุ่กันฟังขำๆ ก็พอ นะฮะ
สองดาวใกล้ครึ่งครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Horror, Mystery