เรื่องอื่นรอดูได้ แต่สำหรับเรื่องนี้รอไม่ไหวจริงๆ ครับ เข้าโรงแล้วขอดิ่งไปดูให้กระจ่างใจกันไปเลย ทั้งในฐานะคนที่ติดตามหนังชุดนี้มานาน และในฐานะที่อยากรู้ว่า Trek ภาคนี้จะออกมาอย่างไร หลังจากเปลี่ยนมือผู้กำกับไปเป็น Justin Lin
อย่างไรก็ดี คงต้องออกตัวก่อนครับว่าผมใช้เวลาเรียบเรียงข้อเขียนนี้อยู่นาน เพราะพอดูจบปุ๊บ ความคิดก็กระจัดกระจายอยู่พักหนึ่ง เอาเป็นว่าสิ่งที่ผมเขียนอาจไม่ได้ถูกใจหรือโดนใจทุกท่านไปเสียทั้งหมด แต่ก็อยากให้มองว่าเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นกันแบบสนุกๆ ตามประสาคนที่รักหนังชุด Star Trek (แบบเต็มหัวใจ) ก็แล้วกันนะครับ
(บอกก่อนว่ายาวมาก… ไม่ได้ขู่ครับ ยาวจริงๆ ถ้าไม่ชอบของยาว ขอแนะนำให้อ่านแค่ 2 ย่อหน้าข้างล่างนี่พอ)
ในเบื้องต้น บอกได้ว่าหากใครใคร่ดูก็เข้าไปดูได้เลยครับ ถือว่าเป็น Trek ภาคที่สนุกพอตัว ซึ่งเชื่อว่า Trekkie กับคนที่ดู 2 ภาคก่อนมาแล้วก็น่าจะเพลิดเพลินกับหนังได้ไม่ยาก
เพียงแต่หากว่าใครติดรสมือหวือหวาอุดมท่ายากของผู้กำกับ J.J. Abrams แบบเมื่อ 2 ภาคก่อนล่ะก็ คงต้องปรับความคาดหวังกันพอสมควรครับ… ประโยคหลังนี่ผมพร่ำบอกตัวเองระหว่างดูนี่แหละ (5555)
ภาคนี้เหตุการณ์เกิดหลังจากภาคก่อนประมาณเกือบ 3 ปีครับ หนนี้กัปตันเคิร์ก (Chris Pine) และลูกยานเอ็นเตอร์ไพรส์ต้องเผชิญกับวายร้ายผู้ลึกลับนามว่า ครัลล์ (Idris Elba) ที่ถล่มยานและจับลูกยานไป ทำให้เคิร์กและพรรคพวกต้องหาทางช่วยทุกคนและหยุดยั้งแผนนรกของครัลล์ลงให้ได้
ครับ อย่างที่บอกว่าหนังดูสนุกตามสไตล์หนังแอ็กชันผจญภัยกลางอวกาศ มีแอ็กชัน มีระเบิด มีการไล่ล่า มีการผจญภัย ซึ่งโดยรวมก็ถือว่า Lin (ซึ่งนี่ถือเป็นงานหนังไซไฟผจญภัยเรื่องแรกของเขา) ทำหน้าที่ได้ดีในระดับหนึ่งล่ะครับ
มาว่ากันที่จุดที่ผมชอบก่อน อย่างแรก ชอบที่ในที่สุดลูกยานก็ได้ผจญภัยออกสำรวจดินแดนใหม่ๆ ซักทีครับ (หลังจาก 2 ภาคแรกป้วนเปี้ยนอยู่แถวโลกตลอด) ซึ่งผมว่านี่เป็นสิ่งที่แฟนๆ รอมานานว่าจะได้เห็นน่ะนะครับ
ฉากที่ยานค่อยๆ เทียบท่าสถานีเมืองกลางอวกาศมันสวย งาม อลัง และดนตรี (โดย Michael Giacchino เจ้าเดิมจาก 2 ภาคแรก) ก็บรรเลงได้ไพเราะ ได้อารมณ์มากๆ ครับ มีการไล่กล้องดูรายละเอียดของเมือง ถือว่าจินตนาการเจ๋งเอาเรื่องทีเดียว
สิ่งที่ชอบต่อมาคือฉากประเภทให้ตัวละครมานั่งคุยกัน อย่างตอนเคิร์กกับหมอแม็คคอย (Karl Urban) ชนแก้วปรับทุกข์กันเบาๆ หรือตอนหมอแม็คคอยฟังสป็อค (Zachary Quinto) ระบายความรู้สึก ฉากพวกนี้ทำออกมาได้ดีครับ แสดงตัวตนของแต่ละคนผ่านคำพูดได้ดี และสื่อถึงมิตรภาพได้อย่างน่าสนใจ
เอาล่ะครับ นั่นคือสิ่งที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้ แต่ถ้าถามว่าชอบมากไหม ก็คงต้องตอบว่า “ชอบ 2 ภาคก่อนมากกว่า” ซึ่งจุดนี้แต่ละคนคงไม่เหมือนกันครับ บางท่านอาจชอบภาคนี้มากกว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ถัดจากนี้ไปก็คงมีสปอยล์ล่ะนะครับ ไม่อยากทราบไม่ควรอ่านครับผม เอาเป็นว่าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน (ในเบื้องต้นก็อย่างที่บอกครับ หากใจอยากดูก็ดูได้เลยครับ)
==================================
ตัวหนังจริงๆ ถือว่าเวิร์กครับ เวิร์กกว่าหนัง Trek ภาคสมัยก่อนบางภาคซะอีก แต่สำหรับผมนั้นยอมรับเลยว่าติดใจลีลาของ J.J. มากกว่า อย่างแรกเลยคือเรื่องแอ็กชันน่ะครับ
ภาคนี้แอ็กชันมีเรื่อยๆ ก็จริง แต่รู้สึกว่ามันยังไม่สุด ทั้งๆ ที่บางฉากนี่มโหระทึกมาก ไหนจะยานเอ็นเตอร์ไพรส์พังอีก ซึ่งผลที่ได้จริงๆ ก็โอเคครับ แต่เหตุที่ผมชอบ 2 ภาคที่แล้วมากกว่าคือ ฉากแอ็กชันใน 2 ภาคก่อนมันจะมี “อารมณ์โกลาหลกระตุ้นอะดรีนาลีนแบบเข้มข้น” ผสมอยู่
ฉากแอ็กชัน 2 ภาคก่อนมันลุ้นน่ะครับ กล้องเคลื่อนไหวตลอด ตัดต่อเหวี่ยงจนหวาดเสียว นำเสนอแบบบีบเค้นอารมณ์มากๆ คือดูแล้วแทบจะรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนและความกลัวความสับสนของลูกยานได้เลย มันโกลาหลได้โล่ห์ได้ใจจนหายใจหายคอไม่ทันจริงๆ
แต่กับภาคนี้ จริงๆ ในแต่ละฉากแอ็กชันนั้น หากว่ากันที่ “เนื้อหา” มันก็ไม่ต่างจากภาคก่อนๆ หรอกครับ อันที่จริงมันคอขาดบาดตายกว่า และสิ้นหวังกว่าด้วย แต่อารมณ์สับสนโกลาหลมันยังไม่มาก หลายฉากที่น่าจะพีคมันเลยไม่พีค (อย่างฉากเปิดเพลงถล่มพวกวายร้าย จริงๆ ฉากนั้นถือว่ามันส์น่ะครับ แต่มันไม่พีคจัดๆ เต็มๆ สักเท่าไร)
จุดนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะทีมงานคนละชุดกันครับ คนละชุดกันโดยสิ้นเชิง นอกจากผู้กำกับแล้ว ตากล้องก็คนละคน ทีมตัดต่อก็คนละทีมกัน โดย 2 ภาคแรกตากล้องคือ Daniel Mindel ส่วนมือตัดต่อคือ Maryann Brandon และ Mary Jo Markey ซึ่งชุดนี้เป็นทีมคู่บุญของ J.J. เขาครับ เลยตามไปทำ Star Wars VII ด้วย
ในขณะที่ภาคนี้ตากล้องคือ Stephen F. Windon ที่ร่วมงานกับ Lin ใน Fast 3 – 6 แต่ก็คล้ายกับ Lin คือเขาไม่เคยกำกับภาพหนังไซไฟเน้นจินตนาการแบบนี้มาก่อน (ส่วนมือตัดต่อในเรื่องก็มีถึง 4 คนด้วยกันครับ) ดังนั้นก็ไม่แปลกครับหากลีลาจะไม่เน้นเล่นท่ายาก แต่จะเล่นลีลามาตรฐาน ไม่หวือหวา แต่ออกมาชัวร์
จุดนี้ไม่อยากโทษทีมใหม่ เพราะถือว่าทำออกมาได้มาตรฐาน แต่อยากโทษทีมเก่าที่ดันปล่อยของออกมาดีเกิน จนผมติดใจซะมากมาย (หรือไม่ก็อาจต้องโทษตัวเองที่ดันตั้งมาตรฐานไว้สูงเกิน 555)
================================
อีกจุดหนึ่งคือ ใน 2 ภาคก่อน ณ ขณะที่ตัวละครกำลังบู๊, สู้, หนี, บังคับยานตีกับศัตรูนั้น ลีลาการนำเสนอมันจะถ่ายทอดในอารมณ์ว่า “พวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นทีมเดียวกัน” คือมันดูเป็นทีมน่ะครับ ดูรู้ใจ สื่อใจถึงกัน พร้อมเสียสละยอมตายให้กัน จนถึงขั้นทำให้คนดูรู้สึกว่า “ถ้า 7 คนมันรวมพลังกันแบบจริงๆ จังๆ ล่ะก็ ต่อให้หลุมดำอยู่ตรงหน้า ก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก”
ในขณะที่ภาคนี้พลังทีมมันลดลงครับ การเฉลี่ยบทในตอนต้นก็ดูจะเวิร์ก แต่ตอนท้ายๆ บางตัวละครก็แทบจะหายไปเลย (อย่างซูลูกับเชคอฟ เป็นต้น) ไม่เหมือน 2 ภาคก่อนที่อย่างน้อยเราก็จะได้เห็นพวกเขาวิ่งพล่านไปโน่นไปนี่ ทำทุกอย่างเพื่อช่วยคนบนยานหรือไม่ก็ชะลอเหตุหายนะที่กำลังจะเกิด
มาคิดๆ ดูแล้ว 2 ภาคก่อนที่ดูแล้วพีคมันเนื่องจากหลายองค์ประกอบมารวมกัน ทั้งการแจกแจงตัวละคร, ลีลาหวือหวาบิ้วอารมณ์โกลาหล, ดนตรีเร้าๆ, การเล่นมุกส่งมุกในจังหวะที่พอเหมาะ, การเดินเรื่องที่ไวจนหายใจแทบไม่ทัน (เพื่อนผมบางคนนิยามว่า “ยังกับมันเสพยาบ้ากันทั้งยาน” 555)
ในขณะที่ภาคนี้ความเร้า ความเป็นทีม ดูจะยังไม่แน่นเท่าคราวก่อน แต่อย่างน้อยถ้าพูดถึงความเป็น Trek แล้ว หนังก็ยังคงเป็น Trek อยู่นั่นแหะครับ
สำหรับตัวร้ายนั้นก็ยังไม่สุดครับ จริงๆ ครัลล์มีปูมหลังน่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะแรงจูงใจหรือการหักมุมที่หนังเผยในตอนท้าย แต่หนังยังดันตัวละครนี้ไม่สุด เหมือนจะดันแต่เฉพาะตรงความร้าย ความโหด แต่ไม่ดันคาแรคเตอร์ให้น่าจดจำ ไม่เปิดโอกาสให้ตัวละครนี้ได้แสดงมิติอื่นใด เลยทำให้ความขลังของครัลล์ยังไม่เยอะ
==================================
ถ้าว่ากันถึงเรื่องบท จริงๆ ตอนต้นมีการเปิดปมหลายอย่างที่น่าสนใจครับ อย่างเรื่องปมในใจของเคิร์ก, ทางเลือกของสป็อก ซึ่งปมพวกนี้ก็ได้รับการสานต่ออยู่พักหนึ่ง และปมของสป็อกก็ถูกสรุปได้อย่างดีใน “ฉากๆ หนึ่ง” (ที่ผมจะพูดในตอนท้าย) แต่สำหรับปมของเคิร์กนั้น ถือว่ายังไม่ค่อยได้รับการต่อยอดให้เกิดเป็นแง่คิดแบบที่ภาคก่อนเคยทำสักเท่าไร
จริงๆ ผมว่าตัวบทหนังนั้น มันค่อนข้างชัดล่ะครับว่ามีการวางจะให้ตัวครัลล์ เป็นเหมือนบทเรียนสอนชีวิตให้กับเคิร์ก
ตัวเคิร์กนั้นกำลังอยู่ในช่วงสับสนว่า ตกลงเราเข้าสตาร์ฟลีทมาทำไม? อะไรคือสิ่งที่เราค้นหา? การตะลุยจักรวาลแบบนี้มันให้อะไรกับเราเหรอ?
ฉันเป็นใคร? และอยู่ตรงนี้เพื่ออะไรกันแน่?
ในขณะที่ครัลล์นั้นคืออดีตทหารนักรบของโลกที่รู้สึกตัวอยู่ทุกนาทีว่า “ฉันเกิดมาเพื่อรบ” เขาเลยรบ รบ รบ และเชื่อในพลังแห่งการรบราฆ่าฟันเหนืออื่นใด
ครั้นพอสตาร์ฟลีทก่อตั้งขึ้น บนรากฐานที่ต้องการให้ทุกจักรวาลและทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันได้โดยสันติ หยุดการฆ่าฟัน และแบ่งปันอวกาศให้แก่กัน ครัลล์ก็ไม่ค่อยจะเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้สักเท่าไร แต่เขาก็ยอมตาม (ในแง่หนึ่งเขาก็อาจจะอยากลองเชื่อในพลังแห่งสันติและความสามัคคีดูสักครั้งก็ได้)
แต่พอเขาประสบเหตุจนต้องติดอยู่บนดาวดวงหนึ่ง และไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ เขาเลยหมดศรัทธาต่อสตาร์ฟลีท ส่วนความเชื่อในเรื่องสันติและสามัคคีที่มีน้อยอยู่แล้ว ก็ยิ่งหายไปกันใหญ่ (เพราะเขาต้องฝ่าฟันมันคนเดียว ไม่มีใครมาช่วยเลย)
แล้วในที่สุดมันก็เปลี่ยนเป็นความแค้น เป็นความเห็นแก่ตัว และเขาก็กลับมาหมกมุ่นในการรบการฆ่าที่เขาเชื่อมั่นในพลังของมันอีกครั้ง อันทำให้เขาค่อยๆ หมดความเป็นมนุษย์ไปในที่สุด
หากคิดแบบต่อยอดสักหน่อย (ซึ่งในหนังอาจจะไม่ได้บอกไว้ แต่ผมคิดต่อเอาเองครับ) ผมว่าเรื่องนี้สอนเคิร์กได้หลายอย่าง
อย่างแรกคือ ตัวครัลล์นั้นเป็นพวกที่ยึดติดแต่กับอดีต ติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ ของตน ไม่ยอมเปิดรับสิ่งใหม่ จนสุดท้ายสิ่งที่เขาหมกมุ่นก็กลายเป็นเหมือนอาวุธร้ายทำลายชีวิตอื่นๆ
ในขณะที่เคิร์กเองก็คล้ายกันครับ ปล่อยให้ปมและคำถามจากอดีตมาถ่วง “ปัจจุบัน” ทำให้เขาไร้ความสุข รู้สึกชีวิตไร้จุดหมาย จนมันค่อยๆ ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายและว่างเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งในแง่หนึ่งมันยังส่งผลต่อเขาในการทำหน้าที่ “กัปตัน” ณ ปัจจุบัน
หากเคิร์กวางอดีตและอยู่กับปัจจุบันได้ ชีวิตกัปตันอย่างเขาคงมีความสุขมากขึ้น และอาจช่วยชีวิตผู้คนได้มากขึ้น (จุดนี้แอบคิดเหมือนกันว่าการที่เคิร์กไม่ไหวตัวเรื่อง “นกต่อที่ครัลล์ส่งมาล่อลวง” ให้เร็วกว่านี้ อาจเป็นเพราะความสับสนที่เกิดขึ้น จนส่งผลให้เขาโฟกัสบทบาทหน้าที่ในปัจจุบันได้น้อยลงก็ได้)
อย่างที่สองคือ เคิร์กพยายามหาคำตอบว่าฉันกำลังตามหาอะไร? ฉันคือใคร? นี่ฉันมาเป็นกัปตันเพียงเพราะมีคนท้าเท่านั้นน่ะหรือ? เขาคงคิดว่ามันคงจะมีอะไรสักอย่างที่สามารถให้คำตอบกับเขาได้ในเวลาอันสั้น ประมาณว่าคำตอบเป็นดั่ง “ขุมทรัพย์” ที่เจอปุ๊บก็ใช่เลย อะไรแบบนั้น
แต่แท้จริงแล้ว การท่องอวกาศก็เหมือนการใช้ชีวิตน่ะครับ เราอาจจะไม่ได้สาระพลิกชีวิตแบบเต็มๆ ในครั้งเดียว แต่มันจะค่อยๆ สั่งสมเป็นประสบการณ์ ก่อนจะค่อยๆ กลั่นออกมาเป็นแง่คิด เป็นเข็มทิศ หรือเป็นสาระแห่งชีวิต ให้เราได้นำมันมาปรับปรุงวิถีของเราให้เข้าใกล้ “ใจตน” ช่วยให้เราเข้าใจตนเองได้มากขึ้น
เกือบ 3 ปีที่เคิร์กท่องอวกาศมา หากเขามองหาโดยหวังว่า “คำตอบของชีวิต” จะวางอยู่บนแท่น รอให้เขาไปหยิบมา ณ ที่ใดที่หนึ่งในอวกาศ เขาก็อาจจะยังไม่พบมัน
แต่หากเขาย้อนมองประสบการณ์ที่เขาได้รับ มองสิ่งที่เขาเจอจากแต่ละเหตุการณ์ ทั้งหมดนั้นแหละที่จะค่อยๆ ทำให้เขาพบกับ คำตอบ, นิยาม, เป้าหมาย หรือคุณค่าของคำว่า “ชีวิต”
ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าเคิร์กคิดอย่างไร ถึงรู้สึกยินดีรับตำแหน่งกัปตันต่อในตอนท้าย ทั้งที่ตอนแรกก็บอกอยู่ว่าอยากจะสละตำแหน่งนี้ให้สป็อกแทน… อยากรู้เหมือนกันนะ (แต่หนังเหมือนจะยังไม่เคลียร์เท่าไรในจุดนี้)
และหากจะมาอะไรที่ติดอยู่ในใจ ก็คงหนีไม่พ้นประเด็น “ความรับผิดชอบของกัปตัน” ที่มีการปูไว้เมื่อภาคก่อน พอมาภาคนี้เหมือนประเด็นนี้จะหายไปน่ะครับ อย่างลูกยานคนหนึ่งที่เคิร์กฝาก “ของสำคัญ” เอาไว้แล้วเธอก็ต้องมาตาย ตอนแรกก็นึกว่าเคิร์กจะรู้สึกเจ็บแค้นครัลล์มากขึ้น หรือรู้สึกเสียใจที่ให้เธอรับภาระนี้ จนต้องลงเอยด้วยความตาย โดยที่เขาไม่สามารถกลับมาปกป้องช่วยเหลือเธอได้ (ในฐานะกัปตัน)
กล่าวคือนึกว่าตัวละครนี้จะมาช่วยกระตุ้น “ความรู้สึกรับผิดชอบในฐานะกัปตันของเคิร์ก” อะไรประมาณนั้น
แต่กลายเป็นว่าบทของเธอคนนี้กลับไม่ได้มีผลต่อเคิร์กแบบที่คิด (ซึ่งก็แอบเสียดายเล็กๆ น่ะครับ)
============================
เอาล่ะครับ ร่ายมาเยอะยาว ก็ขอสรุปเป็นว่า จริงๆ ผมก็ยังเพลินกับ Trek ภาคนี้น่ะครับ เพียงแต่อาจไม่โดนใจไปทั้งหมด แต่ก็ไม่เป็นไร ผมยังพร้อมจะดูภาคต่อๆ ไปอยู่แล้วล่ะ ส่วนนักแสดงแต่ละคนก็เล่นได้ดีหมดล่ะครับ ไม่วาจะเคิร์ก, สป็อก, แม็คคอย, อูฮูร่า, ซูลู, เชคอฟ หรือ สก็อตตี้ ส่วน Boutella ก็ไม่เลวเลยครับ เพียงแต่ Elba อาจยังไม่เด่นเท่าตัวร้ายรายก่อนๆ เท่านั้น
เสียดายเพียงแค่เราจะไม่ได้เห็น Anton Yelchin ในบทเชคอฟอีกต่อไป รวมถึง Leonard Nimoy ก็จากไปด้วยเช่นกัน
สำหรับผม แม้ภาคนี้จะไม่ได้ชอบที่สุด แต่ก็ถือเป็นภาคที่มีความหมายลึกๆ ตรงที่เป็นการโบกมืออำลาส่งทั้ง 2 คน
ฉากที่สป็อกเอาภาพที่อยู่ในกล่องของสป็อกคนเก่ามาเปิด เป็นหนึ่งในฉากที่ดีที่สุดของภาคนี้ (และทุกภาค) มันกินใจแบบไร้คำบรรยาย และมันคือที่สุดจริงๆ สำหรับการบอกความรู้สึกของสป็อก (ผมถึงบอกว่าปมของสป็อก แค่ฉากนี้ก็เอาอยู่แล้วครับ ไม่ต้องบอกเลยว่าเขาจะเลือกอยู่หรือไป)
จำได้ตอนเดินออกจากโรง (ออกเป็นคนสุดท้ายเพราะอยากเห็นคำอุทิศที่หนังมอบให้ทั้ง 2 คนนี้ แต่โรงก็ปิดจอไปก่อน ผมเลยต้องเดินออกมา)
ผมเลยเดินช้าๆ ออกจากโรง เดินมามองท้องฟ้าข้างนอก…
แล้วนึกในใจว่า “ลาก่อนสป็อก (Nimoy)… โชคดีนะ เชคอฟ (Yelchin)
ที่ผมเข้าโรงมาดูหนังในวันนี้ จริงๆ ก็เพื่อมาส่งพวกคุณนี่แหละ”
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Sci-Fi