รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Room (2015) รูม ขังใจไม่ยอมไกลกัน

17191456_1543874242310038_4869409753552854674_n

หากให้สรุปเบื้องต้นล่ะก็ นี่เป็นหนังดีที่ควรค่าแก่การดูมากๆ เรื่องหนึ่งเลยครับ ทำออกมาได้ถึงอารมณ์มาก ดาราเล่นดี เพียงแต่มันจะมีความกดดันและชวนให้หดหู่เจืออยู่เยอะสักหน่อยเท่านั้นแหละ ดังนั้นใครไม่สันทัดหนังเครียดๆ หรือกดดันๆ ก็ขอแนะให้เตรียมใจก่อนดูนิดนึงครับ

ทีนี้เพื่อความลื่นในการเขียนบอกเล่าผมก็ขอแจ้งไว้ตรงนี้เลยว่า เนื้อหาที่ผมเขียนนี้จะมี**สปอยล์**ครับ เพราะตระหนักได้ว่าหากเขียนกั๊กๆ มันคงไม่เพลินเท่าไร (หมายถึงผมเขียนไม่เพลินน่ะนะครับ 555)

บอกตามตรงว่าผมต้องใช้เวลาทำใจอยู่นานมากๆ กว่าจะหยิบหนังเรื่องนี้มาดู เพราะฟังเพียงพล็อตก็รู้ครับว่ามันคงเครียดไม่น้อย ใจและจิตมันต้องตกกันบ้างล่ะ แต่เมื่อหนังได้รางวัลและเป็นที่กล่าวขวัญ มันก็ต้องลองกันหน่อย

เรื่องของหญิงสาว (Brie Larson) ที่โดนคนจับไปขังไว้แล้วก็ข่มขืนจนมีลูกชายออกมาหนึ่งคน (Jacob Tremblay) ซึ่งเธอกับลูกก็ต้องอยู่ในห้องเล็กๆ นั้นไม่ได้ออกไปไหน ได้เห็นแสงตะวันก็จากเพดานกระจกเล็กๆ ตรงกลางห้องเท่านั้น

ตอนต้นนี่อึดอัดแท้ครับ มันกดดันจริงๆ นะ การต้องมาเห็นแม่ลูกคู่หนึ่งอยู่ในห้องแคบๆ อย่างไร้ความหวัง สารภาพเลยครับว่าแต่ละนาทีที่พวกเขาต้องอยู่ในห้องนั้นมันสะเทือนใจได้เรื่อยๆ แม้จะมีฉากความรักความผูกพันของแม่ลูกแทรกเป็นพักๆ ก็เถอะ แต่มันกลับทำให้รู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก (เพราะพวกเขาไม่ควรมาเจออะไรแบบนี้เลยจริงๆ)

หนังอาจไม่ได้มีฉากโหดร้ายทารุณ แต่การเห็นคนโดนขัง (ผู้หญิง 1 เด็ก 1) ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด จะหนีก็หนีไม่ได้แบบนี้ ความหดหู่มันก็บังเกิดทับถมครับ ระหว่างดูเนี่ยผมต้องใช้ความอดทนค่อนข้างมากในการดูต่อไป เพราะใจมันแอบกระซิบอยู่บ้างในเลยครับ “ไม่ไหวแล้วนะ ไม่อยากทนดูต่อแล้วล่ะ”

มันเป็นอารมณ์หดหู่ผสมกดดันแล้วบวกด้วยหงุดหงิด ประมาณว่าเมื่อไรพวกเขาจะพ้นเรื่องบ้าๆ นี่ไปสักที ซึ่งจุดนี้หากเรามามองในแง่ของการทำหนังแล้ว ก็ต้องถือว่าหนังทำได้เวิร์กมากๆ ล่ะครับ เพราะถ้าไม่เวิร์กจริงเราก็คงไม่เกิดอารมณ์ร่วมระหว่างดูได้ขนาดนี้

ก็ต้องชมทั้งตัวนิยายต้นฉบับของ Emma Donoghue บวกด้วยฝีมือของผู้กำกับ Lenny Abrahamson และการแสดงของ 2 ดารานำที่ทำให้เราซึ้งถึงอารมณ์หดหู่จนบางครั้งก็แทบจะไม่อยากอดกลั้นอีกต่อไป ถ้าทำได้ก็อยากหาทางช่วยพวกเธอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่แน่นอนว่าตราบใดที่เราโดดเข้าไปในจอหนังไม่ได้ เราก็ช่วยพวกเขาไม่ได้แน่ๆ (มันเลยอึดอัดหนักขึ้นไปอีก)

แต่กระนั้นก็ยังอยากดูต่อครับ อยากรู้ว่าชีวิตพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป และเอาใจช่วยให้พวกเขาพ้นจากเรื่องนี้ไปซะ และเพราะแบบนี้ล่ะครับผมเลยรู้สึกเชิงบวกกับตัวหนังมากขึ้น เพราะแม้มันจะนำเสนอเรื่องราวที่ชวนหดหู่ แต่ก็ยังกระตุ้นให้คนดูอยากดูต่อไปได้

ซึ่งก็ต้องถือว่าคนทำมีฝีมือเลยล่ะครับ สามารถทำให้อารมณ์หดหู่มันมากจนถึงระดับสูงในใจคนดู แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้สูงจนล้ำเส้น ไม่ทำให้คนดูเกิดอาการรับไม่ได้ ถ้ามือปรุงไม่แม่นล่ะก็ หนังมันคงออกมาประดักประเดิด ไม่มากไปก็น้อยไป แต่กับผลที่ได้ ถือว่าปรุงได้เหมาะมากทีเดียว

หนังทำได้ลุ้นพอสมควรในตอนกลางครับ เมื่อแจ็คออกมาข้างนอกได้ตามแผนของแม่ ช่วงนี้ลุ้นจริงๆ นะ เพราะครึ่งแรกใจเรามันโดนกดไว้เยอะน่ะครับ จนเราไม่กล้าที่จะมีความหวัง หรือกลัวว่ามันจะเกิดเรื่องร้ายแทรกซ้อนขึ้นมา อารมณ์มันเลยลุ้น จนพอผ่านช่วงนี้ไปได้หนังก็สามารถปรับโทนได้อย่างพอเหมาะ

ครึ่งแรกกดดัน มาครึ่งหลังความกดดันก็ยังมีครับ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบไป จากตอนแรกความกดดันเกิดจากการโดนขังอยู่ในห้อง แต่ครึ่งหลังความกดดันมันเกิดจากการที่ 2 แม่ลูกได้กลับมาอยู่ในโลกภายนอกที่มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว, เรื่องความสัมพันธ์ และที่หนังเน้นมากคือการปรับตัวเข้าสู่โลก “นอกห้อง” ของแจ็คที่น่าสนใจอย่างมากทีเดียว เพราะมันมีจุดให้คนดูลุ้นต่อว่าแจ็คจะปรับตัวได้ไหม จะมีอะไรที่เลวร้ายเกิดขึ้นจนทำให้ความสุขที่พวกเขาเพิ่งได้รับต้องหลุดลอยไปอีกไหม

พอดูจนจบผมรู้สึกอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือรู้สึกชอบรสมือของผู้กำกับ Abrahamson ที่เล่าเรื่องได้ถึงอารมณ์ อีกทั้งยังเอาล่อเอาเถิดกับอารมณ์คนดู ประมาณว่าครึ่งแรกของหนังมันได้วางเงื่อนไขทางอารมณ์ให้เรา “กลัว” ในหลายๆ สิ่ง และทำให้มุมมองของเราห่างไกลจากคำว่า “โลกสวย” ไปพอสมควร ว่าง่ายๆ คือหนังแอบทำให้เราเกิดอาการมองโลกในแง่ร้ายได้ในระดับหนึ่ง

อย่างที่ 2 ที่รู้สึกคือ รู้สึกดีใจที่ดูหนังจนจบครับ เพราะถ้าไม่ดูให้จบนี่คาใจตายเลยนะ และที่สำคัญคือครึ่งหลังมันเหมือนเป็นการเยียวยาอารมณ์หดหู่เมื่อตอนต้นให้ฟื้นคืนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้จะไม่ถึงกับทำให้เราแฮ้ปปี้ลัลล้าก็เถอะ แต่มันก็ทำให้เรายิ้มออกมาได้ ทำให้เราพร้อมยืนหยัดเผชิญโลกต่อไปได้ ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องร้ายหรือดี ไม่ว่าเราจะเจอโลกสวยหรือทรามก็เถอะ

จริงๆ เราอาจรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้มันโลกไม่สวยน่ะนะครับ แต่หากมองดีๆ ก็จะพบว่ามันแค่นำเอาด้านลบที่มีอยู่จริงในโลกมานำเสนอเท่านั้นแหละ และเอาเข้าจริงแล้วโลกนี้ก็ไม่ได้สดสวยหรือต่ำทรามไปเสียทั้งหมด ชีวิตคนก็เจอได้ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ซึ่งจุดสำคัญก็คือเราจะจัดการกับมันยังไง เราจะรับมือมันได้ไหม

อีกทั้งเราต้องยอมรับถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ในทุกขณะของชีวิต มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน อะไรที่ขึ้นได้มันก็ลงได้ อะไรที่มีได้ก็หมดได้ มันคือสัจธรรมครับ และเรื่องราวที่แม่ลูกคู่นี้เจอก็ทำให้คนดูได้เข้าใจสัจธรรมที่ว่าชัดเจนขึ้น

Brie Larson คู่ควรกับออสการ์ที่ได้ไปครับ เธอถ่ายทอดบทนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ครึ่งแรกนี่สัมผัสถึงความ “แทบไม่เป็นผู้เป็นคน” ของเธอได้แบบเต็มๆ ประมาณว่าโดนขังมานาน 7 ปี จนเธอหมดทั้งความหวัง ความรู้สึก ความสุข จนเธอแทบจะกลายเป็นผีตายซากไปแล้ว

แต่ในเรื่องร้ายก็นับว่ายังมีเรื่องดี เพราะส่วนหนึ่งที่เธอยังพอมีสติอยู่บ้างก็เพราะเธอมีลูกที่จริงๆ ก็น่ารักและฉลาดทีเดียว แม้จะมีวาระหงุดหงิดหรือก้าวร้าวบ้าง แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะอยู่ในที่แบบนั้น อีกทั้งผู้เป็นแม่เองก็ปฏิบัติตัวในฐานะแม่ได้อย่างลำบากท่ามกลางสภาวะที่กดดันอารมณ์เธออย่างร้ายกาจ ดังนั้นการที่สุดท้ายแล้วเธอและลูกยังสามารถออกมาใช้ชีวิตข้างนอกได้ และตัวตนของเธอกับลูกยังไม่สูญเสียไปเท่าไรนัก ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ และ Tremblay เองก็รับบทแจ็คได้อย่างดีเยี่ยมด้วยเช่นกัน

ดาราสมทบในเรื่องถือว่าเลือกระดับมือดีมา ไม่ว่าจะ William H. Macy ที่แสดงความสับสนในใจออกมาได้อย่างน่าทึ่ง แม้จะมีบทบนจอไม่นานก็ตาม กับ Joan Allen ที่ใช้ความนิ่งผสมกับความเป็นผู้ใหญ่ใจดีเสริมบทของเธอให้มีพลังขึ้นได้เยอะอยู่

สรุปแล้วนี่เป็นหนังที่ครบอารมณ์มากๆ ครับ ทั้งกดดันหดหู่และจบลงด้วยรุ่งอรุณแห่งความหวัง เหมือนฟ้าหลังฝนอะไรประมาณนั้น และที่น่าชื่นชมคืออารมณ์ของหนังมันดูจริงในระดับหนึ่ง คืออาจไม่ถึงขั้นดิบน่ะนะครับ แต่ก็อยู่ในขั้น “จริง” ไม่ดูเป็นหนังเกิน

หนังสอนให้เรารู้จักอดทนครับ เมื่อเราต้องเจอกับวันเลวร้ายหนักๆ เราก็ต้องอดทนรอให้มันผ่านไป พยายามสู้กับมันและพยายามเยียวยาใจที่อ่อนล้าเท่าที่จะทำได้ ผมไม่ปฏิเสธครับว่าบางคนอาจเป็นประเภทมหาซวย ต้องเจอมรสุมไปจนตลอดชีวิตแบบไม่มีทางได้เจอวันดีๆ แต่ประเด็นคือเราไม่รู้หรอกครับว่าชีวิตเรามันจะแย่ขนาดนั้นจริงๆ หรือเปล่า

หากชีวิตเรามันไม่ได้แย่ขนาดนั้นแต่เราดันยอมแพ้ซะก่อนล่ะ? หากจริงๆ เรายังมีโอกาสรออยู่ขอเพียงเราเดินต่อไป แต่เราดันไม่เดินต่อล่ะ? แบบนั้นมันย่อมเป็นเรื่องที่น่าเสียดายแบบสุดๆ ทีเดียว… เดินไปแล้วไม่เจอทาง ก็ยังดีกว่าใกล้จะเจอหนทางแต่กลับหยุดเดินน่ะครับ

อีกอย่างที่ถือเป็นประเด็นที่ชวนให้คิดมากๆ (โดยเฉพาะกับสังคมในทุกวันนี้) ก็คือเหตุผลที่ทำให้นางเอกต้องโดนแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอได้รับการปลูกฝังให้เป็นคนดีและมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น เธอเลยโดนผู้ชายคนนั้นหลอกไปทำมิดีมิร้ายและขังเป็นจำเลยรักอยู่ 7 ปี จนมีฉากหนึ่งที่เธอบอกกับแม่ว่า ก็เพราะถูกสอนให้เป็นคนดีและเห็นใจคนอื่นนี่แหละ เธอเลยต้องเจอกับเรื่องนรกแบบนี้

จุดนี้ก็ทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องไตร่ตรองเหมือนกันครับ ในยุคสมัยแบบนี้ที่เหมือนว่าคนจะอยู่กันยากมากขึ้น เราจะสอนลูกให้เป็นคนดีตามนิยามในตำราแบบสุดโต่งก็ไม่เหมาะ เพราะหากเราดีเกินก็อาจตกเป็นเหยื่อของคนอื่นได้ ถ้าจะสอนก็ต้องสอนแบบกลางๆ หรือจะสอนให้ลูกมีน้ำใจก็ได้ แต่ก็ต้องคานน้ำหนักด้วยการสอนให้ลูกรู้จักระวังตัว ไม่ให้คนอื่นมาเอาเปรียบหรือทำร้ายได้

หนังชีวิตเรื่องนี้มีหลายประเด็นให้เรามองครับ และแต่ละประเด็นก็เหมาะแก่การเอามาใช้มองโลกในปัจจุบัน… ที่หน้าตาของโลกใบนี้ชักจะทำให้รู้สึกว่า “ไม่คุ้น” สำหรับคนรุ่นผมมากขึ้นทุกขณะ

สามดาวครับ

Star31(8/10)