Ghost หนังโรแมนติก แฟนตาซีที่ทำเงินระเบิดระเบ้อทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในบ้านเราครับได้ไป 15,177,031 บาท ในปี 2533 (แล้วก็ลากยาวมาถึงปี 2534) และถ้าหากรวมจากทั่วโลกก็ทำไปกว่า $505 ล้าน (จากทุนประมาณ $22 ล้าน) ขึ้นแท่นหนังฮิตแห่งปีครับ
เรื่องของคู่รักแซม (Patrick Swayze) กับ มอลลี่ (Demi Moore) ที่รักกันหวานชื่นปานจะกลืนกิน แต่แล้วแซมกลับถูกฆ่าต่อหน้าต่อตามอลลี่เลยครับ ทว่าแม้ตัวแซมจะตายแต่วิญญาณยังอยู่ครับ เขากลับมาเพื่อปกป้องมอลลี่ ตามสัญญารักที่เขากล่าวไว้ว่า จะรักและพิทักษ์เธอไปตลอดกาล
ตัวหนังนั้นดูเพลินสุดๆ ครับ ซาบซึ้งและสวยงาม Swayze นั้นแสดงได้ดีจริงๆ เขาทำให้คนดูเชื่อครับ ว่าเขารักมอลลี่เหลือเกิน ส่วน Moore ก็สวย น่ารัก ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าช่วงที่หนังฉายนี่ ทรงผมสั้นๆ แบบในหนังนี้จะฮิตกันทั่วบ้านทั้วเมืองเลยล่ะ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นบทของมอลลี่จะผมยาวครับ ตอน Moore ไปแคสบทนี้ก็ผมยาว แล้วเธอก็ตัดสินใจตัดสั้นเอง ซึ่งตอนแรกผู้กำกับ Jerry Zucker ก็ช็อคนะ เพราะมันไม่ตรงกับภาพที่เขาวาดไว้ แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็ยอมรับครับว่ามอลลี่เหมาะกับผมสั้นมากกว่าจริงๆ
แต่คนที่เด่นสุดๆ จนคว้าออสการ์ไปรับประทานก็คือ เจ๊ Whoopi Goldberg กับบท โอด้า เม บราวน์ หมอผีกำมะลอที่ดันเจอผีจริงๆ อย่างแซมป่วนชีวิตเข้าให้ คุณเธอก็ช่างยอดจริงๆ โดยเฉพาะฉากตรงธนาคารน่ะครับ แค่ชุดที่แต่งก็สุดๆ แล้วนั่น ฮาเต็มๆ ไปเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าเธอเกิดมาเพื่อบทนี้ครับ และขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่าเธอโชคดีด้วย เพราะตอนแรกจริงๆ แล้วบุคลิกของโอด้านั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นในหนังหรอกนะครับ ภาพที่ Bruce Joel Rubin คนเขียนบทเขียนไว้ตอนแรกคือ โอด้านี่จะต้องเป็นหมอผีที่มีพลังจิตจริงๆ สามารถเห็นผีได้จริงๆ และมีความจริงจังมากกว่าที่เห็นในหนัง แต่แล้วก็มีคนเสนอแนะกับ Rubin ว่าให้เธอเป็นหมอผีกำมะลอป่วนๆ ฮาๆ น่าจะเพิ่มรสชาติให้หนังได้มากกว่า
และจริงๆ ตอนแรกน่ะ Goldberg ก็เกือบๆ จะไม่ได้รับบทนี้นะครับ จน Swayze นี่ถึงขั้นประกาศเขาจะแสดงหนังเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อ Goldberg ได้แสดงด้วยเท่านั้น ถึงทำให้หลายๆ ฝ่ายยอมโอนอ่อน
ในเวลาต่อมา Rubin เองก็ออกมาบอกว่า คาแรคเตอร์ โอด้าคือตัวละครที่เขาชอบที่สุดในบรรดาตัวละครที่เขาเขียนขึ้นมาทั้งหมด
ส่วนต่างๆ ของหนังก็ทำได้ดีทั้งสิ้นครับ ไม่ว่าจะเทคนิคพิเศษที่ทำให้แซมดูเป็นผีจริงๆ ได้ หรือเพลง UNCHAINED MELODY ที่เอามาใช้จนฮิตแบบสุดๆ ไปกับฉากปั้นหมอรอผัวอันลือลั่น ซึ่งฉากปั้นหม้อนี้ Moore ลงทุนเข้าคอร์สเรียนปั้นหม้อของจริงเลยนะครับ (เธอไปคอร๋สร่วมกับผู้กำกับ Jerry Zucker ครับ)
ตอนแรกน่ะ บทพระเอกที่เขาเล็งๆ กันไว้ก็คือ Bruce Willis แต่เฮีย Bruce แกบอกปัดไปครับ เพราะคิดว่าหนังเรื่องนี้คงไม่เวิร์คหรอก (5555) แต่การที่แกบอกปัดก็ถือเป็นเรื่องดีครับ เพราะบทนี้เหมาะกับ Swayze มากกว่าจริงๆ และเหตุผลที่ทีมงานเลือกเขาก็เพราะมีครั้งหนึ่งเขาเคยสัมภาษณ์ออกทีวีแล้วพูดเกี่ยวกับพ่อของเขาที่จากไปครับ ระหว่างพูดเขาก็น้ำตาคลอขึ้นมา ซึ่งนั่นสะดุดตา Rubin อย่างมาก เพราะเขาไม่คิดว่าชายกล้ามโตดูบึกบึนอย่าง Swayze จะมีอารมณ์อ่อนไหวได้ถึงเพียงนี้ และพอ Rubin เห็นภาพนั้นเข้าเขาก็ตัดสินใจเลยครับว่านี่แหละคือแซม
แต่ในตอนแรกๆ ผู้กำกับ Zucker มองว่า Swayze ไม่เหมาะกับบทนี้ แล้วก็พยายามทาบทามดาราคนอื่นๆ ไม่ว่าจะ Kevin Bacon, Alec Baldwin, Nicolas Cage, Kevin Costner, Tom Cruise, Johnny Depp, David Duchovny, Harrison Ford, Mel Gibson, Tom Hanks, Paul Hogan, Kevin Kline, Dennis Quaid, Mickey Rourke และ John Travolta และทุกคนก็บอกปัดบทนี้ไป ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าบท “ผี” นั้นดูไม่น่าสนใจเท่าที่ควร ในที่สุด Zucker ก็ยอมให้ Swayze มาแคสครับ แล้วเขาก็อึ้งไปเลยเพราะ Swayze ทำได้ดีมาก แสดงทดสอบได้สุดยอดมากๆ จนเขาตัดสินใจเลือก Swayze ทันที
และมีดาราอยู่คนหนึ่งครับที่เสียดายมากที่เขาไม่ได้มาเล่นเป็นแซม คนนั้นคือ Eddie Murphy ครับ เรื่องมีอยู่ว่าฝ่ายแคสติ้งของหนังเรื่องนี้ได้ทาบทาม Murphy ผ่านทางเอเยนต์ครับ และเอเยนต์ก็เป็นคนบอกปัดไปโดยไม่แจ้งให้ Murphy รู้ด้วยซ้ำ พอ Murphy มารู้ทีหลังนี่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยครับ
ส่วน Moore นั้น เหตุผลหลักๆ เลยที่ทีมงานเลือกเธอมาแสดงก็เพราะเธอสามารถกำหนดน้ำตาตนเองได้ครับ กำหนดให้ไหลตามคิวได้ ทีมงานเลยยินดีมอบบทนี้ให้กับเธอไปเลย
และสำหรับ Goldberg เธอก็สร้างสถิติครับ เพราะเธอเป็นนักแสดงหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลในสาขาแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมทั้วจากเวทีออสการ์, ลูกโลกทองคำ และ BAFTA
แต่ที่ต้องปรบมือให้ก็คือผู้กำกับ Jerry Zucker ซึ่งก่อนหน้านี้เขาทำแต่หนังฮาๆ อย่าง Airplane! หรือ Top Secret! แต่มาเรื่องนี้เขาสามารถทำหนังรักให้ออกมาซาบซึ้งตรึงใจได้ ก็ต้องนับว่าฝีมือแน่มากล่ะครับ (จริงๆ ผมก็ไม่แปลกใจนะ เพราะเอะใจมาตั้งแต่สมัย Top Secret! แล้ว เพราะแกเคยแต่งเพลงซึ้งๆ ไว้ในหนังเรื่องนั้นน่ะสิครับ แล้วมันซึ้งมากจนผมยังอึ้งง่ะ ว่าพี่แกเนี่ยนะแต่ง ก็เรียกได้ว่ามีแววซึ้งๆ มาตั้งแต่ยุคนั้นแล้วล่ะครับ)
ว่ากันว่าตอนแรกพอ Rubin รู้ว่าหนังจะกำกับโดย Zucker ที่ก่อนหน้านั้นเคยมีผลงานแต่หนังตลกล้อเลียนนี่ ทำเอาเขาร้องไห้เลยครับ เขากลัวว่าหนังจะออกมาเลอะเทอะ และเขาก็จริงจังกับหนังเรื่องนี้มากเพราะเขาสู้เพื่อโปรเจคท์หนังเรื่องนี้มาหลายปี (ตั้งแต่ปี 1984 โน่นน่ะครับ) แต่พอผลลัพธ์สุดท้ายออกมาดีแบบนี้ เขาก็รู้สึกโล่งใจครับ
ประทับใจดีครับ น่าติดตามตลอด ตอนฮาก็ฮา ตอนซึ้งก็ซึ้ง หรือตอนลุ้นในช่วงท้ายก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้นด้วย ครบรสกันไปเลย
สองดาวครึ่งสิครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Fantasy, Romance