ถ้าจะพูดกันถึงหนังรักสนุกๆ ล่ะก็ เอเซียของเราไม่เป็นที่สองรองใคร นอกจากดูเพลิน บรรยากาศใสดีแล้ว ยังได้แง่คิดซึ้งๆ ติดหัวกลับมาทุกที สำหรับเรื่องนี้ผมหวังตั้งแต่ดูเทรลเลอร์แล้ว ทั้งฮาทั้งสนุก มั่นใจล่ะว่าโดนใจแน่นอน
เกียนยู (CHA TAE-HYUN) หนุ่มท่าทางต๊องๆ ที่มีวิถีชีวิตง่ายๆ เรียนๆ เล่นๆ ไปตามเรื่อง แต่แล้ววันหนึ่งระหว่างยืนคอยรถไฟใต้ดินอยู่ เขาก็ได้พบกับหญิงสาวนางนึง (JEON JI-HYUN) ในสภาพเมาแอ๋ มิหนำซ้ำเธอยังก่อวีกรรมบนรถไฟจนป่วนไปทั้งคัน สุดท้ายก่อนเธอจะสลบดันหันมาเรียกเกียนยูว่าที่รักอีก งวดนี้เกียนยูเลยต้องรับผิดชอบเรื่อง บ้าๆ สารพัดที่เธอทำ แล้วก็ต้องหอบเธอไปอีก โอยนั่นมันแค่วันแรกและแค่วันเริ่มเท่านั้น เพราะหลังจากนั้นทั้งเขาและเธอต้องมาผูกพันเจอกัน จนกลายเป็นความสัมพันธ์ติดหนึบที่แยกจากกันยังไงก็ไม่ออก
ฮาโคตรครับ อันนี้ความดีความชอบต้องยกให้กับทีมพากย์พันธมิตรที่เคารพเลย ใส่ลูกเล่นตลอด โดยเฉพาะคุณพี่สุภาพ ไชยวิสุทธิกุล (ที่เล่นมุขบนรถไฟแบบไม่เว้นวรรคนั่นไงฮะ) ใครดูพันธมิตรจะทราบฮะว่า พี่แกเสริมมุขได้ดีมาก ช่วงครึ่งแรกคงมีตายกันล่ะครับ กระหน่ำมุขแบบมันส์จริงๆ ช่วงครึ่งหลังก็ผ่อนลง (แต่ยังฮาอยู่) สรุปว่าความฮานี่เด็ดขาดหลายแท้ ส่วนในแง่เนื้อหาเกี่ยวกับความรัก ครึ่งแรกยังไม่เน้นย้ำเท่าไหร่ แต่พอมาถึงตอนวันเกิดของยัยตัวร้าย ตอนนั้นเริ่มแล้วล่ะ ความซึ้งค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ เรียกได้ว่าผมดูไปนี่น้ำตาไหลทั้งเรื่องเลยครับ เพราะฮาจนน้ำตาเล็ดแล้วก็ซึ้งจนน้ำตาริน เจ๋งจริงๆ ให้ดิ้นตายเถอะ
JEON JI-HYUN นางเอกสาวสุดสวยจาก IL MARE ว่าตามจริงหน้าตาใสๆ ของเธอเนี่ยก็มีแววเป็นยัยตัวแสบอยู่แล้วนะฮะ แค่ตอนชายหางตามองชาวบ้านนั่นก็ใช่แล้ว ใน IL MARE เธอดูเป็นสาวโดดเดี่ยว ต๊องนิดๆ มาเรื่องนี้จะว่าไปมันก็ไม่ต่างกันนักหรอกครับ เพราะเธอยังคงโดดเดี่ยวอยู่ (แบบนี้จะมีใครกล้าคบล่ะ) ไอ้ต๊องน่ะต๊องแน่ๆ แล้วก็เอาความแสบซ่าส์ใสใส่ลงมาด้วย ปรากฏว่าสุดยอดครับ แสดงได้เยี่ยมมาก ตอนเธอเป็นปกติก็ดูใส น่ารัก น่าคบหา น่าเห็นใจด้วยซ้ำ แต่พออารมณ์โหดมาทีไรนี่ตีหน้าตายทำตาลุกวาวฉับพลัน ตั้งตัวไม่ทัน ยังกับหนังภัยธรรมชาติเลยล่ะ ประโยคติดปากเจ๊แกก็คือ อยากตายรึไง ฟังกี่รอบก็ฮาครับ ผู้หญิงคนไหนหยิบประโยคนี้ไปใช้แปลว่ายืมไปใช้ชัวร์ ผมว่าหนังเรื่องนี้มีส่วนทำให้ผู้หญิงก้าวร้าวขึ้นนะครับ (อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัวครับ ไม่เกี่ยวกับหนัง … ฮือๆๆ โดนบ่อยครับ)
ส่วน CHA TAE-HYUN พระเอกจอมหงอของเรา ดูแล้วสงสารพี่เค้าเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเวรกรรมหรือบุญนำที่ชักพาให้มาเจอกับยัยนี่ แล้วซวยตลอด เอะอะตบ เอะอะติดคุกอะไรก็ไม่รู้ ทำยังไงก็ไม่ถูกใจซักอย่าง แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เวลาที่เขาอยู่กับเธอมันมีความสุขครับ แม้จะต้องคอยรองมือรองเท้าเธอตลอดเวลาก็เถอะ แต่มันสนุกอย่างบอกไม่ถูก (ผมพอจะเชื่อแล้วว่าสามีภรรยาบางคู่ที่ตีกันทุกวัน ถ้ามีคืนไหนไม่ตบกับซักป้าบ มันก็เหมือนกับขาดอะไรไปสักอย่างน่ะ) มีคนบ่นมาว่าพระเอกไม่เห็นจะหล่อเลย ก็เอาน่ะครับ เขาเอาพระเอกต๊องๆไม่ใช่เทพบุตรซักหน่อย ขืนเอาพระเอกหล่อๆอย่าง ลีจุงแจจาก IL MARE มา หนังคงไม่ฮาขนาดนี้หรอก แล้วโทนมันก็ผิดกันด้วย เอาคนหล่อมาโดนตบมันก็แหม่งๆ นะผมว่า
KWAK JAE-YONG คือผู้กำกับครับ ผลออกน่าพอใจเป็นอย่างมาก ทั้งฮาทั้งน่ารัก (ไอ้เรื่องฮาน่ะทีมพากย์บ้านเรารับความดีไปกว่าครึ่ง) อีกอย่างทั้งฮาทั้งซึ้งเนี่ยมันไปด้วยกันได้ตลอด ไม่ทำให้จังหวะเสีย ลื่นไหลลงตัวมาก งานดนตรีของ KIM HYUMG-SUK ก็เข้ากับหนังครับ ฉากฮาเนี่ยใช้ได้ ฉากซึ้งก็ถึงรส เพลงประกอบก็ดีครับ I BELIEVE ตอนแรกไม่ค่อยติดใจแต่พอเอามาฟังใหม่ก็ชอบแฮะ สรุปว่าดีอ้ะครับ
นอกจากนี้บทหนังยังมีการแจกรายละเอียดของตัวละครได้อย่างดี โดยเฉพาะยัยตัวแสบ หนังไม่ได้ให้เธอร้ายอย่างเดียวเท่านั้น ยังมีการสอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกของเธอออกมา ผ่านสิ่งต่างๆ ที่เธอทำ อย่างการที่เธอเขียนนิยาย (ในแบบที่บ้าสุดๆ) เธอมักจะให้ตัวเอกมาจากโลกอนาคต แล้วตัวเธอเองก็เชื่อเรื่องไทม์ แมชชีน กับ การเจาะเวลามันเหมือนกับเธอต้องการใช้มันไปแก้ไขสิ่งต่างๆ ที่ผิดพลาดในอดีต แล้วขณะเดียวกันเธอก็ต้องการใช้ยานเจาะเวลานี่แหละเป็นสิ่งที่พาตัวเองหนีไปจากอดีตที่เธอกำลังจมอยู่ในความเศร้า แล้วการที่เธอต้องทำตัวร้ายๆ ก็เหมือนกับเป็น การสร้างเกราะป้องกันตัวให้เธอลืมความเศร้าและไม่ให้คนรอบข้าง สัมผัสถึงความเศร้าที่เธอมีอยู่ด้วย (และไอ้ปมเรื่องไทม์ แมชชีนนี่ยังมีปริศนาแทรกเพียบครับ ไม่ว่าจะเรื่องตาลุงแก่ๆ ที่โผล่มาบ่อยๆ อันนี้ผมว่าน่าจะรู้ความนัยกันหมดแล้วเน้อะ) สำหรับการแสดงที่ยอดเยี่ยมนี้ต้องขอยกนิ้วให้ JI-HYUN เลยครับ เธอครองหนังทั้งเรื่องอยู่จริงๆ แล้วน่ารักสุดๆ ด้วย แค่เฉพาะตอนที่เธอกับเกียนยูเล่นทายว่าใครจะเอาขาไหนข้ามเส้นบนรถไฟ แล้วพอเธอแพ้ เกียนยูก็จะดีดหน้าผาก ตอนนั้นหน้าเธอน่ารักมหากาฬเลยล่ะฮะ เป็นฉากสำคัญที่แสดงออกมาง่ายๆ ว่าลึกๆ แล้วเธอก็เป็นผู้หญิงหวานๆ คนนึง (แต่ความหวานคงอยู่ลึกมากฮะ เจ๊แกถึงแสบทรวงทะลวงไส้ได้ขนาดนี้) อีกฉากก็ตอนตะโกนข้ามเขา สิ่งที่เธอพูดออกมาจับใจเกินไปแล้วครับ น้ำตาไหลเลยเรา
ส่วนเกียนยูว่าตามจริงบทของเขาเป็นส่วนเสริมมากกว่า แต่ก็ขาดไม่ได้เหมือนกัน พี่แกต๊องดีจริงๆ แต่พอถึงฉากซึ้งๆก็ทำได้เฉียบเช่นกัน ฉากเด็ดต้องนี่ “กฎเหล็ก10 ข้อ”กระชากใจผม (อีกแล้ว) สิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นคุ้งเป็นแควนั้น มันไหลออกมาเองจากการที่ได้ใกล้ชิดยัยตัวแสบมากๆ เข้า เขาอาจจะรำคาญเธอแต่ก็เข้าใจเธอด้วย เขารู้ว่าต้องทำไงเธอจึงจะอารมณ์ดี อันนี้ทั้งชายหญิงที่เคยสัมผัสความรักมาแล้ว ยังไงก็ต้องโดนครับ โดนใจ เพราะบางครั้ง เราอาจไม่ชอบนิสัยของอีกฝ่ายที่เราคบ ที่เป็นยังงั้นเป็นยังงี้ หาว่าเขานิสัยเสีย แต่ถ้าถามว่าทำไมเราถึงจำนิสัยเสียของเขาได้ล่ะ…นั่นก็เพราะ เราใส่ใจเขา เราชอบเขา อาจเป็นไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้ ไอ้ไม่รู้ตัวนี่แหละตัวดีนักล่ะ รักกันมานักต่อนักแล้ว ลองสำรวจตัวเองดูว่าเคยไปรู้จักกฎเหล็กของใครเข้ามั้ย เพราะนั่นอาจหมายความว่า คุณรักใครผู้นั้นเข้าแล้วน่ะสิ
แต่หนังก็มีจุดเสียเล็กๆ อยู่อันหนึ่ง จริงๆ ไม่ได้เสียที่หนังหรอกครับ มันเป็นที่ทีมพากย์นี่แหละ มุขโทรศัพท์ที่เกียนยูไม่อยากรับสายจากยัยตัวแสบเลยแกล้งพูดไป จริงๆ แล้วเขาต้องพูดประมาณว่า “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้…”อะไรทำนองนั้น (ใครดูเทรลเลอร์แล้วจะรู้) แต่หนังดันเปลี่ยนเป็นกลอนพระอภัยมณีไปได้ ผมไม่แน่ใจว่าด้วยเรื่องลิขสิทธิ์รึเปล่าถึงเอามุขนี้มาเล่นไม่ได้
ลางสังหรณ์ผมไม่พลาดครับงานนี้ ชอบตามความคาดหมายดีทุกจุด ไม่น่าแปลกใจที่ค่าย DREAMWORKS จะซื้อลิขสิทธิ์ไปทำ ตรงนี้ผมเสียวนิดๆ ว่าฟากโน้นจะทำออกมาได้ดีแค่ไหน เฉพาะเลือกตัวละครนี่ผมก็นึกไม่ออกแล้วล่ะครับว่าใครจะเหมาะกับบทยัยตัวร้าย เอาดาราหน้าใหม่มาเลยดีกว่ามั้ง แต่ก็ชัดไม่แน่ใจแล้วครับว่าเขาจะสร้างมั้ย เพราะนี่ก็หลายปีมาแล้วครับ ยังไม่เห็นวี่แววซะทีเลยเนี่ย
แต่กับฉบับนี้ สามดาวเต็มๆ ครับ
(8/10)
นี่คือที่ผมเขียนเพิ่มเติมไว้ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2561 ครับ
ผมยังจำความรู้สึกตอนไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงรอบแรกได้
สมัยนั้นยังเรียนมหาลัย เดินเข้าโรงไปดูหนังแบบที่ทำประจำทุกอาทิตย์ หลักๆ ก็เพื่อผ่อนคลายหรือไม่ก็หาอะไรสักอย่างมาทำตามประสาคนไม่มีแฟน
ผมดูหนังเรื่องนี้ประมาณ 3 รอบ รอบแรกดูแล้วสนุก เลยไปชวนเพื่อนๆ มาดูด้วยกัน ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าชอบ ในขณะที่บางส่วนบอกว่าเฉยๆ ก็มี
สมัยนั้น “หนัง” คือการเติมเต็มอะไรบางอย่างในใจ หลายครั้งทีเดียวที่หนังสนุกๆ สักเรื่อง จะเติมความสุขให้ผม ทำให้ผมมีพลังในการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
และหนังเรื่องนี้ทำให้ผมมีวันดีๆ ครับ มาถึงวันนี้ หนังก็ยังทำให้ผมรู้สึกดีได้อยู่ มันเหมือนได้ย้อนไปวันเก่าๆ และได้พักสมองไปดูอะไรสนุกๆ ที่สำคัญคือหนังยังมีอะไรให้เราเก็บไปคิดด้วย
ขณะดูหนังเรื่องนี้ ขณะที่ดวงตาผมจ้องไปในหนัง มันเหมือนผมได้สบตาตัวเองเมื่อ 17 ปีก่อน ดวงตาที่ตอนนั้นก็จ้องหนังอยู่เหมือนกัน
มันเหมือนผมสามารถย้อนเวลาไปกระซิบบอกตัวผมเมื่อวันนั้นว่า “เฮ้ เดี๋ยวอะไรแย่ๆ มันก็ผ่านไป และนายจะได้ใช้ชีวิตกับผู้หญิงที่นายรักที่สุดด้วย เชื่อสิ”
บางครั้ง “หนังสักเรื่อง” ก็เป็นมากกว่าหนัง ในกรณีนี้มันคือไทม์แมชชีนที่เชื่อมผมเมื่อวันวานกับวันนี้ มันคือการเชื่อมต่อกันแบบที่ไร้คำอธิบายและไร้หลักฐานพิสูจน์
รับรู้ได้เพียงแค่ “ใจ” ของเราเท่านั้น
My Sassy Girl ยังคงเป็นหนังรักโรแมนติกที่สนุกและฮาได้เรื่อยๆ ครับ และการดูในวันนี้ ผมไม่รู้สึกว่ามันเก่าเลย
ยัยตัวร้าย ยังทำให้ผมยิ้มได้เสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
ถ้าใครเคยดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกดี แล้วเผอิญวันนี้คุณรู้สึกหมดพลัง… มันก็ไม่เลวนะครับหากจะลองเอาเรื่องนี้มาเปิดดูอีกครั้ง
มันอาจเติมพลังและสร้างวันดีๆ ให้ก็ได้