ใช่แล้วครับท่านทั้งหลาย ภาค 4 ของแฮร์รี่ พอตเตอร์มาถึงแล้วครับ และหากจะจำกัดความสั้นๆ คือ เป็นภาคที่ถือได้ว่ามันส์ที่สุดในบรรดาทั้ง 4 ตอนที่ผ่านมา (นี่ว่ากันถึงหนังนะครับ)
โอเค แต่ก่อนจะอ่านอะไรที่ผมจะเขียนต่อไปก็ขอออกตัวก่อนว่าผมยังไม่ได้อ่านหนังสือของภาคนี้เลยครับ เพราะตั้งใจว่าจะดูหนังก่อนแล้วค่อยอ่าน ดังนั้นถ้าผมแสดงความไม่รู้ออกไปก็ขออภัยด้วยแล้วกันนะฮะ เอ้าเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า
เนื้อหาคร่าวๆ ของภาคนี้ก็ว่าด้วยการแข่งขันประลองเวทไตรภาคีของเหล่าโรงเรียนพ่อมดแม่มด ซึ่งงานนี้ฮอควอตส์เป็นเจ้าภาพครับ แล้วพอมีการจับฉลากกันแล้ว ผู้เข้าแข่งก็มี วิคเตอร์ ครัม (Stanislav Ianevski) นักกีฬาร่างบึ้กจากโรงเรียนเดิร์มสแตรงก์, เฟลอร์ เดอลากูร์ (Clémence Poésy) สาวสวยจากโรงเรียนโบซ์บาตง และ เซดริก ดิกกอรี่ (Robert Pattinson) จากฮอควอตส์นี่แหละ แล้วความจริงมันต้องมีผู้แข่งแค่สามคนครับ แต่จู่ๆ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ชื่อแฮร์รี่ พอตเตอร์ของเรา (Daniel Radcliffe) ดันไปโผล่กับเขาด้วย ซึ่งอาจารย์และคนทั้งหมดก็งงล่ะครับเพราะมีการร่ายมนต์กันคนอายุไม่ถึง 17 ปีลงแข่งไว้เรียบร้อยแล้ว แต่แฮร์รี่แค่ 14 อ้ะ แล้วมันเข้าไปได้ไงกัน
สุดท้ายแฮร์รี่ก็ต้องลงแข่งครับ ต้องเผชิญกับ 3 ภารกิจสุดหิน ก่อนที่หนังจะไปสรุปลงท้ายว่า ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นและใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดนี้
มาครับ เรามาว่ากันถึงตัวหนังล้วนๆ ก่อนนะครับ ซึ่งถ้าถามว่าดีมั้ย ก็ต้องตอบว่าดีล่ะฮะ ผมว่าดีที่สุดในบรรดา 4 ตอนที่ผ่านมาเลยล่ะ แต่ไอ้ที่ว่าดีนี่มีจุดที่ด้อยอยู่เหมือนกัน เอ้า เรามาว่ากันทีละอย่างเลยนะครับ ขอเริ่มจากจุดด้อยก่อนแล้วกัน ซึ่งจะว่าไปก็มีอยู่แค่อันเดียวเท่านั้น แต่สำคัญมากที่สุด และเป็นปัญหาเดียวกับที่ภาค 3 เป็นมาแล้วนั่นคือ รายละเอียดที่ขาดหายครับ อันนี้ผมก็ทำใจไว้แล้วล่ะ เพราะนิยายมันหนาอ้ะ ภาคก่อนหนาน้อยกว่ารายละเอียดยังหล่นไปตั้งบานแน่ะ แล้วภาคนี้หนาขึ้นจะให้มันครบได้ยังไง ซึ่งโอเค เข้าใจครับว่ามันทำให้ครบไม่ได้หรอก ถ้าอยากให้ครบนี่คงต้องสร้างเป็นซีรี่ส์กันเลยล่ะมั้ง ดังนั้นจะว่าไปคนที่อ่านมาแล้วน่าจะสนุกมากกว่าคนที่ยังไม่ได้อ่านนะครับ เพราะจะรู้ที่มาที่ไปอะไรมากกว่าพวกผม ผู้เป็นตัวโง่งมที่ไม่รู้อะไรเล้ย ดูไปได้แต่สะดุดเล็กๆ ในใจน่ะครับ ว่าแต่ละฉากมันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้นะ แต่มันไม่รู้นี่หว่า (ตัดสินใจแล้วครับ ภาคหน้าก่อนดูผมจะอ่านแล้วล่ะ จะได้ตัดปัญหาเรื่องนี้ซะที )
นั่นแหละครับปัญหาบิ๊กๆ ของหนัง แต่ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ตัวหนังภาคนี้ก็ยังถือว่าสนุกที่สุดอยู่ดี เพราะแม้รายละเอียดจะขาดๆ อารมณ์จะมีสะดุดบ้าง แต่ตัวหนังเองก็ยังนับว่าลื่นไหลไม่น้อย เพราะจะมีจุดด้อยอย่างที่กล่าวไปก็เหอะ แต่ทีมงานก็พยายามเอาอย่างอื่นมาช่วยหนังอย่างเต็มที่ เริ่มจากทีมนักแสดงที่ลงตัวและฝีมือลงล็อคกันหมดแล้วครับ ไม่ว่าจะ Radcliffe ที่ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในบทแฮร์รี่, Rupert Grint ก็ทำให้บทรอนของเขามีมิติและน่าสนใจขึ้นมาก ซึ่งพีแ่กก็เป็นตัวฮาตามเคยครับ แต่ภาคนี้เขายังได้แสดงอารมณ์ออกมาด้วย และแน่นอนครับว่ารายที่ยังเหนือชั้นย่อมเป็น Emma Watson เฮอร์ไมโอนี่ที่นอกจากจะสวยแล้วยังแสดงได้เป็นธรรมชาติสุดๆ ไม่ว่าจะฉากยิ้มหรือร้องไห้ก็ได้หมดครับ ผมชอบฉากช่วงงานเต้นรำมากทีเดียว เพราะตอนนั้นนี่มีการถ่ายทอดอารมณ์กันตลอดครับ ยิ่งไอ้ฉากที่รอนตีกับเฮอร์ไมโอนี่เนี่ยนับว่าเจ๋งเลยนะฮะ ตีบทกันได้แตกจริงๆ เชียว นอกจากพวกเขาแล้ว ดารารุ่นเยาว์คนอื่นผมถือว่าทุกคนเล่นได้ดีทั้งนั้นเลยนะฮะ อย่าง Pattinson ในบทเซดริก โดยส่วนตัวผมว่าเขาเล่นได้ดีครับ การแสดงออกทางแววตาทำได้ถึงมาก แต่เสียดายที่หนังไม่ค่อยให้เขาโผล่เท่าไหร่ คนที่อ่านนิยายมาแล้วคงรู้นะครับว่าบทนี้จะมีผลมากในช่วงท้ายของหนัง นี่ถ้าให้เขาตีคู่กับแฮร์รี่มากกว่านี้ล่ะก็ รับรองว่าตอนท้ายต้องถึงขีดแน่นอน ส่วน Katie Leung กับบทโชแชง ก็ยังไม่ได้แสดงอะไรเท่าไหร่ครับ เออ พูดถึงนี่ก็นึกถึงนาย Tom Felton ขึ้นมาได้ ก็เจ้าของบทเดรโก มัลฟอยไงครับ ที่ผมต้องขอบอกว่าฝีมือแกดีวันดีคืนดีมะรืนมะเรื่องมากๆ แต่โผล่น้อยอีกเหมือนกัน แต่กับรายนี้ผมพอเข้าใจครับว่าไม่ค่อยมีผลกับเรื่องราวเท่าไหร่ ก็โอเคน่ะ แค่เสียดายเท่านั้นเอง เพราะแม้จะโผล่แค่ 3 – 4 ฉากแต่ฝีมือออกแบบสุดๆ ครับ
ส่วนดารารุ่นเก๋าคนอื่นก็ไม่มีปัญหาครับ ทุกคนถือว่าทำได้น่าพอใจทั้งสิ้น Ralph Fiennes กับบทโวลเดอร์มอร์ก็ทำได้น่าพอใจครับ เปิดตัวได้ชั่วร้ายดีมากๆ, Brendan Gleeson ก็ทำได้ดีกับบทแม็ดอาย มูดดี้ ท่าทางประสาทเสียกันไปเลย
นอกจากนักแสดงแล้ว งาน Effect หายห่วงครับสุดยอดมากๆ ที่เด็ดอีกอย่างคืองานพวกฉากนี่แหละที่ออกแบบมาได้น่าประทับใจทีเดียว โดยเฉพาะฉากใต้น้ำอันเป็นภารกิจที่ 2 ของการแข่งขัน มันให้อารมณ์ผจญภัยใต้น้ำแบบที่ผมไม่ได้สัมผัสมานานมากๆ แล้ว ไม่รู้สิครับผมว่าคนที่หลงรักฉากผจญภัยใต้น้ำนะ ดูแค่ฉากเดียวก็คุ้มเกินคุ้มแล้ว ไม่ว่าจะโขดหิน หุบเหวหรือสาหร่ายทำได้สวยงามและดูสมจริงมากๆ เอาแค่ฉากนี้ก็ได้ใจไปครองแล้วครับ ส่วนช่วงที่ซัดกับมังกรก็ทำได้ดีเหมือนกัน
เนี่ยครับ พวกงานสร้างด้านเทคนิคและนักแสดงผมว่าดีหมด และจุดเด่นอีกอย่างคือความฮาครับ นี่เป็นภาคที่ฮามากๆ ช่วงครึ่งแรกนี่ยิงมุขกระจายเลยครับ ฮาแบบธรรมชาติมากๆ ซึ่งก็เป็นสไตล์ของผู้กำกับ Mike Newell อยู่แล้ว ที่ชอบแทรกมุขตลกท่าทางสไตล์อังกฤษแบบนี้ลงไป แล้วอีกอย่างที่น่าชื่นชมก็คือเรื่องมิติของตัวละครครับ ภาคนี้ดูแลัวพวกแฮร์รี่ดูมีเลือดเนื้อขึ้นมากทำให้หนังลื่นไปได้เรื่อยๆ แม้จะอารมณ์จะโดดบ้างก็ตาม แต่ไอ้มุขฮาและความลึกของตัวละครนี่เองที่เป็นยาแนวคอยสมานให้หนังออกมาดี และพอจะลืมๆ เรื่องจุดด้อยไปได้บ้าง
อีกส่วนคืองานดนตรีซึ่งภาคนี้เปลี่ยนเป็น Patrick Doyle เป็นคนทำ ก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่ค่อนข้างไปกับหนังได้นะครับ แต่อันนี้ก็เสียดายอีกและ เพราะไอ้เพลงที่เพราะๆ พี่แกดันไม่ได้ใส่ไปในหนัง แต่เจือกเอาไปลงใน End Credits ก็อยากขอให้ลองฟังเลยนะครับ หนังจบแล้วรอฟังเพลงอีกหน่อย แล้วท่านจะสัมผัสได้ว่าฝีมือแท้ๆ ของ Doyle น่ะเป็นอย่างไร ดนตรีช่วงเครดิตนี่ทั้งซึ้งและกินใจมากๆ ก็ได้แต่งงล่ะครับว่าทำไมเอ็งไม่เอามาใส่ในหนังวะ
มีอะไรอีกล่ะ งึมงำๆ อ้อ ใช่ ผมว่าหนังกระชับเกินไปในช่วงท้ายครับ มีหลายๆ ฉากที่หนังควรลากให้มากกว่านี้เพื่อจะได้ดันอารมณ์ให้สุดๆ ไปเลย เพราะไหนๆ ก็ตัดออกไปเยอะแล้วน่ะ ดังนั้นไอ้ที่เหลืออยู่นี่ก็น่าจะอัดกระหน่ำให้เต็มที่ซะหน่อย เนี่ย ตั้งแต่ช่วงเข้าเขาวงกตเป็นต้นมาเลยครับที่หนังเดินไวเกินไป เหมือนรีบๆ ให้จบยังไงก็ไม่ทราบ แล้วก็เลยไปถึงช่วงลุยกับโวลเดอร์มอร์ก็เหมือนกัน น่าจะลากไปอีกหน่อย เพื่อความเต็มอิ่ม ซึ่งจุดนี้ผมว่าผู้กำกับทางตะวันตกยังไม่แม่นครับไอ้ฉากเร้าอารมณ์ทำนองเนี้ย (น่าจะตามพวกผู้กำกับหนังญี่ปุ่นหรือเกาหลีไปทำครับ เอาแค่ฉากเน้นอารมณ์นี่แหละ หนังคงสมบูรณ์สุดๆ ไปเลย … แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอก)
ครับ ยาวแล้วๆ โอเค มาสรุปดีกว่า ตกลงว่าทุกส่วนของหนังดีหมดครับ ดาราดี เทคนิคต่างๆ ทำได้ยอด ความฮาก็มากครับทำให้ดูเพลินอย่างยิ่ง และตัวละครก็มีมิติยิ่งกว่าภาคใดๆ ดนตรีก็ใช้ได้ (ไอ้ที่ดีดันไปไว้ตอนจบที่ชาวบ้านเขาเปิดก้นหนีกันเกือบหมดโรงแล้ว โธ่) ส่วนเรื่องการที่หนังมีรายละเอียดไม่เท่านิยายนั้นก็ขอให้ทำใจเลยครับ มันไม่เท่าแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น หนังภาคนี้ก็จัดว่าดูสนุกครับ สนุกที่สุดในบรรดาหนังแฮร์รี่ทั้งหมดเลย ลื่นไหลลงตัวมากๆ ในแง่ความเป็หนัง แม้ช่วงท้ายจะเร่งให้จบไปนิดก็ตาม (ทำให้ไม่อิ่มเท่าที่ควรครับ)
อันนี้ต้องแล้วแต่ท่านล่ะครับว่าจะเอายังไง เพราะโดยส่วนตัวผมว่าหนังมันทำออกมาได้สนุกครับ มันส์ดี แม้จะมีจุดอ่อนสองสามอย่างที่ผมบอกก็เถอะ แต่หนังก็ยังทำได้น่าติดตามขนาดนี้ก็ถือว่าดีแล้วล่ะครับ ผมว่าคนที่อ่านมาแล้วถ้าไม่คิดมากก็น่าจะชอบกันล่ะครับ ส่วนคนที่ยังไม่อ่านอย่างผมก็คงไม่ผิดหวังเท่าไหร่ เพราะแม้จะดูอย่างผู้ไม่รู้ในบางเรื่องก็ตาม แต่ผลที่ได้ก็คือความบันเทิงอยู่ดี
คิดซะว่าเป็นกุศโลบายของเจ๊ J.K. Rowling แล้วกันครับ เหมือนกับเจ๊แกให้คนทำหนังมาเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ขายหนังสือทางหนึ่งมากกว่า ผมว่านะ เพราะสังเกตมานานแล้ว ปกติหนังจากหนังสือส่วนมากมันจะไม่ทำให้เกิดความอยากอ่านหนังสือขนาดนี้น่ะครับ แม้รายละเอียดจะไม่ครบ แต่หนังมันก็สมบูรณ์ในตัวของมันเองแทบทั้งนั้น มีแต่หนังชุด Harry นี่แหละที่ดูๆ ไปแล้วเกิดความรู้สึกว่ามันไม่สมบูรณ์จนต้องตามไปอ่านต่อในหนังสือน่ะ
แล้วสุดท้ายเราก็ต้องยอมเจ๊แก ตามไปอ่านหนังสือทุกที
สามดาวครับ
(8/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Fantasy