นี่ไม่ใช่แค่หนังฆาตกรรมเท่านั้น แต่นี่ยังถือเป็นการขึ้นจอครั้งแรกของ ดร.ฮันนิบาล เลคเตอร์อีกด้วย!
เรื่องราวก็คือวิล แกรแฮม (William Petersen) ต้องตามจับฆาตกรโหดทู๊ต แฟร์รี่ หรือ ไอ้เขี้ยวสยอง (Tom Noonan) แต่เขาไร้ซึ่งเบาะแสใดๆ เลยทำให้เขาจนใจครับ ต้องไปขอความช่วยเหลือจาก ดร.เลคเตอร์ (Brian Cox) ฆาตกรต่อเนื่องนักกินคนที่เขาเคยจับเข้าคุกไป
ครับ หนังเรื่องนี้สร้างจากนิยาย Red Dragon ของ Thomas Harris เหมือนกัน ซึ่งตอนนั้น Dino De Laurentiis ผู้อำนวยการสร้างมือทองอีกคนของวงการ ได้ซื้อสิทธิ์ในนิยายชุดของดร.เลคเตอร์มาและได้ทำออกมาเป็นเรื่องนี้ กำกับโดย Michael Mann (แห่ง The Insider, Heat ) ซึ่งตอนนั้นพี่แกยังโนเนมอยู่ ตัวหนังแม้จะออกมาดี แต่เจ๊งครับ รายได้แค่ 8 ล้านเท่านั้นเอง
ตอนแรกนั้นหนังก็จะใช้ชื่อว่า Red Dragon ตามนิยายครับ แต่เผอิญช่วงนั้นมีหนังชื่อ Year of the Dragon ทำออกมาแล้วเจ๊งปู่ Dino แกเชื่อโชคลางครับ เลยหลีกเลี่ยงที่จะตั้งชื่อหนังที่มีคำว่า Dragon … แต่หนังก็เจ๊งอยู่ดีแหละปู่
และพอผลมันออกมาเละแบบนี้ Dino De Laurentiis เลยหมดศรัทธาในนิยายชุดนี้ไปเลยครับ พี่แกจึงตัดสินใจขายสิทธิ์ในนิยายเรื่องต่อๆ ไป ให้กับชาวบ้านจนหมด แล้วเป็นไงครับ ปรากฏว่าพอ Orion Pictures ได้เอา The Silence of The Lambs มาทำ ก็ไม่มีอะไรมากครับ แค่ได้ไป 5 ออสการ์ และรายได้โกยกระหน่ำกว่าร้อยล้านเท่านั้นเอง งานนี้พี่ Dino แกเลยแค้นสองต่อครับ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำทุกวีถีทางที่จะเอาสิทธิ์ในนิยายชุดของ ดร.เลดเตอร์ กลับคืนมา และแกก็ทำได้ครับ เพราะทั้ง Hannibal และ Red Dragon ที่ออกมาทีหลังนั้น เกิดขึ้นได้ก็เพราะแรงถีบของเขานี่แหละ
ส่วนหนังเรื่องนี้นั้น มันก็โครงเรื่องเดียวกับ Red Dragon ครับ และถ้าจะให้เทียบกัน ก็ได้ออกมาว่า Red Dragon เวอร์ชั่นปี 2002 ทำออกมาได้ดีกว่า สนุกและน่าติดตามมากกว่า ไม่ได้แปลว่า Manhunter ไม่ดีนะครับ หนังก็ออกมาดี เพียงแต่โดยรวมๆ ทั้งในแง่ดาราและองค์ประกอบต่างๆ Red ออกมาได้ดีกว่า
แต่ถึงกระนั้นก็มีอยู่จุดหนึ่ง ที่ Red แพ้ Man อย่างหมดรูป ก็คือ ความสยองครับ เพราะ Man นี่ระทึกเข้าขั้นสยองได้เลยทีเดียวอย่างฉากแรกๆ ที่วิลต้องไปเก็บหลักฐานในบ้านของเหยื่อตอนกลางคืน ใน Red นั้น ภาพมันค่อนข้างสว่างครับ แต่ใน Man ภาพจะมืดมากๆ และที่นี้พอฉากที่วิลเปิดไฟดูสภาพห้องของเหยื่อเท่านั้นล่ะครับ … คนขวัญอ่อนเตรียมเอาหมอนมาปิดหน้าได้เลย ซึ่งผมเคยถาม กอล์ฟฟี่ (เพื่อนที่ชอบดูหนังมากอีกคนของผม) ว่าเคยดูเรื่องนี้มั้ย เขาก็ตอบว่า พอถึงไอ้ฉากที่ว่านี่ ก็หยุดเทปแล้วรีบไปทำอย่างอื่นเลยครับ อืมม์ คิดดูแล้วกัน
นอกจากนี้ จะมีอีกฉากที่เหยื่อรายหนึ่งจะถูกมัดติดกับรถเข็นแล้วก็พุ่งลงถนนมาพร้อมกับ ไฟลุกทั่วตัว ใน Red นั้น เราจะเห็นแบบไกลๆครับ แต่กับ Man เราะจะได้เห็นคนติดรถเข็น ไฟลุก โหยหวนอ้าปากค้างตรงดิ่งเข้ามาสู่กล้องเลย … โรคจิตเหลือเกินครับ
ด้านดารานั้นก็ถือว่าขายฝีมือครับ William Petersen กับบทวิล เกรแฮมซึ่งก็ทำได้ดี และพี่แกก็ดูฉลาดมากๆ จนผมกับเพื่อนๆ หลายคนมาตั้งทฤษฎีกันสนุกเลยครับ ว่าตัวละคร กิลล์ กริสซั่ม แห่ง CSI (ซึ่ง Petersen ก็รับบทเหมือนกัน) น่าจะเป็นตัวละครที่พัฒนามาจากพี่วิล เกรแฮมนี่แหละ ประมาณว่าพี่วิลในเรื่องนี้ทำคดีนี้เสร็จก็หายไปจากวงการเลย ก็เป็นไปได้ครับว่าพี่ท่านอาจจะเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่แล้วก็กลับมาทำงานที่ CSI คอยแก้คดีต่างๆ ซึ่งหลักการแก้คดีของพี่วิล และพี่กริสซั่มนี่เหมือนกันเลยครับ นั่นคือการมองที่เกิดเหตุแล้วนึกตาม รวมไปถึงการดัดแปลงข้าวของมาใช้เป็นเครื่องมือเนี่ย … 5555 (นี่ผมกับเพื่อนบ้ากันเองนะครับ อย่านึกจริงจัง)
ส่วน Brian Cox ที่มาเล่นเป็น ดร. เลคเตอร์ ก็นับว่าทำได้ไม่เลวครับ แต่แน่นอนว่าหากเทียบจริงจังแล้ว Anthony Hopkins ย่อมเหนือกว่ามาก
และ อีกหนึ่งซึ่งเป็นนักแสดงคนเดียวที่เล่นหนังเกี่ยวกับ ดร.ฮันนิบาล เลคเตอร์ครบทุกเรื่อง นั่นก็คือ Frankie Faison ที่เล่นเป็นบาร์นี่ยในหนังเลคเตอร์ 3 ตอนนั่น ส่วนฉบับนี้พี่แกก็มาเลยไว้ด้วยนะครับ ในบทจ่าฟิสก์ ก็บังเอิญดีจริงๆ ครับ
สรุป ก็เป็นตำนานอีกบทที่ทำได้ดีครับ โรคจิตถึงใจดี คอหนังแนวฆาตกรต่อเนื่องน่าจะชอบ
สองดาวกว่าๆ แล้วให้อีกครึ่ง เป็นค่าความโรคจิตครับ
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Thrillers