Young Sherlock Holmes หนังผจญภัยนอกตำนานของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ซึ่งเรื่องนี้สร้างจากจินตนาการของทีมงานครับ ผูกเรื่องขึ้นใหม่ เป็นเรื่องของโฮล์มส์ตอนหนุ่ม (Nicholas Rowe) ที่ได้เจอกับ จอห์น วัตสัน (Alan Cox) ในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง และที่นั่นพวกเขาได้พบกับเงื่อนงำการฆาตกรรม ก็แหงล่ะครับ โฮล์มส์ต้องตามสืบอยู่แล้ว โดยการใช้หลักอนุมานแสนชาญฉลาดอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาในการไขคดี
เรื่องนี้ถือว่าไม่โนเนมนะครับ ได้ Steven Spielberg อำนวยการสร้าง ได้ Chris Columbus ที่ตอนนั้นชื่อกำลังร้อนจากการเขียนบท Gremlins และ The Goonies มาเขียนบทให้ ส่วนผู้กำกับก็คือ Barry Levinson ที่ได้กำกับหนังออสการ์อย่าง Rainman ในเวลาต่อมา ดนตรีก็เป็นงานของ Bruce Broughton คอมโพเซอร์มือดีอีกคนที่ชื่ออาจไม่ดังติดหู แต่งานของเขาไว้ใจได้เสมอ ได้บรรยากาศและอารมณ์ทุกเรื่องครับ ดังนั้นเอาเฉพาะทีมงานก็ต้องบอกว่าหนังมีฟอร์มไม่น้อย
ส่วนเนื้อเรื่องนั้น แฟนโฮล์มส์ก็คงมีทั้งที่โอและไม่โอครับ เพราะหนังมีการแต่งเติมเรื่องราวขึ้นมาจากจินตนาการของ Columbus ที่นำพาเอาโฮล์มส์มาเจอกับวัตสันตั้งแต่วัยเยาว์ แต่สำหรับผมแล้ว ก็อยากจะบอกว่าอยู่ในข่ายชอบครับ เป็นการผูกเรื่องที่น่าสนใจและถือว่าสดใหม่ทีเดียวสำหรับยุคนั้น อีกทั้งลูกเล่นการเอาข้าวของเครื่องใช้ที่อิงถึงโฮล์มส์ในวัยผู้ใหญ่มาใส่ลงในเรื่อง ไม่ว่าจะที่มาของไปป์ หมวก หรือชุดคลุมก็เป็นการเชื่อมเรื่องราวเข้ากับโฮล์มส์ตอนโตที่เข้าท่าไม่น้อย
Columbus เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่าระหว่างเขียนบทหนังเรื่องนี้เขาก็เกร็งอยู่เหมือนกันครับ เพราะการด้นเรื่องราวขึ้นเองแบบนี้ก็เสี่ยงที่จะทำให้แฟนโฮล์มส์บางกลุ่มไม่พอใจ เขาเลยพยายามเขียนด้วยความระมัดระวัง ตั้งใจ และใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งก็ถือว่าผลที่ได้ออกมาน่าพอใจครับ โดยเฉพาะการเล่าถึงอุปนิสัยในวัยเยาว์ของโฮล์มส์ที่มักจะโดนอารมณ์ครอบงำอยู่บ่อยๆ อีกทั้งยังมีความรักเข้ามาในชีวิตด้วย ซึ่งอะไรต่างๆ เหล่านี้ Columbus ตั้งใจผูกขึ้นเพื่อเติมเต็มประเด็นที่ว่า เหตุใดเมื่อโฮล์มส์โตขึ้นเขาถึงกลายเป็นคนเย็นชาและเจ้าหลักเจ้าการ อีกทั้งยังชอบใช้ชีวิตคนเดียวเป็นหลัก
ผมชอบฉากที่ดัดลี่ย์ (Earl Rhodes) คู่แข่งของโฮล์มส์ถามใครต่อใครว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร แล้วโฮล์มส์ก็ตอบว่า “ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว” ประโยคง่ายๆ นี้สะท้อนความรู้สึกในขณะนั้นของโฮล์มส์ได้อย่างน่าสนใจครับ และทำให้อดสะท้อนใจไม่ได้ ว่าโฮล์มส์เองกำลังจะเจอกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล
และสิ่งหนึ่งที่รู้สึกระหว่างดูคือบรรยากาศในเรื่องนี่ชวนให้นึกถึงกลิ่นอายในหนัง Harry Potter ไม่น้อย ก็อดคิดไม่ได้ครับว่า Columbus เองคงนำเอาประสบการณ์จากหนังเรื่องนี้ไปใช้ในการเซ็ตติ้งหนัง Harry ไม่มากก็น้อย (และมันก็บังเอิญดีเหมือนกันที่คู่แข่งของโฮล์มส์ในเรื่องมีชื่อว่าดัดลี่ย์ ชื่อเดียวกับลูกพี่ลูกน้องจอมกวนของแฮร์รี่เลย)
นักแสดงถือว่าดีครับ ส่วนมากเราจะไม่คุ้นหน้า แต่ก็แสดงได้ดีทั้งนั้น Rowe กับ Cox ไปได้ดีกับบทโฮล์มส์และวัตสัน, Anthony Higgins แสดงเป็นศาสตราจารย์แรธ คนที่โฮล์มส์นับถืออย่างยิ่ง, Sophie Ward มาเป็น อลิซาเบธ ฮาร์ดี้ รักในวัยเรียนของโฮล์มส์ และคนที่ลืมไม่ได้คือ Roger Ashton-Griffiths ในบทสารวัตรเลสเตรด ซึ่งถือว่าคาแรคเตอร์ค่อนข้างใช่เลยล่ะครับ ดูขี้โอ่ ถือดี รูปร่างม่อต้อ แต่ขณะเดียวกันเลสเตรดเวอร์ชั่นนี้ก็ใช่จะไร้ความสามารถเสียทีเดียว ก็ถือเป็นการตีความเลสเตรดที่เข้าท่าอยู่เหมือนกัน
ตัวหนังเองจัดว่าน่าพอใจครับ เดินเรื่องไปเรื่อยๆ มีความน่าติดตามพอสมควร ถือว่าเดินเรื่องได้เร็วไม่ค่อยมีช่วงให้เบื่อสักเท่าไร แต่ขณะเดียวกันหนังก็ยังไม่ถึงกับมันส์แบบสุดๆ การเล่าเรื่องหรือทิ้งปมในบางส่วนอาจยังไม่เร่งเร้าหรือเข้มข้นแบบเต็มๆ ซึ่งจุดนี้ก็คาดว่าคงเพราะผู้กำกับ Levinson อาจไม่เชี่ยวนักในส่วนของความตื่นเต้นเร้าใจหรือฉากแอ็กชันต่างๆ แต่ถ้าเป็นฉากว่าด้วยความสัมพันธ์ตัวละครล่ะก็ จะถือว่าเข้าทางเขามากกว่า ซึ่งพอลองมานึกๆ ดูแล้วก็เป็นตามนั้นครับ ฉากที่ขับเคลื่อนด้วยตัวละครจะดูลื่นไหลกว่า ในขณะที่ฉากประเภทตื่นเต้นเร้าใจ สืบสวนคลายปม หรือฉากแอ็กชันต่างๆ เหล่านี้ถือว่ายังดีได้อีก
เกร็ดที่น่าสนใจของหนังก็คือฉากเครดิตเปิดเรื่องที่ฉากหลังเป็นภาพเงาเคลื่อนไปตามพื้นนั้นเป็นการคารวะหนัง Holmes ฉบับ Basil Rathbone ครับ
และภาพหลอนในโบสถ์ที่เป็นตัว “อัศวินกระจกสี” ในเรื่องนั้น ถือว่าเป็นตัวละครที่ทำโดย CGI ล้วนๆ เป็นตัวแรกของโลกภาพยนตร์ครับและผู้ควบคุมงานนี้ก็คือ John Lasseter ที่ในเวลาต่อมาจะเป็นผู้กำกับ Toy Story นั่นเอง และเรื่องนี้ยังถือเป็นหนึ่งในหนังที่ Spielberg นำมาใช้ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคพิเศษและ CGI ในช่วงเตรียมตัวก่อนไปทำ Jurassic Park ภาคแรกด้วย – จึงกล่าวได้ว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของวงการเทคนิคพิเศษครับ
หนังถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเมื่อตอนออกฉายครับ จากทุนสร้างราว $18 ล้าน หนังทำเงินไป $19 ล้านหน่อยๆ เท่านั้น และตอนที่หนังเข้ามาฉายในบ้านเรานั้นก็ใช้ชื่อว่า Pyramid of Fear หรือ ถล่มวิหารไอยคุปต์ ครับ
และสำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้มีความพิเศษมากๆ อยู่อย่างหนึ่งครับ นั่นคือ หนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังเรื่องแรกที่ทำให้ผมรู้จัก “ฉากท้ายเครดิต” เพราะสมัยนั้น (ตอนยังเด็ก) ผมยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน จำความรู้สึกในตอนนั้นได้เลยว่าว้าวมาก ตื่นเต้นมาก ทึ่งมากว่าหลังจากเครดิตขึ้นแล้ว หนังยังมีฉากซ่อนอยู่ด้วยหรือนี่ และฉากที่ว่านี่ก็ทำให้ผมว้าวหนักมากครับ เพราะเป็นการปรากฏตัวของตัวละครหนึ่ง อันเป็นตัวละครที่เป็นตำนานสำคัญของจักรวาลเชอร์ล็อค โฮล์มส์ – บอกได้เลยครับว่าความตื่นเต้นในนาทีนั้นมันคือสุดๆ ไปเลย จนทุกวันนี้ก็ยังจำความรู้สึกตื่นเต้นโคตรๆ ในตอนนั้นได้
โดยรวมแล้วก็ถือว่าไม่เลวครับ เป็นอีกตำนานที่ดูได้เพลินๆ ของเชอร์ล็อค โฮล์มส์
สองดาวครึ่งสิครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์