Action

Batman (1989) แบทแมน

Batman_ver2

หลังจาก Batman เวอร์ชั่น TV เสื่อมความนิยมลงไปจนเลิกสร้าง หนังแบทแมนก็เงียบไปพักนึง จนพอ Superman สามารถสร้างเป็นหนังใหญ่จนโด่งดังเมื่อปี 1978 ทำให้อนาคตของหนัง Batman เริ่มมีการนำมาพูดถึงอีกครั้ง ตั้งแต่ปี 1980 โน่นน่ะครับ โดยเนื้อเรื่องจะมีทั้งแบทแมนและโรบิน ส่วนศัตรูก็จะมีสองตัวเช่นกัน นั่นคือ โจ๊กเกอร์กับเพนกวิน แต่แล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อสองผู้อำนวยการสร้าง Jon Peters และ Peter Guber เข้ามารับงานแทน แล้วก็เสนอ Tim Burton ให้กำกับ

ตอนแรกนั้น บริษัทกะจะสร้างให้ Batman ที่กลับมาครั้งนี้มีรูปแบบเป็นหนังแอ๊คชั่น ตลก แบบเดียวกับฉบับทีวีเมื่อปี 1966 แล้วก็วางให้ Bill Murray แสดงเป็นแบทแมน (โอ้แม่เจ้า) แต่ก็ล้มเลิกไปเมื่อ Tim Burton ก้าวเข้ามา (โล่งอก )

พี่ Tim แกต้องการจะทำหนัง Batman ให้เป็นแบบดาร์คไซด์ครับ ประมาณว่ามืดๆ หม่นๆ กันไปเลย เรื่องราวก็จะเน้นในเชิงจิตวิทยาโดยให้แต่ละตัวละครล้วนมีปมทางจิตใจทั้ง นั้น (ประมาณว่ามีโอกาสบ้าสูงน่ะว่างั้นเถอะ) และความจริงแล้ว พี่ Tim อยากจะสร้างหนังจากการ์ตูนชุด The Dark Knight Returns เมื่อปี 1986 ของ Frank Miller มากกว่า

ถึงตรงนี้ก็ต้องขอย้อนความซักหน่อย คือการ์ตูนแบทแมนนี่ ดั้งเดิมก็ถือกำเนิดมาจาก Bob Kane เมื่อปี 1939 โน่นใช่มั้ยครับ อ้านั่นแหละ ส่วนไอ้ The Dark Knight Returns นั้นเป็นการ์ตูนที่เขียนขึ้นโดย Frank Miller นักเขียนที่มีชื่อเสียงมากสุดๆ คนหนึ่ง ในยุค 80 เพราะพี่ท่านเขียนการ์ตูนแนวทึมๆ ได้สาใจชาวบ้านมาก พร้อมทั้งเนื้อเรื่องก็เข้มข้นอีกด้วย จนจะเรียกว่าพี่ท่านเป็นผู้เปิดศักราชใหม่แห่งการตูนแนวมืดทะมึนดำทมิฬก็คง ไม่ผิดอะไร

เนื้อหาใน Dark Knight Returns ก็จะเป็นการพูดถึงบรูซ เวย์นตอนอายุ 50 ปีที่แก่ชราและวางมือจากชุดค้าวคาวไปนานแล้ว มิหนำซ้ำยังติดเหล้าและจมอยู่กับอดีตอีกต่างหาก (ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ Tim ถึงอยากทำ) แต่เขาก็ต้องกลับมาปกป้องมืองก็อตแธมอีกครั้งเมื่อแก๊งวายร้ายที่ชื่อว่า มิวแทนต์ ยกพวกมาก่อกวนความสงบ และเหนืออืนใดคือ เขายังต้องกลับมาเจอกับสุดยอดวายร้ายคู่ปรับตลอดกาลอย่าง โจ๊กเกอร์อีกด้วย ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้ก็รุนแรงและหนักหนาถึงขั้นจนกว่าจะตายกันไปข้างนึงเลย ล่ะครับ

นั่นคือสิ่งที่พี่ Tim แกเสนอทาง Warner Bros. ไป แต่ทางนั้นเขาก็ตอบกลับมาว่า ควรจะเริ่มสร้างจากจุดเริ่มก่อน เพราะเนื้อหาของ Dark Knight Returns มันถือเป็นบทสรุปของหนังชุดนี้ ดังนั้นจู่ๆ ทำเรื่องแรกจะให้มาเป็นตอนสรุปเลยก็ไม่เหมาะนัก (เพราะใจจริง Warner Bros. หวังจะให้สร้างภาคต่อครับ ดังนั้นขืนสร้างตอนจบขึ้นมาดื้อๆ ก็ปิดประตูภาคต่อกันพอดี (ยังมีข่าวลือมาอีกว่าแบทแมนเวอร์ชั่นนั้นจะมีความยาวประมาณ 4 ชั่วโมง (เฮ้ย)… อันนี้ก็มากโขอยู่นา) พี่ Tim แกเลยยอมทำโดยนำเอาเรื่องราวของแบทแมนในสมัย Bob Kane มาทำแทน

จาก นั้กน็มีการคัดเลือกดาราอีกมากมาย ไม่ว่าจะ Alec Baldwin, Charlie Sheen, Pierce Brosnan รวมไปถึงพี่ Mel Gibson ซึ่งถือว่าเป็นตัวเก็งมาแต่ไกลเลย แต่เผอิญพี่แกดันติดสัญญากับหนัง Lethal Weapon 2 ก็เลยชวดบทไปในบัดดล อีกคนที่เสนอตัวจะมาแสดงก็คือ Adam West ผู้รับบทหนังชุด Batman เมื่อปี 1966 นั่น แต่ทีมงานก็ปฎิเสธไป โดยเสนอให้ West มาแสดงรับเชิญเป็นพ่อของบรูซแทน ซึ่งเขาก็ปฏิเสธไม่ยอมเล่นตามฟอร์ม

สุด ท้ายบทแบทแมนก็ตกมาอยู่ในมือของ Michael Keaton ซึ่งก็เป็นไปตามคาดครับที่แฟนๆ แบทแมนจะแอนตี้กันกระจาย แต่พี่ Tim และ Bob Kane ต่างเห็นพ้องต้องกันว่านี่แหละครับเหมาะดับบทบรูซ เวย์นและแบทแมนเอามากๆ ด้วยหน้าตาอมทุกข์และติดอยู่กับอดีตแบบนี้ แล้วพอทำหนังออกมาแฟนๆ ก็ยอมรับแต่โดยดี

หนังในภาคนี้ก็กล่าวบรูซ เวย์น (Keaton) มหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งซึ่งเมื่อก็อตแธมมีภัย เขาก็จะสวนชุดแบทแมนออกปราบปรามเหล่าร้าย และศัตรูตัวแรกที่เขาต้องเผชิญก็คือ แจ๊ค เนเปียร์ (Jack Nicholson) วายร้ายโรคจิตที่ตกลงไปในถังเคมีจนสภาพเปลี่ยนแปลงเป็น โจ๊กเกอร์ อาชญกรอัจฉริยะที่มีแผนจะทำลายความสงบทุกรูแบบของชาวก็อตแธม แบทแมนเลยต้องออกโรงสยบมันด้วยตัวเอง

นอกจากนี้เขายังได้พบกับ วิคกี้ เวล (Kim Basinger) นักข่าวสาวที่กำลังตามสืบเรื่องแบทแมนอยู่

ครับ Batman ภาคนี้ทำออกมาได้มืดๆ ทึมๆ เมืองก็ผสมผสานความเก่า ความร่วมสมัยและความเป็นการ์ตูนเข้าไว้ด้วยกัน ฉากดูอลังการและลึกลับดี เนื้อหาก็เข้มข้นครับ การแสดงของแต่ละคนก็ล่วนถึงฟอร์ม โดยเฉพาะ Nicholson ที่โดดเด่นสุดๆ ในบทโจ๊กเกอร์ ทั้งร้ายและรวยอารมณ์ขัน รวมไปถึงเสียงหัวเราะที่ทั้งสยองและสนุกไปในเวลาเดียวกัน ทำให้นี่เป็นหนึ่งในวายร้ายที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำที่สุดแห่งยุคก็ว่าได้

ส่วน Keaton แม้จะไม่เด่นแต่ก็ไปได้ดีกับบทบรูซ เวย์นในแบบของพี่ Tim ครับ เป็นคนที่ดูเก็บอะไรไว้เยอะมากจริงๆ ส่วน Basinger ก็สวยเซ็กซี่น่ารักสุดๆ อยู่แล้ว นอกจากนั้นยังได้ Michael Gough มารับบทเป็นอัลเฟรด, Pat Hingle มาแสดงเป็นผู้กำกับกอร์ดอน และหนังยังทำการเซอร์ไพร์สคนดูด้วยการเปิดตัว อัยการฮาร์วี่ย์ เดนท์ ซึ่งจะต้องกลายมาเป็นวายร้ายนาม ทูเฟซ ในเวลาต่อมา โดยให้ Billy Dee Williams มารับบทไป ซึ่งแฟนการ์ตูนคงจะงงกันเป็นแถบๆ ล่ะครับ เพราะทูเฟซมันผิวขาวนี่หว่า ในเรื่องนี้ดันดำปื้อมาเชียว แต่พอถึงภาค Forever เข้าจริง ทูเฟซก็รับบทโดย Tommy Lee Jones ซึ่งมีผิวขาวตามปกติ (อดคิดไม่ได้ว่าถ้าพี่ Tim ยังทำ Batman Forever อยู่นั้น เรื่องราวมันจะเป็นอย่างไรต่อไป)

นักแสดงจัดว่าแข็งครับ เรื่องราวสนุกและหนังสามารถกลับไปเป็นแบทแมนเวอร์ชั่นมืดทะมึนแบบเดียวกับ ต้นฉบับที่ Bob Kane เคยสร้างไว้ได้สำเร็จ ดนตรีก็อลังการและได้อารมณ์จากฝีมือของ Danny Elfman คอมโพเซอร์คู่บุญคู่กรรมของพี่ Tim ที่ทำดนตรีให้กันตลอดแทบทุกเรื่อง (มียกเว้นแค่เรื่อง Ed Wood เท่านั้น) เรียกว่ารู้ใจกันจนไม่ต้องมองตาก็อ่านกันออกล่ะครับว่าฉากนี้โทนดนตรีควร เป็นแบบไหนน่ะ

นอกจากนี้หนังยังมีปมทางจิตของตัวละครแต่ละตัวอีกด้วย ซึ่งทำให้มหานครก็อตแธมเหมือนเป็นโรงพยาบาลประสาทขนาดใหญ่ที่รอให้คนซึ่งมี อาการทางจิตออกมาต่อกรกันยังงั้นน่ะ แต่หากจะว่าไปผมว่าปมในภาค Begins ออกจะแนน่หนากว่า นี่ไม่ไ่ด้เปรียบนะครับ แค่อยากบอกให้ฟังเฉยๆ ว่าผมคิดอย่างไร ทว่ากับเรื่องนี้ก็ถือว่าทำได้ดีแล้วครับสำหรับยุคนั้นน่ะ เพราะช่วงนั้นเขายังไม่ค่อยเน้นเรื่องทางอารมณ์กันเท่าไหร่ หนัง Hollywood น่ะ ดังนั้นในเรื่องนี้ทำออกมาหยั่งงี้ก็จัดว่าโอเคพอสมควรแล้วล่ะครับ

จัด ว่าหนังทำได้สมบูรณ์และลงตัวแบบสุดๆ ครับ ยิ่งไปกว่านั้นผมต้องขอยกนิ้วให้กับฉบับพากย์ไทย (ของดั้งเดิมนะครับ เวอร์ชั่นสมัยออกเป็น VDO นั่น) ที่พากย์ได้ดีมาก โดยเฉพาะโจ๊กเกอร์ทีได้คุณปิยะ ชำนาญกิจมาให้เสียง จัดเป็นผลงานสุดยอดของพี่เค้าเลยครับ เสียงหัวเราะชั่วร้ายมากๆ จริงๆ ดูแล้วเพลินครับ

หนังมันส์และทึมแบบพี่ Tim เป็นอีกหนึ่งหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ต้องจับขึ้นไปวางไว้บนหิ้ง

เพราะของเขาถึงเครื่องดีจริงๆ

สามดาวครับ

Star31

(8/10)

 

ถัดไปด้านล่างนี้คือรีวิวฉบับสมบูรณ์ Batman ที่ผมเคยเขียนไว้ในคอลััมน์ Film Retro
(ลงนิตยสาร Movie Time ฉบับที่ 373 ครับ)

นักปราบอธรรมแห่งรัตติกาลถือกำเนิดครั้งแรกในหนังสือ Detective Comics เล่ม 27 ประจำเดือนพฤษภาคม ปี 1939 โดยการสร้างสรรค์ของ Bob Kane และ Bill Finger ซึ่งรายหลังไม่ได้รับเครดิตเป็นทางการ แต่จริงๆ แล้ว Finger มีบทบาทไม่แพ้ Kane ในการช่วยออกแบบพี่แบทจนเป็นอย่างทุกวันนี้ เพราะเริ่มแรก Kane มีแค่ไอเดียเกี่ยวกับชื่อซึ่งได้แรงบันดาลใจจากหน้ากากโซโรแห่ง The Mask of Zorro (1920) มาผสมกับสไตล์หนังสืบสวนเรื่อง The Bat Whispers (1930) รูปลักษณ์พี่แบทตอนแรกคล้าย Superman มาก โดยเฉพาะมีสีแดงแรงฤทธิ์เป็นองค์ประกอบหลัก ส่วนสีดำมีแค่นิดหน่อย หน้ากากก็ไม่มี ใส่แต่ผ้าคาดตา (แบบที่ Robin ใช้) ชุดก็มีปีกด้วย

Kane เองก็ตระหนักว่าแบทแมนต้องการอะไรมากกว่านี้ เลยหอบไอเดียมาคุยกับ Finger นักวาดการ์ตูนมือดี ให้ช่วยกันสร้าง Batman และ Finger ก็เซย์เยส พร้อมทั้งออกแบบเครื่องแต่งกายของแบทแมนให้ลงตัวและแฝงความขลังยิ่งขึ้น ตั้งแต่การเปลี่ยนผ้าคาดปิดตากลายเป็นหน้ากากรูปค้างคาว ตรงดวงตาก็ให้เป็นเพียงสีขาวโล่งๆ เพื่อสื่อถึงความลึกลับ ปีกก็เอาออกไปแล้วแทนที่ด้วยถุงมือ ที่สำคัญที่สุดคือจัดการเอาสีแดงออกไป ใส่แต่สีดำและเทา เพื่อให้แบทแมนมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำรอยกับพี่ซุป เนื้อหาก็เป็นส่วนผสมระหว่าง Doc Savage (ฮีโร่นักผจญภัยแบบอินเดียน่า โจนส์), The Shadow (ฮีโร่ที่แปลงร่างเป็นเงาได้) และ Sherlock Holmes ยอดนักสืบขวัญใจนักอ่านทั่วโลก

ความดังของมนุษย์ค้างคาวถือว่าสนั่นวงการ สร้างชื่อเสียงให้ DC Comics อย่างแรงคู่กับ Superman ความเด็ดของเรื่องก็เริ่มตั้งแต่ตัวแบทแมนที่ฉีกแนวมาในเงามืด ไม่ได้มาพร้อมความเจิดจ้าสว่างไสวแบบฮีโร่เจ้าอื่น อีกทั้งยังไม่มีพลังพิเศษใดๆ ใช้ แต่ความสามารถของตัวเองสร้างเครื่องมือไฮเทคสารพัดชนิด โครงเรื่องก็ออกแนวสืบสวน แอ็กชัน ตบท้ายด้วยไซไฟล้ำจินตนาการแบบหม่นๆ และที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือแบทแมนมีศัตรูที่เต็มไปด้วยสีสัน ตั้งแต่ศัตรูตลอดกาลอย่าง โจ๊กเกอร์ (The Joker) อาชญากรหน้าเปื้อนยิ้มผู้แสนอำมหิต ยังมี Penguin, Catwoman, The Riddler (มนุษย์เจ้าปัญหา), Two-Face (มนุษย์สองหน้า) เป็นอาทิ จนการ์ตูนฮีโร่ยุคต่อมาพากันเดินตามรอย สร้างสุดยอดวายร้ายที่มีเอกลักษณ์มาเป็นคู่มือซูเปอร์ฮีโร่กันเป็นแถบแถว

พล็อตหลักเล่าถึงมหาเศรษฐีแห่งนครก็อทแธมนามว่า บรูซ เวย์น ที่เห็นพ่อแม่ถูกโจรฆ่าต่อหน้า เลยฝังใจเก็บความแค้นไว้ พร้อมตั้งปณิธานว่าจะออกโรงล้างอาชญากรรมให้หมดไปจากเมือง โดยสร้างสัญลักษณ์แทนตัวเองที่จะข่มขวัญให้ทุกเหล่าร้ายต้องกลัวเกรง นั่นคือ ค้างคาว ในเวลาต่อมาแบทแมนก็มีผู้ช่วยหนุ่มนามว่า โรบิน และอีกหนึ่งตัวละครที่คอยดูแลทั้งแบทแมนและบรูซ เวย์น คือ อัลเฟรด เพนนีเวิร์ธ พ่อบ้านผู้แสนซื่อสัตย์

Batman ถือเป็นฮีโร่ยอดฮิตที่ได้รับความนิยมไม่มีตกตั้งแต่สยายปีกอวดโฉมครั้งแรก แฟนๆ ติดกันเกรียว ก็เป็นธรรมเนียมล่ะครับที่ผู้สร้างจะเอาไปทำเป็นหนัง ซึ่งแบทแมนฉบับคนแสดงเรื่องแรกก็ออกมาในรูปของหนังชุด(Film serials) ที่แบ่งฉายในโรงเป็นตอนๆ ชื่อว่า Batman นำแสดงโดย Lewis Wilson (เป็นพี่แบท) และ Douglas Croft (เป็นโรบิน) ลงโรงในปี 1943 อันเป็นยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์พอดี พี่แบทของเราเลยมีศัตรูเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นชื่อ ดร.ทีโท ดากะ ที่ความจริงแล้วเป็นองค์ชายจากแดนอาทิตย์อุทัยปลอมตัวมาก่อการในอเมริกาโดยเฉพาะ อาวุธร้ายของมันคือ เครื่องมือที่เปลี่ยนคนเป็นซอมบี้ได้

แม้หนังพี่แบทชุดแรกจะไม่ค่อยดังตามเป้า เพราะโครงเรื่องเปลี่ยนไปเป็นแนว “สายลับจับคอมมิวนิสต์” มากกว่าจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ (เล่นเอาเด็กๆ ผิดหวังไปตามๆ กัน) แต่ก็ดังพอจะทำให้เกิดตอนต่อมาอีกหนึ่งชุดในชื่อ Batman and Robin (1949) ที่เปลี่ยนคนแสดงนำเป็น Robert Lowery (แบทแมน) และ Johnny Duncan (โรบิน) พร้อมทั้งเปิดตัวหวานใจของบรูซ เวย์น อย่างวิคกี้ เวล (Jane Adams) นักข่าวสาวสวย และผู้กำกับฯ กอร์ดอน (Lyle Talbot) ซึ่งฉบับนี้ทุนต่ำกว่าชุดแรก แต่เนื้อหาน่าสนใช่เล่น ศัตรูในเรื่องคือ The Wizard วายร้ายปริศนาที่ก่อการขโมยรีโมตวิเศษที่สามารถควบคุมยานพาหนะในรัศมี 50 ไมล์ไปเพื่อการจารกรรมเพชรครั้งใหญ่ สองคู่หูดูโอของเราก็ต้องหาทางกระชากหน้ากากมันออกมา ซึ่งถ้าว่าถึงความสนุกก็พอรับได้ แต่ต้องทำใจเรื่องโปรดักชั่นหน่อย

ในปี 1966 Batman ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชั่นซีรี่ส์ทางทีวี ที่ได้ Adam West เป็นมนุษย์ค้างคาว คู่กับ Burt Ward ในบทโรบิน โดยปรับโทนให้กลายเป็นแนวตลกเบาสมอง เนื่องจากยุคนั้นมีการจำกัดความรุนแรงในจอทีวี (เอ๊ะ เหมือนที่ไหนน้า…) แต่ฮิตระเบิดเลยนะครับ เพราะเดินเรื่องได้อย่างมีสีสัน ของวิเศษแบทแมนก็เพียบ (ดูแล้วนึกว่าแกเป็นโดเรมอน) แล้วยังได้ดาราดังๆ มารับเชิญแทบทุกตอน และที่สุดของที่สุดที่ทำให้แฟนๆ แบทแมนยอมรับฉบับนี้แม้มันจะติงต๊องก็เพราะ ศัตรูตัวจริงของแบทแมนได้ทยอยขึ้นจอจนครบ ตั้งแต่โจ๊กเกอร์, เพนกวิน เรื่อยไปจนถึงมิสเตอร์ฟรีซ

ซีรี่ส์ Batman ดังกระฉูดจนก่อให้เกิดภาคหนังใหญ่ โดยดาราทีวีชุดเดิมยกวิกไปแสดง เนื้อหาก็จับเอาโจ๊กเกอร์ (Cesar Romero), เพนกวิน (Burgess Meredith), มนุษย์เจ้าปัญหา (Frank Gorshin) และแคทวูเมน (Lee Meriwether) มารวมพลังกันลักพาตัวเหล่าผู้แทนแต่ละประเทศเพื่อไปเรียกค่าไถ่ แต่แบทแมนกับโรบินก็ไม่ยอมครับตามไปลุย ซึ่งหนังก็ออกมาโทนเบาๆ แต่อัดแน่นด้วยฉากผจญภัย ไคลแม็กซ์ก็ไปตีกันบนเรือดำน้ำ ลงทุนไปตั้ง $1.3 ล้านทีเดียว (สรุปรายได้ก็ทำเงินระดับกลางๆ) แต่ถ้าเอามาดูยุคนี้อาจฮามากกว่า พี่แบทของเราก็อึดกว่าจอห์น แม็คเคลนซะอีก คิดดูมีอยู่ฉากหนึ่งแกโดนฉลามงับขา แล้วไม่ใช่งับปุ๊บปล่อยปั๊บนะครับ มันงับอยู่เกือบนาที พี่แบทเราก็ไม่แสดงอาการเจ็บเลย ยังเอาหมัดไปต่อยกับมันอีก (จนเริ่มงงว่าแกหุ้มขาด้วยเสาเข็มรึยังไง) ก่อนจะควักสเปรย์กำจัดฉลามออกมาจากกระเป๋ามิติที่ 4 เอ้ย จากเข็มขัดค้างคาว ฉีดจนมันหมดฤทธิ์ไป ผมนั่งดูตอนเด็กยังพอเอิ้กอ้ากบ้าง แต่พอคว้ามาดูอีกทีตอนโตเท่านั้นแหละ กลายเป็นหนังฮาไปเลยจริงๆ

แต่แล้วพอออกฉายไปได้สามปี ความนิยมของซีรี่ส์ก็ลดลง เพราะมามุกเดิมแทบทุกตอน เปิดมาก็เป็นภาพแบทแมนกับโรบินวิ่งไปที่รถเพื่อดิ่งไปยังศาลาว่าการ พบผู้กำกับกอร์ดอน เปิดตัวผู้ร้ายประจำตอน จากนั้นก็ตีกัน แต่รอบแรกแบทแมนต้องพลาดท่า ก่อนจะเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง ทีนี้แบทแมนก็เอาคืนบ้าง … มันเป็นรูปนี้ทุกตอนเลยครับ คนดูเลยเบื่อ มิหนำซ้ำช่วงนั้นยังมีซีรี่ส์ฮีโร่แห่สร้างตาม Batman ไม่ต่ำกว่า 6 เรื่อง เล่นเอาผู้ชมอยากซัดฮีโร่พวกนี้ไปให้ไกลๆ หันไปทางไหนก็เจอแต่ฮีโร่ ทำให้ Batman ฉบับซีรี่ส์หรือที่แฟนพี่แบทขนานนามว่า ภาคปัญญาอ่อน ถูกสั่งแคนเซิลกลางอากาศ เบ็ดเสร็จคือทำออกมา 120 ตอนพอดี

จากนั้นพี่แบทก็โผล่ในจอทีวีเป็นพักๆ ในเวอร์ชั่นการ์ตูน ส่วนฉบับหนังใหญ่ก็เริ่มเล็งว่าจะสร้างราวๆ ปี 1979 โดยหัวหอกที่จัดแจงซื้อสิทธิ์จาก DC Comics คือ Michael Uslan อดีตนักเขียนการ์ตูนที่อยากเอาแบทแมนกลับสู่โทนหม่นมืดแบบดั้งเดิม และด้วยความที่ Superman ฉบับจอเงินก็เพิ่งประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลไปเมื่อปี 1978 Uslan เลยจัดแจงเอาโครงการแบทแมนเวอร์ชั่นจริงจังไปเสนอตามสตูดิโอ แต่ก็โดนปฏิเสธหมดเรียบเพราะผู้สร้างคิดว่าหากทำเรื่องแบทแมนให้อึมครึมล่ะไม่น่าจะเป็นผลดี อยากได้พี่แบทเบาๆ ไม่หนักเกินไปแบบเด็กดูได้ เงินทองจะได้ไหลมาเป็นกำ

แต่ Uslan ก็ไม่ยอมแพ้ จัดการเขียนบท Return of the Batman ขึ้นมาเร่ให้นักสร้างหนังทั้งหลายอ่าน แล้วถ้าใครอยากมาแจมก็ยินดี ปรากฏว่าได้ผลครับ เพราะ Jon Peters กับ Peter Guber สองผู้สร้างที่ชื่อกำลังร้อนจาก Flashdance, The Color Purple และ Rain Man ตัดสินใจมาร่วมวงไพบูลย์

Uslan เลยตกลงส่วนแบ่งกันเสร็จสรรพ แล้ว Peters กับ Guber ก็กลับมาแจ้งให้ Uslan ทราบว่าขณะนี้ Warner Bros. ตกลงรับทำ Batman เรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินเครื่องสร้างพี่แบทให้มีชีวิตอีกครั้ง (ตอนนั้นปี 1985) เริ่มแรกทางนายทุนใหญ่อย่าง WB ก็ยังอยากทำมันออกมาในเวอร์ชั่นเบาสมองเพราะน่าจะจับตลาดได้กว้างกว่า เลยพยายามเอาดาราตลกอย่าง Bill Murray (Groundhog Day) มาเล่นเป็นพี่แบทและให้ Ivan Reitman (Ghost Busters) หรือไม่ก็ Joe Dante (Gremlins) มากำกับ ซึ่งทีมผู้สร้างทหารเสืออย่าง Uslan, Peters กับ Guber ก็ร่วมแรงแข็งขัน เป็นตายก็ไม่ยอม หากจะให้แบทแมนได้เกิดใหม่อีกครั้งต้องเป็นฉบับมืดหม่นเท่านั้น ซึ่งเป็นการมองต่างมุมน่ะครับ สตูดิโอก็มองว่าเอาฉบับขำๆ ที่คนเคยฮิตมาสร้างน่าจะปลอดภัยกว่า แต่ผู้สร้างซึ่งเป็นแฟนพันธุ์แท้ก็เข้าใจหัวอกคนรักแบทแมนว่า ต้องการฉบับหนานุ่มหนักแน่นไม่ใช่บางกรอบเบาปัญญา

ขณะที่โปรเจคท์ทำท่าจะล่มก็มีพระเอก (หน้าตาโรคจิตนิดนึง) ขี่ม้าขาวมากู้สถานการณ์ เขาคือผู้กำกับหนุ่มที่ทำหนังโกยกำไรให้ค่าย WB ถึงสองเรื่องรวด ได้แก่ Pee-wee’s Big Adventure (1985) และ BeetleJuice (1988) นามกรคือ Tim Burton ที่แสดงความสนใจอยากทำพร้อมร่วมเจตนารมย์กับพวก Uslan ยืนกรานว่าแบทแมนที่คนต้องการคือแบทมืดเท่านั้น ซึ่ง Burton ไม่ได้กล่าวเลื่อนลอย เนื่องจากตอนนั้นมีนักวาดการ์ตูนรายหนึ่งได้จัดการปฏิวัติมนุษย์ค้างคาวให้คืนสู่ความหม่นมืดอีกครั้งในชื่อ The Dark Knight Returnsที่เปี่ยมด้วยความรุนแรงสะใจกับเนื้อหาเข้มข้นกว่าเก่า ผู้ที่นำเอาความเข้มใส่ให้กับพี่แบทคือ Frank Miller ผู้ให้กำเนิด Daredevil, Sin City และ 300 ที่โดดเด่นมากในการสร้างเรื่องให้น่าติดตาม พร้อมลายเส้นถึงอารมณ์ การ์ตูนคอมมิคชุดนี้เองที่กระตุ้นให้ Burton อยากทำแบทแมนสุดๆ

พอ WB ได้รับคำชี้แจงครบขนาดนี้เลยยอมตกลงปลงใจ ไฟเขียวให้ทำ Batman ฉบับมืดได้ แต่ไฟเขียวได้แป๊บเดียวก็เปลี่ยนเป็นไฟเหลือง เพราะพี่ Burton แกดันยื่นเสนอไปว่า ที่อยากทำเป็นหนังน่ะไม่ใช่ Batman แต่เป็น The Dark Knight Returns ต่างหาก … การ์ตูนชุดนี้เล่าเรื่องของบรูซ เวย์นวัย 50 ปีครับ ประมาณว่าแกหมดกำลังใจจะทำหน้าที่เป็นมนุษย์ค้างคาว วันๆ เอาแต่นั่งดื่มเหล้าจนเป็นพิษสุราเรื้อรัง แต่แล้วเมื่อกลุ่มวายร้ายที่ชื่อ มิวแทนท์ ยกพวกมาก่อกวนความสงบ ซ้ำร้ายศัตรูตัวฉกาจอย่างโจ๊กเกอร์ยังกลับมาอีก งานนี้พี่แกเลยต้องยัดตัวลงชุดค้างคาวเพื่อปะทะกับเหล่าร้ายขั้นเด็ดขาด ส่วนโจ๊กเกอร์ก็ต้องประจัญบานกัน ถึงขั้นไม่ตายไม่เลิก!

เจอแบบนี้ WB เลยขอเจรจา ให้มาเริ่มสร้าง แบทแมนตอนต้นๆ ก่อนดีกว่าไหม เพราะเนื้อเรื่องของ DKR มันเป็นบทสรุปของพี่ค้างคาว จู่ๆ เปิดมาก็ทำตอนจบแบบนี้มันไม่สวยเท่าไรแล้วยังดาร์คไซต์สุดขั้วอีกต่างหาก ซึ่งสาเหตุจริงๆ คือ WB อยากทำภาคต่อด้วยน่ะแหละ และอีกหนึ่งข้อเสนอที่ WB รับไม่ได้คือ Burton อยากทำ DKR ออกมายาว 4 ชั่วโมง (โอ้ แม่เจ้า) เลยมีการต่อรองให้ทำ Batman ตอนเริ่มออกมา จะมืดก็ขอให้อย่าหนักเกินไป จะเอาใครมาเล่นก็ตามใจ ขอเพียงอย่าเพิ่งทำเป็น DKR แล้วกัน Burton ก็โอเคเบตงตามนั้น

ขั้นตอนเขียนบทก็ไม่ยากลำบาก ได้ Sam Hamm แฟนการ์ตูนตัวยงมาจัดการ โดย Hamm ประกาศแต่แรกเลยว่าเขาจะดัดแปลงแบทแมนภาคนี้ในบางส่วน เช่น โจรร้ายที่สังหารพ่อแม่บรูซนั้น ตามเนื้อความในการ์ตูนคือ โจ ชิลล์ โจรข้างถนนคนหนึ่ง แต่ Hamm จัดแจงกำหนดให้โจรร้ายนั้นคือโจ๊กเกอร์วัยหนุ่มแทน เพื่อให้การต่อสู้ระหว่างค้างคาวกับศัตรูอมตะตนนี้เป็นไปด้วยพลังความแค้นอย่างแท้จริง

แต่ขั้นตอนที่ทำเอาทีมงานทั้งกองลุกเป็นไฟ คือ การคัดเลือกว่าใครจะมาเป็นบรูซ เวย์นและแบทแมน ดาราที่มีชื่อในโผได้แก่ Mel Gibson, Dennis Quaid, Kevin Costner, Harrison Ford, Charlie Sheen, Pierce Brosnan และ Tom Selleck คนที่มีภาษีสูงสุดคือ Gibson เพราะตอนนั้นหล่อเข้ม และดังเต็มที่กับ Lethal Weapon แต่เขาก็เซย์โนเนื่องจากอยากไปทำ LW ภาค 2 มากกว่า แล้ว Burton ก็ตัดสินใจโยนโผทิ้งไป เปลี่ยนเป็นการเลือกด้วยสายตาแทน และคนที่เขาเล็งคือดาราหนุ่ม Michael Keaton

เท่านั้นล่ะครับ ไฟเริ่มไหม้ทีมงานทันที เพราะแฟนพี่แบทรวมพลังกันส่งจดหมาย 50,000 ฉบับ กระจายไปยัง WB, Uslan, Burton และผู้สร้างที่เกี่ยวข้อง ขอให้ทบทวนเลือกคนมาเล่นเป็นแบทแมนใหม่ เนื่องด้วยหน่วยก้านและท่าทางของ Keaton ดูผอมๆ ก้างๆ ไม่เหมาะจะเป็นแบทแมนด้วยประการทั้งปวง ซ้ำความหล่อล่ำก็ไม่มากมาย ชื่อเสียงก็กลางๆ บางเจ้าก็พาลหาว่า Burton เล่นพวกเพราะ Keaton เพิ่งร่วมงานด้วยหมาดๆ ใน BeetleJuice พร้อมขู่ว่าจะแอนตี้หนังหากทีมงานยังดื้อแพ่ง แต่เจอแบบนี้แทนที่ Burton จะถอดใจ เขากลับใช้จดหมายฉบับเดียวสยบทุกคำครหา โดยการติดต่อไปยัง Bob Kane เจ้าของสิทธิ์และผู้ให้กำเนิดแบทแมน (ตามกฎหมาย) พร้อมทั้งแจกแจงว่า เหตุผลที่เขาเลือก Keaton ก็เพราะ ดาราคนนี้มีฝีมือ เล่นได้หลายบทบาททั้งบ้าบอแบบ BeetleJuice หรือชีวิตจ๋าแบบ Mr. Mom ยิ่งไปกว่านั้นเขาตั้งใจสร้างแบทแมนฉบับนี้ออกมาโดยเน้นปมปัญหาทางจิตเป็นตัวเดินเรื่อง ต้องการให้บรูซ เวย์นเป็นมนุษย์ที่อมทุกข์ และไม่ได้สมบูรณ์แบบกว่าใคร ไม่ได้หล่อเหลา แม้จะมีเงินมากมายก็ไร้ความสุข ไม่ได้รูปร่างดีหุ่นเฟิร์มเหมือน Christopher Reeve ใน Superman เนื่องจาก Burton ตีความว่า นายบรูซที่จมอยู่กับอดีตเรื่องพ่อแม่ตัวเองตาย ซ้ำยังต้องอดหลับอดนอนตระเวนราตรีปะทะเหล่าร้ายทุกวัน จะให้ดูสดชื่นเหมือนพี่ซุปได้อย่างไรกัน และ Kane ก็พยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยทุกประการ พวกแฟนๆ ที่แอนตี้เลยเพลาลงไปเยอะเพราะเจ้าตำรับค้างคาวแมนมาหนุนหลังขนาดนี้

อีกหนึ่งบทสำคัญคือ โจ๊กเกอร์ อภิมหาวายร้ายคู่อาฆาตตลอดกาลข รายชื่อที่สตูดิโอเรียงมาให้เลือกคือ Tim Curry, Willem Dafoe, David Bowie และ James Woods แต่คนที่ Uslan กับ Kane หมายตาไว้ตั้งแต่ปี 1980 คือ Jack Nicholson เท่านั้นที่จะสามารถถ่ายทอดความบ้าคลั่งแบบเต็มพลัง แต่ก็มีความยุ่งยากนิดหน่อยเพราะเป็นที่ทราบดีว่าสมัยนั้นลุง Jack แกดังจัด (มีคนโหวตใหเป็นดาราชายทรงเสน่ห์และเซ็กซี่ที่สุดแห่งยุคด้วยนะครับ) ตารางงานเพียบ แต่ Uslan ก็เสี่ยงเข้าไปเจรจา ซึ่งลุงก็ตกลงแต่มีเวลาให้กองถ่ายแบทแมนแค่ 3 อาทิตย์ขาดตัว ซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ขนาดเบียดตางรางถ่ายทำแบบสุดๆ ก็ไม่น้อยกว่า 106 วัน ทาง Uslan ก็เลยต้องผ่าทางตัน ใช้เงินเข้าช่วย โดยตบปากรับคำว่าจะยอมให้ลุง Jack มาร่วมเกลาบทหนังเพิ่มได้ตามต้องการ อีกทั้งยังเสนอเงินค่าตัว $6 ล้านให้ ซึ่งสูงมากในยุคนั้น ไหนจะแบ่งเปอร์เซ็นต์ตอนหนังฉายอีก งานนี้ลุง Jack เลยโอนอ่อนยอมรับงาน (เพราะได้รับเงินแน่ๆ)

ส่วนบทนางเอกคนที่คว้าไปก็คือสาวสวยที่มาแรงพอตัวในยุคนั้นจากหนังไซไฟอย่าง Blade Runner (แสดงคู่กับ Harrison Ford) เธอคือ Sean Young กับบทวิคกี้ เวล นักข่าวสาวสวย นอกจากนี้วายร้ายก็ไม่ได้หมดแค่โจ๊กเกอร์ แต่ยังมีคาร์ล กริสซั่ม ตัวละครใหม่ที่ไม่มีในการ์ตูน แต่ Hamm ได้สร้างขึ้นโดยอิงจากสองคาแรคเตอร์หลักในการ์ตูน ซึ่งก็คือ รูเพิร์ต โธรน และ ซาล มาโรนี่ สองเจ้าพ่อที่คอยทำให้ชาวก็อทแธมขวัญผวา คนที่มาสวมบทได้อย่างยอดเยี่ยมก็คือ Jack Palance

เนื้อหาคร่าวๆ ของ Batman (1989) เล่าถึงวีรบุรุษรัตติกาลที่มาในชุดค้างคาว (Keaton) ผู้ออกปราบเหล่าร้ายในก็อทแธมซิตี้ มหานครที่อาชญากรชุกชุมยิ่งกว่าหนูเสียอีก โดยผู้บงการอยู่เบื้องหลังความชั่วร้ายทั้งหมดคือเจ้าพ่อกริสซั่ม (Palance) มือขวาของเขาคือแจ๊ค เนเปียร์ (Nicholson) จอมอำมหิตและฉลาดลึกล้ำ แต่แล้วกริสซั่มก็หักหลังเนเปียร์ ส่งเขาไปทำงานที่มีแต่ตายกับตาย ที่นั่นเองที่แบทแมนได้เผชิญหน้ากับเนเปียร์เป็นครั้งแรก การต่อสู้ส่งผลให้เนเปียร์ตกลงไปในถังเคมี ซึ่งเขารอดมาได้แต่ก็กลายสภาพเป็นมนุษย์โรคจิต โจ๊กเกอร์ที่โหดกว่าเดิมร้อยเท่า ร้ายกว่าเดิมพันเท่า มันได้กลับมาเพื่อคิดบัญชีกับกริสซั่มและแบทแมน งานนี้ชาวเมืองก็อทแธทก็ไม่รอดสันดรต้องโดนเหมือนกัน พี่แบทเลยต้องขี่รถขับยานบินมาประจัญบานกับมันก่อนเมืองก็อทแธมจะโดนทำลาย

ทีนี้ทุกอย่างก็พร้อม การถ่ายทำเริ่ม แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อ Young ผู้รับบทวิคกี้ เวล เกิดประสบอุบัติเหตุขณะถ่ายทำฉากขี่ม้าคู่กับบรูซ เวย์น จนต้องส่งโรงพยาบาลและไม่สามารถกลับมาเล่นได้อีกเป็นเดือนๆ ทีมงานเลยต้องควานหานางเอกคนใหม่ให้ทันเวลา ตามด้วยผู้สร้างเกิดอยากให้โรบิน คู่หูแบทแมนได้ปรากฏกายซะตั้งแต่ภาคนี้ เลยต้องมีการปรับบทใหม่ แต่ปัญหาก็เกิดต่อเนื่อง เพราะ Sam Hamm ผู้เขียนบทไม่สามารถมาทำงานให้ได้ เนื่องจากสมาคมนักเขียนบทดันมาประท้วงกันช่วงนั้นพอดี ทีมงานเลยมืดหลายด้าน ไหนจะต้องหานางเอกมาเสียบ ไหนจะต้องหาคนมาเกลาบท การถ่ายทำก็ล่าช้านานไม่ได้ เพราะ Jack Nicholson ที่มารับบทโจ๊กเกอร์ก็ไม่ได้ว่างตลอด ยังมีคิวงานจ่อรออยู่อีก ความกดดันเลยหล่นปุ๊มาสู่ทีมงานอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

งานนี้พี่ Tim Burton เลยต้องตัดปัญหาทีละเปราะ อย่างแรกคือเรื่องบทครับ เมื่อ Hamm กลับมาไม่ได้เลยต้องไปขอแรง Warren Skaaren ที่เคยเขียนบท BeetleJuice ผลงานชิ้นก่อนหน้าของ Burton ให้มาจัดการเกลาบทใหม่ แต่ประเด็นที่จะว่าให้มีโรบินนั้นในที่สุดก็ตัดออกไป เพราะต่างฝ่ายก็มีความเห็นตรงกันว่าตอนเปิดตัวแบทแมนยังไม่ควรมีโรบินมาแย่งความเด่น ส่วนนางเอกก็ต้องเปลี่ยนแน่นอน Burton อยากได้ Michelle Pfeiffer แต่ Keaton ไม่ค่อยเห็นด้วยเนื่องจากตอนนั้นทั้งสองเริ่มสานสัมพันธ์ต่อกัน มาเล่นคู่กันแล้วมันจะแปลกๆ สุดท้าย Jon Peters ผู้อำนวยการสร้างเลยเสนอ Kim Basinger สาวร้อนที่กำลังฮ็อตมากในช่วงนั้น ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยเพราะเธอมีเสน่ห์มากจริงๆ (ผมก็เห็นด้วยอีกคนครับ อิอิ) และยังมีการแก้บทอีกหนึ่งจุด ตอนแรกบทกำหนดให้โจ๊กเกอร์เป็นคนลงมือฆ่าวิคกี้ เวลเพื่อให้แบทแมนสู้ด้วยแรงแค้นแบบเต็มขั้นในตอนท้าย ทีนี้ผู้สร้างก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะแค่นี้เรื่องก็กดดันหดหู่มากพอแล้ว ขืนมาฆ่านางเอกอีกคนดูได้ซึมออกจากโรงแน่นอน

อีกหนึ่งคาแร็คเตอร์สำคัญที่ถูกใส่เข้ามาและได้รับการกล่าวขวัญอย่างมากคือ ฮาร์วี่ย์ เดนท์ อัยการไฟแรงที่ประกาศสงครามกับอาชญากรรมทุกรูปแบบ ที่แฟนการ์ตูนรู้กันดีว่าเขาจะกลายเป็นอภิมหาวายร้ายมนุษย์สองหน้า (Two-Face) ในเวลาต่อมา Burton สร้างเซอร์ไพรส์โดยมอบบทให้ Billy Dee Williams ที่นักดูหนังน่าจะจำได้จากบทแลนโด คาสริสเซียน คู่ซี้ของฮัน โซโลใน Star Wars ที่เซอร์ไพรส์ก็เพราะบทนี้เป็นคนผิวขาวมาแต่ไหนแต่ไร ส่วน Williams น่ะผิวดำ คนดูเลยพากันเล็งว่า Burton จะเล่นอะไรกับตัวละครนี้ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะภาคที่มีทูเฟซ (Batman Forever) เขาไม่ได้กำกับ ก็น่าเสียดายเหมือนกันครับ

เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็ได้เวลาเดินเครื่องเต็มตัว Batman ใช้เวลาถ่ายทำสามเดือน และพอออกฉายก็ประกาศศักดาถล่มรายได้ในอเมริกา $251 ล้าน สร้างกระแส Bat Fever ขึ้นมาในบัดดล คำชมหลั่งไหลมาจากทั่วสารทิศถึงความเยี่ยมยอด เริ่มตั้งแต่บรรยากาศในเรื่องที่หม่นมืด เมืองก็อทแธมที่ออกแบบราวกับยกลายเส้นลงสู่แผ่นฟิล์มแบบทั้งดุ้นจนสามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขาออกแบบศิลป์ยอดเยี่ยมไปครอง ตามด้วยความตื่นเต้นของเรื่องราว และการแสดงระดับเทพเจ้าของ Nicholson ที่สวมวิญญาณโจ๊กเกอร์ได้อย่างไร้เทียมทาน (แต่บางคนบอกไม่แปลก เพราะปกติลุงแกก็หน้าตาส่อเค้าซาตานบนดินอยู่แล้ว) หรือแม้แต่ Keaton ที่โดนต่อต้านในตอนแรก ก็เริ่มมีคนออกมาชมว่านายคนนี้ดูเหมาะกับบทบรูซ เวย์นจริงอย่าง Burton ว่าไว้ ดนตรีประกอบของ Danny Elfman ก็ให้ทั้งอารมณ์ฮึกเหิม ลึกลับ และมืดมนได้อย่างกลมกล่อม

ต้องยอมรับครับว่าแบทแมนภาคนี้ออกมาเยี่ยม ดูสนุก มีสไตล์ไม่เหมือนใคร ถอดวิญญาณจากการ์ตูนมาสู่จอเงินได้ แม้จะมีแฟนพันธุ์แท้บางส่วนออกมาต่อต่านเนื่องจากในบทคนฆาตกรรมพ่อแม่ของบรูซดันเป็นโจ๊กเกอร์แทนที่จะเป็นโจ ชิลล์ แต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ เพราะนอกนั้นต่างก็พอใจที่มนุษย์ค้างคาวได้ขึ้นจอใหญ่แบบสมศักดิ์ศรี เนื้อเรื่องดี เทคนิคยอด มีดัดแปลงจากการ์ตูนไปบ้างก็เพียงเล็กน้อย พออภัยได้

ทีมงานก็ได้ดีถ้วนหน้าครับ โดยเฉพาะ Nicholson ที่ได้เงินจากหนังไปเหนาะๆ ถึง $60 ล้าน ส่วนสตูดิโอก็กำไรบานครับ เพราะทุนแค่ $35 ล้าน ซ้ำตอนออกเป็นวีดีโอยอดเช่ายังทะลุ $150 ล้านสำราญอุรา

แม้ Batman จะโดนค่อนขอดว่าน่าเปลี่ยนชื่อเป็น Joker มากกว่า เพราะตัวร้ายเด่นกว่าพระเอก แต่ผมมองว่าบรูซ เวย์นในฉบับนี้มีมิติความลึกที่น่าสนใจ เขาเป็นเศรษฐีที่มีคฤหาสน์หลังงามน่าจะแฮ้ปปี้ แต่ภายในใจเหมือนถูกจองจำด้วยตรวนแห่งความเจ็บปวดที่ต้องเสียพ่อแม่และเคียดแค้นต่ออาชญากรทุกประเภท การได้ออกไปจัดการกับเหล่าร้ายเป็นทางออกเดียวที่จะระบายเรื่องภายในใจ เป็นภารกิจที่ไม่มีวันสิ้นสุด เพราะแบทแมนไม่ได้ต้องการตามล่าแต่โจ๊กเกอร์ เขาต้องการล้างเมืองให้สะอาดให้ได้ นี่คือคอนเซปต์ที่ Burton หยิบมาจากการ์ตูนชุด The Dark Knight Returns และสิ่งนี้เองที่จับใจผู้ชม ทำให้แบทแมนร่อนเข้าไปอยู่ในอ้อมใจของนักดูหนัง