หนังมันส์ครับ มันส์มากและทำได้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
ภาคนี้ก็เดินเรื่องต่อมาครับ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ หรือ ไอ้แมงมุมของเรา (Tobey Maguire) ก็ยังต้องผจญกับเคราะห์กรรมสารพัดต่อไป ตั้งแต่ความรักที่ไม่ลงตัวซะทีกับแมรี่ เจน วัตสัน (Kirsten Dunst), เพื่อนรักอย่างแฮร์รี่ ออสบอร์น (James Franco) ก็ยังแค้นสไปเดอร์แมนไม่เลิกรา ในฐานะศัตรูที่ฆ่าพ่อของเขา, ป้าเมย์ (Rosemary Harris) ซึ่งนับวันมีแต่จะแก่เฒ่าและยังคงเศร้ากับการจากไปของลุงเบน (Cliff Robertson), และท้ายสุด แต่ยุ่งที่สุด นั่นคือการมาของด็อกเตอร์ อ็อคโตปัส หรือ ด็อก อ็อค (Alfred Molina) นักวิทยาศาสตร์จอมอัจฉริยะที่กลับกลายเป็นวายร้ายจอมโหด อันเนื่องมาจากการทดลองที่ผิดพลาด สิ่งเหล่านี้คือปมที่ ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ และ สไปเดอร์แมน ต้องแก้ไขในตอนที่ 2 นี้
หนังได้ทีมงานเดิมจากภาค แรกมาสานต่อความสนุกครับ ตั้งแต่ผู้กำกับ Sam Raimi, ทีมดาราก็มากันครบ, ดนตรีที่เจ๋งสุดๆและทรงพลังเหลือหลายของ Danny Elfman ส่วนทีมขีนบทคราวนี้ได้ Alfred Gough, Miles Millar และ Michael Chabon มาจัดการ แล้วได้ Alvin Sargent มาเกลาอีกที (ซึ่ง 2 คนแรกนั้นก็คือคนที่ให้กำเนิดหนังชุด Smallville การผจญภัยวัยหนุ่มของซูเปอร์แมนที่กำลังดังโคตรๆอยู่ในขณะนี้ครับ ก็คิดดูแล้วกันว่าลูกเล่นจะแพรวพราวเอาใจวัยรุ่นได้ดีแค่ไหน)
ด้วย ความที่ภาคแรกของหนังปูพื้นมาอย่างดีแล้ว พอมาภาค 2 ก็เดินเรื่องแหลกเลยครับ ไม่ต้องอ้อมค้อมอะไร ซึ่งตลอดความยาว 2 ชั่วโมงหน่อยๆของหนัง ล้วนอัดแน่นไปด้วยบทที่เข้มข้น เอาเฉพาะเรื่องชีวิตของปีเตอร์นี่ผมก็อึ้งแล้วครับ จริงๆก็กะแล้วล่ะ ว่ามันต้องเข้ม แต่ที่อึ้งคือ หนังทำส่วนนี้ได้อย่างดีมากๆ หนักแน่นและได้อารมณ์โดยเฉพาะฉากที่ปีเตอร์ยืนพูดโทรศัพท์นั้น เป็นฉากที่สื่อออกมาได้ดีอ้ะคับ ดีมากจริงๆ และภาคนี้ Rosemary Harris ผู้มารับบทป้าเมย์นั้น ก็… โอย เหลือเกินเลยครับ ไม่ทราบว่ากะจะฆ่าคนดูเหรอฮะ คือ ป้ากะจะเอาออสการ์ให้ได้เลยใช่มั้ยครับ เพราะแต่ละฉากที่ออกมานี่ผมแทบร้องไห้อ้ะ ได้ใจแบบสุดๆเลยคุณเอ๊ย !!!
ส่วน Effect นั้นก็ไม่ทราบว่ามีอะไรต้องห่วงอีกครับ เนี๊ยบสุดๆอยู่แล้ว ส่วนพวกฉากบู๊นี่ รู้สึกจะน้อยลงครับ แต่เท่าที่มีก็ทำได้ดีแล้วล่ะ โดยเฉพาะตอนที่สไปดี้ไปตีกับด็อก อ็อค บนรถไฟลอยฟ้านั่น ก็แทบจะหยุดหายใจกันไปเลยทีเดียว เรียกว่าน้อยแต่แน่น แม้ฉากไคลแม็กซ์ที่ตีกับด็อก อ็อคในตอนท้ายอาจจะไม่ค่อยเท่าไหร่ก็ตาม แต่หนังก็ยังชดเชยด้วยสิ่งอื่นครับ เป็นอะไรไปดูเอง บอกได้แค่ว่าภาคนี้ จบลงอย่างยอดเยี่ยมจริงๆ
บรรทัดนี้จะเป็นความชอบส่วนตัวอ้ะนะครับ นั่นคือ หนังยังคงความเป็น Sam Raimi ไว้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะฉากที่ด็อก อ็อคใช้หนวดจัดการกับเหล่าหมอในการผ่าตัดเขา ฉากนั้นน่ากลัวดีมากเลยครับ เกือบๆจะสยองเลยหล่ะ อีกเรื่องก็คือ Bruce Campbell ได้มาเล่นในเรื่องด้วย (ไอ้ยามโรงละครที่ไม่ยอมให้ปีเตอร์เข้านั่นแหละครับ) ซึ่งเป็นดาราคู่บุญของพี่ Sam แกอยู่แล้ว คาดว่าภาคหน้าพี่แกก็คงจะได้โผล่มาอีกล่ะครับ แล้วยังมี Ted Raimi น้องชายของพี่ Sam มาเล่นเป็น ฮอฟฟ์แมน (ก็คนที่โดนคุณเจมิสัน บก.หนังสือพิมพ์เรียกมาด่าตลอดทั้งเรื่องนั่นไงครับ) นี่แหละสไตล์ของพี่ Sam แกล่ะ มีญาติก็ต้องเอามาใช้งานให้หมด
อีกประการหนึ่งหนังฮามาก ครับ มุขเพียบ คุณเจมิสัน (J.K. Simmons) นี่เป็นตัวยิงมุขเลยครับ ถ้าฟังทันล่ะรับประกันความฮาเลย ซึ่งทั้งความฮา อารมณ์ดราม่า ความเข้มข้น มันไปด้วยกันได้ทั้งหมด ไม่มีสะดุดเลยแม้แต่น้อย
ร่ายมายาวมากๆแล้ว โดยส่วนตัว นี่คือหนังที่สมบูรณ์มากในทุกๆด้านครับ เป็นหนังที่สร้างจากการ์ตูนที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างกันมาเลยล่ะ ผมว่านะ ครบทุกรส
ดีระดับนี้ ต่ำกว่าสี่ดาวไม่ได้ครับ
(9/10)
เขียนเพิ่มเติมเมื่อ 1 มิถุนายน 2557
สำหรับผมแล้ว Spider-Man 2 (★★★★) คือภาคที่ครบรสครบเครื่องมากๆ ทั้งดราม่า แอ็กชัน อารมณ์ขัน ยิ่งดูเวอร์ชั่น 2.1 ยิ่งฮาไปกันใหญ่ (อย่างตอนคุณพี่โจนาห์ เจมิสันกับชุดไอ้แมงมุม เป็นต้น 555) หรือจะเอาสยองยังอุตส่าห์มี (ฉาก “แขนกลเชือดยกห้อง” นั่นยังไงครับ)
องค์ประกอบหลายอย่างในฉบับนี้มันเอื้อสิ่งเหล่านี้ครับ ไม่ว่าจะการให้ปีเตอร์ปล่อยใยจากตัวโดยตรง (อันนำมาเชื่อมกับแง่มุมจิตวิทยา – เมื่อปีเตอร์ยิงใยไม่ออก) ไหนจะความจนของปีเตอร์ (ทั้งจนตังค์และจนแต้ม ไม่มีงานทำ เรียนอาจไม่จบ ฯลฯ), คำคมลุงเบน, ความน่ารักของป้าเมย์, ความแค้นของแฮร์รี่, ความรักของแมรี่ เจน และความเกรียนของคุณเจมิสัน
ตอนที่หนังเข้าโรงนั้น ผมดูด้วยความรู้สึกเต็มอิ่มครับ จำได้เลยตอนอยู่ที่มหาลัยแล้วเพื่อนถามว่าหนังเป็นยังไง ผมพูดเต็มปากว่า “ไปดูได้เลย นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมา” รู้สึกแบบนั้นจริงๆ ครับ อาจเพราะไม่เคยเจอหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เจาะจิตใจของตัวเอก และนำเสนอชีวิตอันแสนลำเค็ญของฮีโร่แบบเต็มๆ แบบนี้ และสำหรับผมแล้วภาคนี้ปีเตอร์ต้องรับมือศัตรูระดับใหญ่ยิ่งถึง 2 ตน ตนแรกคือ ด็อกอ็อค อีกหนึ่งคือ “ชีวิตต้องสาปของเขาเอง”
ไหนจะฉากแอ็กชันบนรถไฟที่เด็ดและได้ใจเสมอ เพราะมันไม่ใช่แค่แมงมุมฟัดกับปลาหมึก แต่มันคือฮีโร่คนหนึ่งที่พยายามช่วยชาวเมืองแบบเอาชีวิตเข้าแลก
อีกอย่างที่ถือว่าใหม่สำหรับตอนนั้นคือการถอดหน้ากากของฮีโร่ครับ หนังซูเปอร์ฮีโร่ก่อนหน้านั้นจะสร้างมาตรฐานไว้อย่างหนึ่งคือตัวตนที่แท้จริงของฮีโร่จะต้องถูกปกปิด จะไม่มีใครรู้ง่ายๆ แต่ภาคนี้ปีเตอร์ไร้หน้ากากหลังจากช่วยคนบนรถไฟ สิ่งที่ผู้คนบนรถพูดกับปีเตอร์นั้นเป็นอะไรที่ชวนซาบซึ้งอย่างมาก ประมาณว่าฮีโร่ทำเพื่อทุกคน ทุกคนก็พร้อมใจสัญญาว่าจะทำเพื่อฮีโร่บ้าง – เป็นฉากที่น่ารัก กินใจ และถือว่าสดมากๆ สำหรับตอนนั้น
ดนตรีของ Danny Elfman ยังคงสุดยอด โดยเฉพาะเพลงที่บรรเลงตอน ดร.อ็อคเตเวียส ทำการทดลองต่อหน้าผู้คน ดนตรีได้อารมณ์สยองแบบทรงพลัง ชวนขนลุกเป็นที่ยิ่ง (มีการเรียกให้ Christopher Young มาร่วมทำและเกลาดนตรีในบางช่วงด้วยครับ เดาว่าเพลงที่ว่าพี่เขาก็น่าจะมีส่วนร่วมด้วย เพราะได้อารมณ์ Hellraiser แบบเต็มๆ)
ภาคนี้ยังคงประสบความสำเร็จครับ แต่รายได้อาจจะถอยลงจากภาคแรกอยู่หน่อย คือทำเงินทั่วโลกไป $788 ล้าน จากทุนสร้างประมาณ $200 ล้าน
ที่สังเกตอีกอย่างในภาคนี้คือ ดาราหลายคนในเรื่องกลายมาเป็นดาราซีรี่ส์ดังๆ ในเวลาต่อมา ไม่ว่าจะ
+ Daniel Gillies (The Originals)
คนนี้เป็นลูกคุณเจมิสัน
+ Vanessa Ferlito (CSI: NY, Graceland และ NCIS: New Orleans)
เล่นเป็นเพื่อนแมรี่ เจน (เวอร์ชั่น 2.1 จะมีบทบาทกว่าฉบับปกติ)
+ Daniel Dae Kim (Hawaii Five-0)
นักวิทยาศาสตร์ในฉากทดลองของดร.อ็อคเตเวียส
+ Joel McHale (Community)
นายธนาคารที่ป้าเมย์พยายามไปขอกู้เงิน
+ Emily Deschanel (Bones)
เจ๊คนที่ไม่จ่ายค่าพิซซ่า เพราะปีเตอร์มาสายเกินเวลา
+ Joy Bryant (Parenthood)
ผู้หญิงที่โดนด็อกอ็อคโยนลงจากรถไฟ แล้วสไปดี้ยิงใยช่วยไว้
+ Hal Sparks (Queer as Folk)
พี่คนที่สไปดี้ไปเจอในลิฟต์ (แนะนำให้ดู 2.1 มีอะไรฮาๆ มากกว่าเดิม)
+ Bonnie Somerville (NYPD Blue)
ผู้หญิงที่กรี๊ดลั่นตอนด็อกอ็อคจับป้าเมย์ไต่ตึก
+ Peyton List (Cobra Kai)
เด็กหญิงที่สไปดี้ช่วยบนถนน
ที่ชอบอีกหนึ่งประการคือการไล่ระดับ “กราฟขาลง” ของชีวิตปีเตอร์อย่างพอเหมาะ มันดาวน์ทีละเรื่องๆ จนสมองปีเตอร์คงโหวงทีเดียว หลังเหตุการณ์ตึกไฟไหม้นั่น
ออกตัวเลยว่าตอนดู น้ำตาผมไหลฉาก “เค้กช็อกโกแลตที่ลูกเจ้าของบ้านเช่าหยิบยื่นให้”… แววตาพี่ Tobey แกบ่งบอกชัดว่า นั่นไม่ใช่เค้กช็อกโกแลตเท่านั้น แต่มันคือ… “สิ่งสวยงามอันเรียบง่าย” ท่ามกลางชีวิตต้องสาปของพี่แก
อ้อ ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ได้ไหลแค่ฉากเดียว เพราะฉากป้าเมย์กับแบงค์ 20 ยังไงก็ทำผมน้ำตาไหลได้เสมอ 😊