รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Pet Sematary Two (1992) กลับจากป่าช้า 2

B00005NG6C.01.LZZZZZZZ

Pet Sematary II ภาคต่อที่ยังคงกำกับโดย Mary Lambert แต่ตัวหนังกลับอ่อนลงแบบคนละเรื่องเลยครับ

หนังก็เป็นเรื่องราวหลายปีต่อจากภาคแรก หลังจากเหตุการณ์สยองของครอบครัวครี๊ด มาคราวนี้ ครอบครัวใหม่คือ เชส แมทธิวส์ (Anthony Edwards) และลูกชาย เจฟ (Edward Furlong) ได้ย้ายเข้ามาใหม่ ที่นี่เจฟได้พบเพื่อนใหม่ และได้พบกับ “ป่าช้าสัตว์” ซึ่งแน่นอนว่าเจฟยังไม่รู้พิษสงของมัน แต่สำหรับคนที่เคยดูภาคแรกมาแล้วก็คงพอเดาได้น่ะนะครับ ว่าเมื่อเจฟก้าวเข้าไปใช้อำนาจของป่าช้าแห่งนั้นแล้ว ความสยองก็จะไหลมาเทมาอย่างแน่นอน

ภาคนี้ทำท่าว่าจะทำให้เรื่องมันน่ากลัวขึ้นครับ โดยมีศพที่กลับมาจากป่าช้าสัตว์เยอะกว่าคราวก่อน แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นครับ มันไม่น่ากลัวเท่าตอนแรก และในทางกลับกัน ผมว่าช่วงท้ายๆ หนังดูอ่อนเหตุผลยังไงก็ไม่ทราบ

หนังสู้ภาคแรกไม่ได้ครับ ความสนุกตื่นเต้นและความสยองถือว่าน้อย จำได้ว่ารอบแรกที่ดูผมก็แอบงงเหมือนกัน เพราะผู้กำกับก็คนเก่า บรรยากาศก็คล้ายๆ ภาคแรก แต่ทำไมตัวหนังถึงออกมาได้คนละเรื่องคนละชั้นกันขนาดนี้ และสิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในใจก็คือ ตัวละครในเรื่องดูจะหัวไม่ไว ทำอะไรบางอย่างแบบไม่คิดหน้าคิดหลังจนเรื่องราวมันเลยเถิดไปไกล

แรกเริ่มเดิมทีผู้กำกับ Lambert ตั้งใจทำภาคนี้ให้เป็นภาคต่อของแท้จากภาคแรก โดยเอาตัวละครอย่าง แอลลี่ ลูกสาวของครอบครัวครี้ดกลับมาเป็นตัวเอก แต่ทางค่ายดาวภูเขา Paramount Pictures กลับมองว่าหนังที่มีตัวนำเป็นวัยรุ่นผู้หญิงนั้นไม่น่าจะดึงดูดผู้ชมได้ เลยให้ Richard Outten มือเขียนบทที่ก่อนหน้านั้นเคยมีผลงานเพียง 2 เรื่อง ซึ่งก็คือ Lionheart และ Little Nemo (โดยแต่ละเรื่องก็เป็นหนังแฟนตาซีประเภทเด็กดูได้) มาเขียนบทแทน และใบสั่งหนึ่งก็คือ ตัวเอกจะต้องเป็นวัยรุ่นเพศชาย ซึ่งก็พอดีที่ตอนนั้น Furlong ดังเป็นพลุแตกจาก Terminator 2: Judgment Day ก็เลยถูกวางตัวให้มาแสดงนำ แล้วก็แต่งเรื่องใหม่หมด และว่ากันว่า David S. Goyer มีส่วนในการเกลาบทด้วย (แต่ไม่ได้รับเครดิต)

ผู้กำกับ Lambert ก็เลยตั้งโจทย์ว่าจะทำหนังเรื่องนี้ออกมาเพื่อสะท้อน “ด้านไม่ฉลาด” ของวัยรุ่นชาย พูดง่ายๆ คือเธอมองว่าวัยรุ่นชายมักจะทำสิ่งที่ผิดและไม่ฉลาดนักอยู่เสมอๆ โดยเธอมีแนวคิดว่า “สำหรับเด็กผู้ชายแล้ว เลือดจะไม่ค่อยไหลไปที่สมอง แต่จะไหลไปที่อื่นแทน!” – ยอมรับว่าไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอแอบประชดการที่ทางค่ายไม่ยอมให้ตัวละครหลักเป็นวัยรุ่นหญิงแบบที่เธอตั้งใจไว้แต่แรกหรือเปล่า – แต่ประเด็นนี้ก็อธิบายครับว่าทำไมตัวเอกในหนังภาคนี้ถึงดูทำอะไรแบบไม่ค่อยคิดหน้าคิดหลังสักเท่าไร

ผลลัพธ์ของหนังเลยค่อนข้างน่าผิดหวังครับ ความสนุก ความลุ้นไม่มาก มิติตัวละครก็ไม่มากเท่าภาคแรก (ผมว่าตัวละครภาคแรกดูน่าเห็นใจกว่านะ)

ส่วนรายได้ก็น้อยกว่าภาคแรกครับ ทำไป $17 ล้าน จากทุนสร้าง $8 ล้าน ไม่ประสบความสำเร็จ หนังเลยจบลงที่ภาคนี้ (แต่หลายสิบปีต่อมาก็มีฉบับรีเมคภาคแรกครับ)

ไม่ถึงสองดาวครับ

Star12

(5.5/10)

Untitled04421