Beverly Hills Cop ภาคแรกครับ เรื่องของนายตำรวจจอมพล่ามจากเมืองดีทรอยต์ แอ๊คเซล โฟลี่ย์ (Eddie Murphy) ที่ตามรอยคดีฆาตกรรมเพื่อนของเขามาถึงเมืองเบเวอร์ลี่ ฮิลส์ แล้วไปๆ มาๆ เขาก็ได้พบกับพวกค้ายาข้ามชาติเข้า แต่การสืบมันไม่ง่ายเลยครับ เพราะตำรวจที่เมืองนี้ทำทุกอย่างตามตำราจนแทบจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น แอ๊คเซล เลยต้องงัดตำราตัวเองออกมาใช้ ซึ่งก็สร้างความวุ่นวายให้ตำรวจท้องถิ่นไปตามๆ กัน
หนังถือว่าสนุกและออกรสมากครับ Murphy แสดงได้อย่างลื่นไหล ลีลาพล่ามของพี่แกนี่ถ้าฟังทันก็ฮาล่ะครับ ซึ่งผมว่าดีแล้วล่ะที่ได้เขามาเล่นนำ เพราะตอนแรกนั้นบทถูกเขียนขึ้นเพื่อให้ Sylvester Stallone มารับบทนำครับ แต่แล้วก่อนถ่ายทำ 2 สัปดาห์พี่สไลก็ตัดสินใจไม่แสดงเพราะเขาเห็นว่าบทนี้ไม่น่าจะเหมาะกับเขาครับ (บทตำรวจอารมณ์ดีที่ไปทำงานในเมืองอื่นแบบปลาผิดน้ำ อันเป็นบทเน้นขำเป็นหลัก) แต่ Steven Berkoff ผู้รับบทวิคเตอร์ เมทแลนด์ตัวร้ายของเรื่องออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเหตุผลหนึ่งที่พี่สไลเลิกเล่นเป็นเพราะพี่เขาอยากให้มีการเสิร์ฟน้ำส้มในรถเทรลเลอร์ของเขา แต่กองถ่ายไม่ยอมทำตาม พี่เขาไม่พอใจ ก็เลยเดินออกจากกองถ่าย – แล้วจากนั้นพี่สไลก็ตัดสินใจเอาเค้าโครงบางส่วนของบทไปสร้างเป็นตัวละครตำรวจสายดุในหนัง Cobra แทน
ถัดจากนั้นการพลิกแผ่นดินเพื่อหาคนมารับบทนำก็เริ่มต้นครับ คนที่อยู่ในลิสต์รายชื่อว่าที่นักแสดงนำหนังเรื่องนี้ก็มี Mickey Rourke, Jeff Bridges, James Caan, Billy Crystal, Robert De Niro, Harrison Ford, Richard Gere, Mel Gibson, Gregory Hines, Michael Keaton, Nick Nolte, Al Pacino, Richard Pryor, Dennis Quaid, Kurt Russell, Arnold Schwarzenegger, John Travolta, Robin Williams และ Bruce Willis แต่สุดท้ายคนที่ได้บทไปก็คือ Murphy ครับ ที่ตอนนั้นจริงๆ เขากำลังอยู่ในช่วงเจรจาจะแสดงใน Ghostbusters แต่แล้ว Murphy ก็เกิดสนใจจะมาแสดงบทในหนังเรื่องนี้แทน ซึ่งก็ถือเป็นการเลือกที่ถูกครับ
ส่วนที่จัดว่าเป็นสีสันของเรื่องก็คือสองตำรวจของเมืองเบเวอร์ลี่ ฮิลส์ อันได้แก่ บิลลี่ โรสวู้ด (Judge Reinhold) กับ แท็กการ์ต (John Ashton) ที่ต้องมาคอยตามดูว่าแอ๊คเซลจะทำอะไรบ้าๆ อีก แล้วไปๆ มาๆ พวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนร่วมสืบของแอ๊คเซลไป ว่ากันว่า Murphy กับ 2 หน่อนี้ผลัดกันด้นสดมุกตลกจนกองถ่ายต้องล่มหลายหน ที่ล่มนี่ก็เพราะมุกที่พวกเขาเล่นมันจี้มากจนคนในกองถ่ายกลั้นหัวเราะกันไม่ไหว แล้วก็ฮาแตกกันทั้งกอง จนต้องมานั่งถ่ายฉากนั้นกันใหม่
และคนที่ขโมยซีนได้อย่างยอดเยี่ยมก็หนีไม่พ้น Bronson Pinchot ที่รับบทเป็นพนักงานของแกลเลอรี่ที่แอ็กเซลไปสืบน่ะครับ รายนี้ตอนแรกบทก็ไม่มาก แต่พอผู้กำกับเห็นแววเลยอดไม่ได้ ให้ Pinchot แสดงฝีมือในสไตล์ของตัวเอง แล้วผลก็ออกมาฮาจนน่าจดจำเลยมีการเพิ่มฉากให้ Pinchot เล่นครับ และยังทำให้งานแสดงของ Pinchot ไหลมาเทมาอีกด้วย
ส่วน Berkoff ก็ดูร้ายกาจสมกับเป็นบอสใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องร้ายๆ ทั้งหมด, Lisa Eilbacher รับบทเจนนี่ ซัมเมอร์ส เพื่อนของแอ๊คเซลที่ต้องมาร่วมหัวจมท้ายในการสืบคดีด้วย, Ronny Cox ก็ไปได้สวยกับบทสารวัตรโบโกมิล เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายที่ตรงเป็นไม้บรรทัด กล่าวกันว่าบทนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนในอาชีพการแสดงของ Cox ครับ เพราะก่อนหน้านี้เขามักจะรับบทเป็นคุณพ่อแสนดี พูดจาอ่อนโยนซอฟท์ๆ แต่มาเรื่องนี้เขาพลิกมาเป็นตำรวจสายแข็งเสียงเข้มออกแนวดุๆ หน่อย ซึ่งจากการแสดงในเรื่องนี้เลยส่งให้เขาได้รับบทเป็นวายร้ายสายแข็งในหนังอย่าง RoboCop และ Total Recall ในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ก็ยังมี Gilbert R. Hill ในบทสารวัตรท็อดด์ หัวหน้าของแอ๊คเซลที่ในชีวิตจริงเขาก็เป็นตำรวจอยู่ดีทรอยต์ครับ ซึ่งพอดีที่ผู้กำกับ Martin Brest ได้พบเขาระหว่างกำลังเยี่ยมเยือนสถานีตำรวจดีทรอยต์เพื่อเตรียมถ่ายทำหนังเรื่องนี้ และเขาก็รู้สึกว่าหน้าตาของ Hill เหมือนพ่อของ Murphy มากๆ เขาเลยได้ไอเดียที่จะให้ Hill มารับบทหัวหน้าของแอ๊คเซล , James Russo รับบทไมกี้ แทนดิโน่ เพื่อนเก่าแก่ของแอ๊คเซลที่โดนฆาตกรรม รายนี้แม้จะมาน้อยแต่แสดงได้ดีมากครับ ดูแล้วเชื่อว่าเขาคนนี้เป็นเพื่อนรักของแอ๊คเซลจริงๆ และทำให้เชื่อได้ไม่ยากว่าทำไมแอ๊คเซลถึงต้องพล่านไปเบเวอร์ลี่ ฮิลส์เพื่อสางคดีของเขา, Paul Reiser มาเป็นเจฟฟรี่ย์ เพื่อนประจำสถานทีของแอ๊คเซลที่ดีทรอยต์ และนี่ยังเป็นหนังเรื่องแรกของ Damon Wayans ด้วยครับ รายนี้มารับบทเป็นพนักงานโรงแรมที่แอบยื่นกล้วยให้แอ๊คเซล ซึ่งฉากที่ว่านี้ก็เป็นไอเดียของ Murphy เองด้วยครับ
สำหรับผู้กำกับนั้นตอนแรกมีการทาบทาม David Cronenberg (Scanners, The Fly) แต่เขาก็บอกปัดครับ รายต่อมาก็ Martin Scorsese ที่บอกปัดเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าโครงเรื่องมันคล้ายกับ Coogan’s Bluff (หนังแนวตำรวจจากเมืองเล็กมาสืบคดีในเมืองใหญ่ของ Clint Eastwood) เกินไป
แล้วเก้าอี้กำกับตกเป็นของ Martin Brest ได้อย่างไรน่ะหรือครับ – เริ่มจากตอนนั้น Brest ถูกไล่ออกจากหน้าที่กำกับหนังเรื่อง WarGames ก็ทำให้คนในวงการส่วนหนึ่งกังขาในตัวเขา มีการกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้กำกับเจ้าปัญหา แต่ Don Simpson กับ Jerry Bruckheimer ไม่เชื่อเช่นนั้นครับ รวมถึงผู้บริหารใน Paramount ด้วย พวกเขาเลยพยายามติดต่อ Brest ให้มาทำหนังเรื่องนี้ ซึ่งตอนแรกๆ Brest ก็บอกปัดครับ แต่ Bruckheimer ก็ไม่ยอมแพ้ ตามตื้อ Brest อยู่นานสองนาน จนในที่สุดพอโดนตื้อมากๆ Brest เลยตัดสินใจโยนหัวก้อยมันซะเลย ใช้การโยนเหรียญนี่แหละว่าจะรับงานนี้ดีหรือไม่ แล้วผลก็คือเขารับงานครับ – และ Brest ก็แอบมารับเชิญในหนังด้วยครับ เป็นพนักงานโรงแรมที่เช็คเอาท์ให้แอ๊คเซลตอนท้ายเรื่อง
หนังไม่ยาวมากครับ เลยดูได้เพลินๆ ฉากบู๊ก็พอเหมาะ มุกตลกอุดมสมบูรณ์ ดนตรีก็เข้าท่าโดยเฉพาะธีมหลักสุดติดหูที่ผมเชื่อว่าคนที่โตในในยุค 80 – 90 ต้องจำมันได้อย่างแน่นอน เพราะบ้านเราเอามาใช้ตามรายการทีวีและละครต่างๆ ใช้กันเกลื่อนไปหมด
และ Soundtrack ในเรื่องก็เหมาะแบบสุดๆ ครับ โดยเฉพาะเพลง Stir It Up ของ Patti LaBelle ที่ใช้ตอนแอ๊คเซลเพิ่งเข้าเมืองเบเวอร์ลี่ ฮิลส์ ใหม่ๆ จังหวะเร้าใจเข้ากับอารมณ์อย่างมาก แล้วยังเอามาใช้ปิดเรื่องอีก อารมณ์เลยลื่นไปกันใหญ่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ เพราะหนังอำนวยการสร้างโดย Simpson กับ Bruckheimer ซึ่งเจ้านี้เก่งเรื่องทำเงินอยู่แล้วครับ ทำออกมาทีไรต้องโกยเงินทุกช่องทาง ไม่ว่าจะจากหนังหรือซาวน์แทร๊ค ก็ต้องยอมรับนะครับว่างานของพวกพี่เขาทำออกมาในยุคนั้นเอาใจตลาดได้สำเร็จจริงๆ
หนังออกมาฮิตสุดขีดครับ ทำเงินถล่มทลายในอเมริกากว่า $234 ล้าน ซึ่งถ้าตีค่าตั๋วเป็นปัจจุบันล่ะก็ หนังจะทำเงินไปถึง $629 ล้านเลยทีเดียว กำไรกระหน่ำจนต้องคิดทำภาคต่อกันเลยล่ะ (ทุนสร้างอยู่ที่ $13 ล้านครับ)
เกร็ดอีกเล็กน้อยก็คือ นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่เปิดตัวในอเมริกาด้วยโรงฉายเกิน 2,000 โรง และเหตุผลหนึ่งที่หนังตั้งต้นเรื่องที่เมืองดีทรอยต์ก็เพราะเป็นเมืองบ้านเกิดของ Bruckheimer นั่นเองครับ
ก็ดูเอาเพลินๆ ได้สบายครับ สนุกดี
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, หนังแนะนำ Recommended, Comedy